Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา มิถุนายน 2555
คดี Lee Gao Hui กับทางเลือกระหว่างความซื่อสัตย์กับความร่ำรวย             
โดย ชาญ เทียบเธียรรัตน์
 


   
search resources

Law




กลางปีนี้ ศาลในประเทศนิวซีแลนด์จะตัดสินคดีที่เป็นที่ฮือฮาของประชาชนชาวนิวซีแลนด์ในขณะนี้ คดีมีชื่อว่า R v Hui ซึ่งผู้ต้องหาในคดีนี้ก็คือ ลี เกา ฮุย นักธุรกิจชาวนิวซีแลนด์เชื้อชาติจีน

สาเหตุที่คดีของฮุยเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจสูงนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะคดีในประเทศนิวซีแลนด์ที่ฮือฮาส่วนใหญ่จะเป็นคดีที่เกี่ยวกับการตีความกฎหมายที่ทนายของจำเลยตีความได้มหัศจรรย์มาก จนผู้พิพากษาไม่กล้าตัดสินจำเลยว่า ผิด ทั้งๆ ที่หลักฐานทนโท่ ตัวอย่างเช่นคดีไฟน์เบิร์ก (R v Fineberg) ในคดีนี้ผู้ต้องหาฆ่าคนตายในเรือกลางทะเล แต่กฎหมาย เขียนเอาไว้ว่าผู้ต้องหาจะมีความผิดเมื่อเขาฆ่าคนตาย “บนพื้นดินนิวซีแลนด์” ทนายของไฟน์เบิร์กจึงเถียงว่าไฟน์เบิร์กไม่ผิด เพราะเขาฆ่าคนตายในทะเลไม่ได้ฆ่าคนตายบนพื้นดิน ผู้พิพากษาเจอไม้นี้เข้าไปก็ผงะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ต้องหาฆ่าคนตายจริงๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะตัดสินว่าผิดได้หรือไม่

คดีอีกแบบหนึ่งที่ประชาชนให้ความสนใจสูงมาก เป็นคดีที่ดูแล้วหลักฐานที่ผู้ต้องหากระทำผิดนั้นชัดเจน แต่ด้วยความเลินเล่อของฝ่ายตำรวจในขณะรวบรวมหลักฐานทำให้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหากระทำผิด แบบพ้นสงสัยได้ เช่น คดีฆาตกรรมครอบครัวเบน (The Queen v Bain) ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าเดวิด เบน ผู้ต้องหาในคดีฆ่าพ่อแม่พี่น้อง ทั้งครอบครัวจริงๆ รูปคดีของฝ่ายตำรวจก็คือ เดวิดฆ่าคนในครอบครัวของเขา จากนั้นกลับมาบ้านในเวลา 06.42 น. แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ในเวลา 06.44 น. พิมพ์ข้อความว่าได้ฆ่าทุกคนในบ้านยกเว้นตัวเอง ปัญหาคือ นาฬิกาของตำรวจที่ตรวจหลักฐานในการเปิดคอมพิวเตอร์เดินเร็วไป 5 นาที ฉะนั้นหลักฐานของตำรวจที่บันทึกว่าคนร้ายเปิดคอมพิวเตอร์เวลา 06.44 น. จึงถูกทนายของเดวิดค้านว่าเร็วไป 5 นาที เวลาที่คนร้ายเปิดเครื่องก็ต้องเป็นเวลา 06.39 น. เนื่องจากเดวิดกลับมาบ้านตอน 06.42 น. นั่นหมายความว่าคนร้ายที่เป็นคนฆ่าพ่อแม่พี่น้องของเดวิด แล้วมาเปิดคอมพิวเตอร์ตอน 06.39 น. ก็ต้องไม่ใช่เดวิด พอเจอแบบนี้ศาลก็ต้องยกประโยชน์ให้ผู้ต้องหา

แต่คดีของฮุยไม่ใช่คดีที่มีการเลินเล่อในขณะรวบรวมหลักฐานและไม่ใช่คดีที่ผู้ร่างกฎหมายสร้างช่องโหว่ ตอนเขียนกฎหมายขึ้น แต่ที่คดีนี้โด่งดังขึ้นมาเพราะเป็นคดีที่ไม่มีใครเชื่อว่าตำรวจจะจับผู้ร้ายได้ อีกอย่างตอนคดีนี้เป็นข่าวก็มีคนจำนวนมากตั้งคำถามว่า ฮุย จะเรียกว่าเป็นผู้ร้ายได้หรือไม่ เพราะถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฮุยถ้าเกิดกับคนอื่น เขาจะทำอย่างฮุยหรือเปล่า

คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นเรื่องน่าสนใจ เมื่อ กลางปี 2008 หรือ 4 ปีก่อน เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทั่วโลก หลังจากพวกนักลงทุนเก็งกำไรราคาน้ำมัน โก่งราคาน้ำมันจนธุรกิจล้มละลายกันเป็นแถว นิวซีแลนด์ก็โดนหางเลขด้วย ธุรกิจที่โดนหางเลขหนักที่สุดคือธุรกิจท่องเที่ยว เมื่อเศรษฐกิจตก คนก็ต้องประหยัดไม่ออกไปเที่ยว พ่อค้าแม่ค้าในเมืองท่องเที่ยวอย่างนิวซีแลนด์ก็หน้าเขียว เพราะค่าเช่าอาคารพาณิชย์ในเมืองท่องเที่ยวนั้นแพงหูฉี่ ถ้าไม่มีใครมาเที่ยวก็ตายลูกเดียว หลายธุรกิจประกาศขายหรือปิดกิจการ เพราะรายได้ไม่คุ้มกับรายจ่าย ไม่รู้จะเปิดไปทำไม

ฮุยเป็นหนึ่งในเจ้าของธุรกิจที่โดนหางเลขไปด้วย เขามีธุรกิจปั๊มน้ำมันในเมืองโรโตรัว ซึ่งหลังจากเศรษฐกิจตกต่ำมากๆ หมุนเงินไม่ทัน ฮุยเลยต้องทำเรื่องขอโอดีจากธนาคารเวสท์แพค 1 แสนดอลลาร์ ซึ่งธนาคารเวสท์แพคก็ดีใจหาย ยอมให้ฮุยกู้เพิ่มอีก 1 แสนเหรียญ และโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของฮุยหลังจากอนุมัติโอดีให้เขาทันที

ปัญหาก็คือ พนักงานที่ทำเรื่องโอนเงินเกิดเลินเล่อ ลืมกดจุดทศนิยมหลังจำนวนดอลลาร์ ฉะนั้นจำนวนเงินที่โอนเข้าบัญชีของฮุยแทนที่จะเป็น 100,000.00 ดอลลาร์ เลยกลายเป็น 10,000,000 ดอลลาร์ หรือสิบล้านดอลลาร์ (250 ล้านบาทไทย ตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน) สำหรับคนที่กำลังทุกข์ ธุรกิจขาดทุน ทำต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อยู่ดีๆ เกิดเบิกเงินออกจากบัญชีได้ 10 ล้านดอลลาร์ ฮุยตัดสินใจเด็ดขาด ทิ้งบ้าน ทิ้งธุรกิจ โอนเงิน 10 ล้านเหรียญนี้ไปฮ่องกง แล้วพาลูกเมียตัวเองหนีไปที่นั่นทันที

แน่นอนครับ เมื่อธนาคารเวสท์แพครู้ว่ามีการโอนเงินโอดีเกินไปถึง 9.9 ล้านเหรียญ แถมลูกหนี้พอได้เงินไปก็โอนเงินไปฮ่องกงแล้วบินหนีไป สิ่งแรกที่ธนาคารทำก็คือไล่พนักงานที่โอนเงิน 10 ล้านดอลลาร์เข้าบัญชีของฮุยออกทันที ซึ่งพนักงานคนนี้ผมว่าไม่บ้าสุดๆ ก็โง่สุดๆ เพราะทันทีที่ถูกไล่ออกก็จ้างทนายมาฟ้องธนาคารทันทีว่าถูกไล่ออกอย่างไม่มีเหตุผล ขอเรียกค่าเสียหาย แน่นอนว่าคุณเธอแพ้ราบคาบ เพราะทำเจ้านายเสียหายขนาดนี้ แต่ยังมีหน้าไปเรียกร้องค่าเสียหายจากนายจ้างอีก ต่อให้ผู้พิพากษาที่ใจดีขนาดไหนก็ต้องตัดสินให้แพ้เป็นธรรมดา

หลังจากธนาคารเฉดหัวพนักงานคนนั้นออกไปแล้วก็แจ้งตำรวจ ตำรวจก็ทำเรื่องระงับการโอนเงินและสามารถ ระงับเงินที่ยังโอนเข้าบัญชีของฮุยที่ฮ่องกงไม่เรียบร้อยได้ 6.2 ล้านเหรียญ แต่อยู่ๆ เงินที่ฮุยกำลังรอให้ปรากฏในบัญชี อีก 6.2 ล้านเหรียญ ไม่ถูกโอนเข้าบัญชีซะที ทำให้เขารู้ตัวว่ากำลังถูกตามล่า เขาจึงไม่รอช้า หอบเงินที่โอนมาที่ฮ่องกง สำเร็จแล้ว 3.8 ล้านเหรียญ หนีจากฮ่องกงเข้าจีนแผ่นดินใหญ่ เขาเชื่อว่าถ้าเข้าไปถึงจีนเมื่อไหร่ เขาจะต้องปลอดภัย เพราะประเทศจีนไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับนิวซีแลนด์ ตำรวจนิวซีแลนด์ไม่มีทางที่จะขออำนาจศาลสั่งให้ประเทศจีนส่งตัวฮุยกลับมาดำเนินคดีที่นิวซีแลนด์ได้

อาจจะด้วยความโมโหว่าอยู่ๆ เงินก็ถูกโอนกลับไป 6 ล้านกว่าเหรียญ จึงอยากได้เงินจำนวนนั้นคืนฮุยจึงไม่เดินทางเข้าประเทศจีนทันที แต่ลงเรือที่มาเก๊าก่อนเพื่อเล่นกาสิโน ด้วยความหวังว่าจะสามารถหาเงินจำนวน 6 ล้านเหรียญได้ พอไปถึงก็แลกชิปพนันเป็นเงินจำนวน 6 แสนกว่าเหรียญที่กาสิโนวินน์ รีสอร์ต (Wynn Resort) ทันที ซึ่งธนาคารเวสท์แพครู้เรื่องนี้ได้อย่างไรผมก็ไม่แน่ใจ แต่เอาเป็นว่าพอธนาคารรู้ก็ไปขออำนาจศาลฮ่องกง สั่งให้ อายัดบัญชีของกาสิโนวินน์ รีสอร์ตทันที เพื่อจะได้เอาเงิน 6 แสนกว่าเหรียญนี้คืนมา ท่านผู้อ่านอาจจะแปลกใจว่าศาลฮ่องกงมีอำนาจสั่งอายัดเงินของกาสิโนในมาเก๊าได้อย่างไร ขอตอบว่าเพราะวินน์รีสอร์ตนี้มีธุรกิจในมาเก๊าก็จริง แต่รายได้จากมาเก๊าจะโอนเข้าบัญชีในฮ่องกงและกาสิโนก็จ่ายเงินเดือนพนักงาน และโอนเงินให้ลูกค้าที่ชนะพนันจากบัญชีที่ฮ่องกงด้วย ศาลฮ่องกงจึงมีอำนาจสั่งอายัดบัญชีของวินน์รีสอร์ตในฮ่องกงได้ โดยเวสท์แพคบอกศาลว่า วินน์รีสอร์ตรู้ล่วงหน้าว่าฮุยเอาเงินที่เขาโกงมาแลกชิปแล้วยังยอมให้เขาแลกชิปเพื่อจะเล่นการพนัน ฉะนั้นกาสิโนวินน์รู้ล่วงหน้าแล้วว่า นี่เป็นเงินจากการโกง ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ที่จะรับเงินฮุย เมื่อรับมาแล้วก็ไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ต้องเอาเงินคืนธนาคาร

แต่การใช้อำนาจศาลสั่งอายัดบัญชีธนาคาร (Mareva Injunction) นั้น ทนายที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ รู้ดีว่าเป็นดาบสองคม เพราะการขอนั้นง่ายมาก เนื่องจากตามกฎหมายนั้นการขออายัดทรัพย์เป็นเรื่องหนึ่งที่ศาลไม่สามารถเรียกฝ่ายจำเลยมาขึ้นศาล ตอนฟังความจากโจทก์ได้ เพราะถ้าจำเลยรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการอายัดทรัพย์ จำเลยก็จะมีโอกาสถอนเงินในบัญชีนั้นๆ ออกหมดซะก่อน ฉะนั้นพอศาลสั่งอายัดก็เหลือแต่บัญชีเปล่าๆ ยังไงโจทก์ก็เอาเงินที่จำเลยโกงคืนมาไม่ได้ ฉะนั้นขั้นตอนการขึ้นศาลในการขออายัดทรัพย์นั้น ฝ่ายโจทก์จะเป็นฝ่ายกล่าวหาฝ่ายเดียว โดยฝ่ายจำเลยไม่มีโอกาสมาแก้ต่างในศาลด้วย ฉะนั้นศาลส่วนใหญ่ก็จะเชื่อคำกล่าวหาของฝ่ายโจทก์ และออกคำสั่งอายัด อันนี้แหละที่ผมบอกว่าเป็นดาบสองคม เนื่องจากการออกคำสั่งนั้นง่ายมาก แต่การที่โจทก์จะเอาเงินจำเลยออกมาจากบัญชีนั้นไม่ง่ายนัก ฝ่ายโจทก์จะต้องพิสูจน์ได้ว่า จำเลยรู้จริงๆ ว่าเป็นเงินที่โกงมาแล้วยังรับเอาไว้ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลยรู้ล่วงหน้า โจทก์ก็ไม่มีสิทธิ์จะเอาเงินก้อนนั้นคืนมาจากจำเลย และโจทก์เองนั่นแหละที่จะถูกจำเลยฟ้องกลับเพื่อเรียกค่าเสียหาย

โชคไม่ดีสำหรับธนาคาร เพราะสุดท้ายก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าวินน์รีสอร์ตรู้ล่วงหน้าว่าคนที่เอาเงินมาแลกชิป 6 แสนเหรียญเป็นฮุยจริงๆ ซึ่งผมไม่แปลกใจหรอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ วินน์รีสอร์ตเถียงว่า วันๆ หนึ่งมีคนเอาเงินมาแลกชิปมากมาย พนักงานของเราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นใคร วินน์รีสอร์ตอาจจะรู้ล่วงหน้าว่าฮุยเป็นใคร ตอนเขามาแลกชิปก็ได้ แต่ถ้าธนาคารไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าวินน์รีสอร์ตรู้เรื่องฮุยล่วงหน้า รู้ว่าฮุยเป็นใครตอนเขามาแลกชิป แล้วก็ยังยอมให้เขาแลกชิป ธนาคารก็ไม่สามารถเอาเงินจำนวนนั้นคืนได้ สุดท้ายธนาคารไม่สามารถพิสูจน์ได้ เลยเอาเงิน 6 แสนเหรียญคืนไม่ได้ แถมยังโดนกาสิโนฟ้องเรียกค่าเสียหายกลับให้วายป่วงเพิ่มขึ้นอีก

ส่วนฮุย หลังจากตัดสินใจเอาเงิน 6 แสนเหรียญ ไปแทงพนันก็โดนกินเรียบ หอบเงิน 3 ล้านเหรียญที่เหลือเข้าเมืองจีน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเข้าไปได้อย่างไร เพราะประเทศจีนไม่เหมือนประเทศไทยที่อนุญาตให้ประชาชนมีสัญชาติเกิน 1 สัญชาติได้ คนจีนคนไหนที่ต้องการมีสัญชาติฝรั่ง จะต้องทิ้งสัญชาติจีนก่อน ฮุยเป็นคนจีนที่มีสัญชาตินิวซีแลนด์แล้ว ฉะนั้นเขาก็ไม่มีสัญชาติจีนอีกต่อไป ไม่มีสิทธิ์เข้าประเทศจีนทันที ต้องขอวีซ่าก่อน ถ้าตำรวจนิวซีแลนด์ออกหมายจับเขาแล้ว สถานทูตจีนก็ไม่มีทางออกวีซ่าให้ ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าพวกเขาเข้าไปได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม 2 ปีหลังจากฮุยและภรรยาฝรั่งของเขาหนีเข้าไปในประเทศจีน ทั้งสองก็หนีออกมาจากจีน ตัวภรรยาของฮุยบินกลับมานิวซีแลนด์เอง แน่นอนว่าพอบินมาถึงก็ถูกทางการจับทันที ส่วนฮุยหนีออกมาทีหลังและไปที่ฮ่องกง ทันทีที่ฮุยถึงฮ่องกงก็ถูกทางการฮ่องกงจับขึ้นศาล และศาลสั่งให้ส่งตัวกลับนิวซีแลนด์ทันที คดีก็น่าจะเริ่มเดือนหน้า ในความเห็นของผมเชื่อว่าสุดท้ายฮุยกับภรรยาก็คงแพ้คดีเพราะหลักฐานชัดเจน

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพวกเขาจึงต้องหนีออกมา และพวกเขาไม่ยอมบอกว่าทำไม มีการเดาไปต่างๆ นานา คงต้องรอจนกว่าศาลจะตัดสินคดีเสร็จ เราถึงจะรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงหนีออกมาจากเมืองจีน ยอมกลับมาติดคุกที่นิวซีแลนด์ ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของคดีนี้คือแม้ทุกคนที่อ่านข่าวนี้จะยอมรับว่าสิ่งที่ฮุยทำผิดกฎหมายจริง แต่หลายคนก็ตั้งคำถามว่า แล้วถ้าสิ่งที่เกิดกับฮุย เกิดกับตัวคุณเองบ้างล่ะ อยู่ๆ ธนาคารเกิดเลินเล่อโอนเงินเข้าบัญชีของคุณ 10 ล้านดอลลาร์ คุณจะทำอย่างไร จะโอนเงินกลับไป หรือจะถอนเงินนี้ออกมาแล้วหนีไปเลย หลายคนก็บอกว่าจะหนี และหลายคนเช่นกันที่ตอบว่าไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่เคยเจอกับเหตุการณ์นี้ เลยตอบไม่ได้ว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วจะทำอย่างไร

สำหรับผม ถามว่าคนที่ตอบว่าจะหนี หรือที่ตอบว่า ไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไร เป็นคนไม่ดีหรือเปล่า ผมไม่คิด แบบนั้น เพราะคนเราทุกคนมีทั้งความดีและไม่ดีอยู่ในตัวเอง เมื่อไหร่ที่มีอะไรมากระตุ้นให้เราอยากทำความดี เราก็จะทำดี แต่เมื่อไหร่ที่มีเราต้องเลือกระหว่างความถูกต้องกับความร่ำรวย และโอกาสเปิดขึ้นให้เราเลือกความร่ำรวย เราก็อาจจะเลือกความร่ำรวยแทนความถูกต้อง

ผมขอยกตัวอย่างอาชีพนักการเมือง ซึ่งเป็นอาชีพที่หลายคนเชื่อว่าอาชีพนี้เป็นคนไม่ดี สมมุติว่าถ้ารัฐมนตรีคนหนึ่งนั้น อยู่ๆ บริษัทที่เขาตัดสินให้ชนะประมูลเอาเงินสดๆ ใส่ซองมาให้เขาเป็นการขอบคุณ โดยไม่มีใครรู้เห็น เขาก็อาจจะรับ และรัฐมนตรีคนเดียวกันนั้นถ้าเกิดเดินไปเจอคนที่กำลังหิว ไม่มีข้าวกิน เขาก็จะต้องสงสารแล้วไป หาอาหารมาให้คนคนนั้นกิน สรุปว่ารัฐมนตรีคนนั้นเป็นคนดีหรือไม่ดี คำตอบคือเขาก็เป็นคนคนหนึ่งที่ยังตัดไม่พ้นจากกิเลส เมื่อเขารู้สึกอยากทำดี เขาก็ทำดี แต่เพราะเขายังมีกิเลสอยู่ยังตัดความโลภไม่ขาด ถ้าโอกาสเปิดให้เขาเลือกระหว่างความถูกต้องกับความร่ำรวยโดยไม่มีใครรู้เห็น ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเขาจะเลือกอะไร

ฉะนั้นการที่จะป้องกันให้ไม่มีการโกงกินในหน่วยงานใดๆ ไม่ว่าจะเอกชนหรือราชการ จึงไม่ใช่การตัดสินใครว่าคนไหนดีหรือคนไหนไม่ดี แต่คือการสร้างระบบบริหารจัดการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อที่จะไม่เปิดโอกาสให้คนธรรมดาคนหนึ่งที่เกิดมีตำแหน่งอะไรตรงนั้นต้องตัดสินใจเลือกระหว่างความซื่อสัตย์กับความร่ำรวยจากการทำผิดกฎหมายโดยไม่มีใครรู้เห็นได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us