|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |

จีนเข้าเป็นสมาชิกของ WTO มาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งขณะนั้นจีนมีปริมาณการนำเข้าและส่งออกอยู่ที่ 5.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 4.4% ของการค้าโลก ในทศวรรษที่ผ่านมาการนำเข้าและส่งออกของจีนเติบโตในอัตรา 18.3% และ 17.6% ตามลำดับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GDP ของจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปรากฏว่าในปี 2554 ที่ผ่านมาปริมาณการนำเข้าและส่งออกของจีนเท่ากับ 3.64 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดิมเมื่อก่อนเข้าเป็นสมาชิก WTO ถึง 7 เท่า และมีส่วนแบ่งทางการค้าโลกเพิ่มขึ้นถึง 6% ก้าวสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก เป็นประเทศที่มีการนำเข้าสูงสุดอันดับ 1 และการส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
รัฐบาลจีนได้ดำเนินยุทธศาสตร์ “การเติบโตอย่างมั่นคง-การปรับโครงสร้าง และแสวงหาความสมดุล” (Steady growth, structural adjustment and balance-seeking) เพื่อรองรับการค้าต่างประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการเกินดุลการค้าระหว่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่าในปี 2554 จีนเกินดุลการค้าระหว่างประเทศอยู่ที่ 155.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นยอดที่น้อยกว่าปี 2553 จำนวน 26.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
แม้ว่าจะได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ แต่รัฐบาลจีนยังคงดำเนินการด้านการค้าระหว่างประเทศอย่างระมัดระวังและภายใต้ทัศนคติที่มีเหตุผลและแจกแจงให้สังคมโลกทราบเสมอว่า ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมาบริษัทต่างประเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจด้านการค้าระหว่างประเทศในจีน พิจารณาได้จากตัวเลขผลประกอบการรวมของบริษัทเหล่านี้ซึ่งสูงกว่าผลประกอบการของบริษัทจีน โดยมีมูลค่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณการส่งออกทั้งหมด
อย่างไรก็ดี จีนก็ต้องเผชิญกับความท้าทายและแรงต้านทานทั้งภายนอกและภายในอย่างมากมาย รวมไปถึงการได้รับผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะจากยุโรปและอเมริกาเหนือ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่จีนทำการส่งออกมูลค่ามากกว่า 40% และยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีปัญหาการแข่งขันและความขัดแย้งกับจีนเพิ่มมากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนรายงานว่าจีนต้องรับกับปัญหาเรื่องการตอบโต้การทุ่มตลาดมากที่สุดใน 16 ปีที่ผ่านมา รวมถึงต้องเผชิญกับการถูกสอบสวนกรณีการให้เงินสนับสนุนโดยมิชอบตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย
10 ปีที่จีนเป็นสมาชิก WTO ปรากฏว่าจีนมีกรณีที่ต้องถูกฟ้องร้องสอบสวนต่างๆ เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ 602 คดี คิดเป็นวงเงินรวมประมาณ 38.98 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตอบโต้การทุ่มตลาดจำนวน 510 คดี เกี่ยวกับการให้เงินสนับสนุนโดยมิชอบอีก 43 คดี เกี่ยวกับมาตรการปกป้องการนำเข้าจำนวน 106 คดี และอีก 33 คดีเกี่ยวกับมาตรการปกป้องพิเศษ
โดยเฉพาะในปี 2554 จีนต้องเผชิญกับกรณีขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศมากถึง 66 เรื่องภายใต้วงเงินที่ถูกสอบสวนถึง 7.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นเพราะการพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วของจีนได้ไปสร้างความเดือดร้อนแก่หลายๆ ประเทศ
เมื่อพิจารณาโดยรวมการค้าระหว่างประเทศในอนาคตของจีนจะยังคงเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแม้ว่าจะได้รับแรงกดดันและการแข่งขันจากประเทศที่ก้าวหน้ากว่าอย่างเช่นในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่เนื่องด้วยความมีเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค และค่าเงินหยวน ตลอดไปจนถึงขนาดตลาดที่ยิ่งใหญ่ของจีน แรงงานราคาถูก และด้วยศักยภาพของรัฐบาลกลางที่มีนโยบายควบคุมอย่างเข้มงวด ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้ได้ทำให้จีนมีความสามารถในการแข่งขันมากเป็นพิเศษในตลาดการค้าโลก
นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นมูลค่าการส่งออกของจีนซึ่งมีนัยสำคัญ ส่วนแบ่งสินค้า “Made in China” มีจำนวนเกือบกึ่งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นการส่งออกสินค้าแปรรูปในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 พบว่าสินค้า “Made in China” มีส่วนแบ่งสูงถึง 47% ตามสภาพเศรษฐกิจของจีนที่ยังมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นอีก จึงเชื่อได้ว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการส่งออกดังกล่าวจะต้องมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศของจีน
สำหรับการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องของ “Made in China” อาจประเมินได้ดังนี้ในการพัฒนากระบวนการแปรรูปสินค้าเพื่อการส่งออกของจีนนั้น สามารถเรียนรู้จากยุคแรกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเพื่อใช้เป็นบทเรียนที่ดี ในช่วงนั้นสินค้าที่ตีตรา “Made in Japan” ก็เคยประสบปัญหามาแล้วอย่างมากมาย การทำการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่นในยุคนั้นเป็นที่ปรากฏว่าสินค้า “Made in Japan” ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดระดับบนได้ จึงจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ราคาต่ำเข้าไปแข่งขันกับตลาดโลก
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นแล้ว จีนมีข้อได้เปรียบทางการค้าที่มากกว่าญี่ปุ่นในยุคนั้น ประการแรก จีนมีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่เพียงพอที่จะรองรับสินค้า Made in China
สินค้า “Made in China” ในวันนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากสินค้า “Made in Japan” แต่อย่างใด เพราะต่างมีเป้าหมายที่จะไปแข่งขันในตลาดระดับโลก แต่สินค้า Made in China ดูจะคุณภาพไม่ค่อยดีนักและดูไม่ทันสมัย การบริการก็ไม่ได้มาตรฐาน รวมไปถึงการใช้ราคาต่ำเพื่อแข่งขันกันส่งออกอย่างไม่เป็นระบบ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของจีน ในสภาพเช่นนี้ สินค้า Made in China จึงถูกจัดเป็นสินค้าเกรดต่ำคุณภาพต่ำในตลาดโลกไปโดยปริยาย ทั้งยังมีความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างประเทศบ่อยครั้ง รวมถึงการถูกจำกัดโควตา เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างภาพลบแก่จีน และยังเกิดความเสียหายทางการเงินด้วย
รัฐบาลจีนเริ่มที่จะยกระดับกระบวนการทางการค้าต่างประเทศเข้ามาเป็นยุทธศาสตร์อันสำคัญยิ่งของประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 12 ของจีน ระหว่างปี 2554-2558 ได้แสดงให้เห็นว่าได้มีการสนับสนุนให้มีการปรับปรุงนโยบายและมาตรการที่จะทำให้กระบวนการที่เกี่ยวกับการค้าต่างประเทศดียิ่งขึ้น กล่าวคือไม่เพียงแต่การประกอบการเพื่อการส่งออกแต่จะครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบเน้นการผลิตชิ้นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าต่างๆ ระบบโลจิสติกส์ และการขยายบทบาทห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มในประเทศให้มากขึ้น
จากสถิติที่ได้บันทึกไว้ มีบริษัทองค์กรขนาดใหญ่ของโลกที่ติดอันดับ “Fortune 500” ของนิตยสารฟอร์จูน ถึง 480 แห่งได้เข้ามาลงทุนในจีน สิ่งที่จีนจะได้รับประโยชน์ก็คือเทคโนโลยี การจัดการด้านคุณภาพ และแนวความคิดทางการตลาดอันก้าวล้ำ ซึ่งจะเป็นการยกระดับและส่งเสริมให้กระบวนการผลิตของจีนก้าวขึ้นไปสู่การเป็น “โรงงานของโลก” ที่มีคุณภาพ มีความเข้มแข็ง ในการวิจัยและพัฒนา มีการออกแบบที่โดดเด่น ตลอดจนการได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาในผลิตภัณฑ์ของตนเอง ซึ่งเมื่อก้าวไปสู่จุดนั้นสินค้า Made in China ก็จะได้แสดงบทบาทสำคัญในตลาดโลก เพราะได้เป็นสินค้าที่มีมาตรฐานระดับโลกอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม คงเป็นเรื่องยากและต้องใช้กระบวนการที่ยาวนานพอสมควร เพื่อที่จะยกระดับมาตรฐานสินค้า Made in China การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความพยายามอย่างจริงจังของบริษัทจีนเท่านั้น
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและความก้าวหน้าของเศรษฐกิจจีน จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทย เอเชีย และกับโลกด้วย และเป็นที่น่ายินดีที่เห็นว่าจีนยังคงเป็นประเทศแรกที่ทั้งธนาคาร โลกและองค์กรวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจระดับโลกหลายแห่งมองว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งการที่รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 8% ในปี 2555 นั่นหมายถึงว่าจีนยังมีความตั้งมั่นที่จะแก้ไขและสร้างเสถียรภาพเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านการค้าระหว่างประเทศ
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำในยุโรปและสหรัฐอเมริกา จีนควรฉวยโอกาสอย่างเต็มที่จากข้อได้เปรียบที่มีอยู่จากสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อเร่งรัดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งในแง่ของความรวดเร็วและคุณภาพ และเมื่อใดก็ตามที่จีนสามารถลบล้างจุดอ่อนของสินค้า Made in China และสามารถเสริมความเข้มแข็งด้านคุณภาพรวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้า Made in China ก็จะเกิดการยกระดับมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศของจีนให้สูงขึ้น
จึงไม่น่ามีข้อสงสัยแต่อย่างใดว่า จีนจะก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจด้านการค้าระหว่างประเทศที่แข็งแกร่งในไม่ช้า
|
|
 |
|
|