คนที่เคยศึกษาประวัติศาสตร์การเงินของประเทศไทยคงจะทราบว่า ระบบการเงินของไทยนั้น
เป็นระบบที่มีความแน่นอนมั่นคงไม่เลวทีเดียว กล่าวคือ เป็นระบบที่ใช้เงินเป็นมาตรฐาน
ที่ศัพท์ทางการเงินเรียกว่า "มาตราเงิน"(Silver Standard) มาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
โดยถือเอาเงินพดด้วงบ้าง เงินฮางบ้าง เป็นหน่วยมาตรฐาน และมีเบี้ยเป็นเงินปลีก
ซึ่งเงินหน่วยมาตรฐานและเงินปลีกเหล่านี้ได้พัฒนาเรื่อยมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนกระทั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ตอนต้น โดยตัวเงินที่เป็นหน่วยมาตรฐานทำด้วยเนื้อเงินจริงๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกมันว่า
"เงิน" เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน
คงมีแต่เงินปลีกเท่านั้นที่มิได้ทำด้วยเนื้อเงิน หากใช้หอยเบี้ยบ้าง เหรียญทองแดงบ้าง
ซึ่งมีหลายขนาด ชนิดต่างๆ ของเงินเหรียญมีราคาจากต่ำไปหาสูง ดังนี้คือ โสฬส,
อัฐ, เสี้ยว, ซีก, เฟื้อง, (ทั้งหมดทำด้วยทองแดง), สลึง, บาท, ตำลึง, ชั่ง
ทำด้วยเนื้อเงิน แค่เหรียญบาท แล้วต่อไปก็ 4 บาท เป็น 1ตำลึง, 20 ตำลึง เป็น
1 ชั่ง
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รัฐบาลสยามยังใช้ "มาตราเงิน"
เป็นมาตรฐานในระบบเงินตราสยาม และในการกำหนด "ค่าแลกเปลี่ยน" หรือ
"ค่าปริวรรต" (Exchange Value) ของเงินก็ยังคงถือเอาปริมาณเนื้อเงินของเหรียญบาทมาเทียบค่ากับเนื้อเงินของเงินตราต่างประเทศในสมัยนั้น
ตัวอย่างเช่น เมื่อเอาเนื้อเงินของเหรียญดอลลาร์เม็กซิโกมาเปรียบเทียบกับเนื้อ
เงินของเหรียญบาทไทยแล้วก็ปรากฏว่าเงิน 3 ดอลลาร์ของเม็กซิโกมีค่าเท่ากับเงินเหรียญบาทสยาม
5 บาท
ดังนั้น เมื่อธนาคารในกรุงสยามเวลานั้นต้องการเอาเงินตราสยามไปใช้จ่าย
ก็ต้องเอาเหรียญเงินเม็กซิโกไปแลกเอาเหรียญเงินบาท และเงินปลีกตามอัตราราคาดังกล่าว
ส่วนการเทียบค่าของเงินเหรียญบาทสยามกับเงินตราต่างประเทศสำหรับประเทศที่ถือมาตราทองคำนั้น
เช่น เงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ เงินเหรียญดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ก็ให้คำนวณปริมาณเนื้อทองในเงินเหรียญของสกุลนั้นๆ เทียบค่าออกมาเป็นราคาเงินเสียก่อน
แล้วจึงคิดอัตราแลกเปลี่ยนออกมาตามปริมาณเนื้อเงินเหรียญบาทของสยาม
ที่กล่าวมานั้น เป็นสภาพการที่เป็นมาอย่างราบรื่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2440 ย้อนหลังขึ้นไป
แต่แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2414 เป็นต้นมา สถานการณ์ปั่นป่วนเริ่มก่อตัวขึ้นมา
โดยมีการขุดพบแร่เงินกันมากขึ้นทำให้มีผู้ผลิตเหรียญเงินออกมาใช้กันมาก
จนส่งผลกระทบกระเทือนไปยังประเทศที่ใช้ "มาตราเงิน" ในระบบการเงินของตน
แปลว่าระบบเหรียญเงินกำลังประสบกับปัญหาเงินเฟ้อเข้าให้แล้ว
สยามเริ่มเข้าสู่มาตราทองคำ
จากวิกฤตการณ์ของการใช้มาตราเงินดังกล่าว รัฐบาลสยามในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยคำแนะนำช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวอังกฤษ ประจำกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
จึงได้เริ่มจัดระบบการเงินเสียใหม่ ด้วยการออกจาก "มาตราเงิน"
เข้าสู่ "มาตราทองคำ" (Gold Standard) โดยเลิกรับแลกเปลี่ยนเหรียญเงินดอลลาร์เม็กซิโกอย่างที่แล้วๆ
มาเป็นรับแลกเปลี่ยนเหรียญทองปอนด์สเตอร์ลิงที่นำเข้าบัญชีของรัฐบาลสยาม
ในกรุงลอนดอน แล้วให้ธนาคารมารับเงินบาทจากกรมพระคลังของกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ
ทั้งนี้ ได้เริ่มปฏิบัติตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2445 เป็นต้นมาเพื่อรักษาค่าของเงินบาทไม่ให้ตกต่ำลงไปอีก
ด้วยการเชื่อมโยงค่าของเงินบาทสยามไว้กับค่าของเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ
ในอัตรา 17 บาท ต่อ 1 ปอนด์สเตอร์ลิง
อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเข้าสู่มาตราทองคำของรัฐบาลสยามในตอนนั้น เป็นช่วงระยะของการทดลอง
โดยอาศัยการผูกค่าของเงินบาทไว้กับเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ
แต่เนื่องจากพลังทางเศรษฐกิจของไทยยังไม่เทียบได้กับพลังเศรษฐกิจของอังกฤษ
ค่าแลกเปลี่ยนของเงินบาทสยามกับเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษ จึงขึ้นๆ ลงๆ
ผันแปรไปตามตลาดการเงินของอังกฤษ
โดยในระยะแรกๆ ปรากฏว่าเงินบาทสยามมีค่ามากถึงกับมีอัตราแลกเปลี่ยนเป็น
8 บาท ต่อ 1 ปอนด์สเตอร์ลิง (ในปี พ.ศ. 2414) แต่ต่อมาเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2445
ค่าของเงินบาทไทยในตลาดการเงินกลับตกต่ำลงมาเป็น 21 บาทต่อ 1ปอนด์สเตอร์ลิง
เหตุที่ค่าของเงินบาทตกต่ำลงเช่นนั้นก็เพราะรัฐบาลสยามในสมัยนั้นยังไม่มีทุนสำรองทองคำหรือเหรียญทองปอนด์สเตอร์ลิง
มากพอที่จะนำออกมารับซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเงินบาทได้ประกอบกับอุปสงค์เงินบาทยังมีน้อย
ค่าแลกเปลี่ยนของเงินบาทจึงได้ตกต่ำลงไปดังกล่าวแล้ว ด้วยเหตุนี้เพื่อให้การใช้
"มาตราทองคำ" ของสยามมีระบบที่มั่นคงแข็งแรง รัฐบาลในสมัยนั้นจึงได้ตราพระราชบัญญัติมาตราทองคำ
ร.ศ. 127 ออกมาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 เพื่อเปลี่ยนระบบการเงินจาก
มาตราเงินเข้าสู่มาตราทองคำตามหลักสากลนิยมของสมัยนั้นอย่างจริงจัง
และโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติได้ออกประกาศกำหนด
"ค่าทองคำ" ของเงิน 1 บาทให้มีค่าเท่ากับทองคำบริสุทธิ์หนัก 55.8
เซนติกรัม
และด้วยการเทียบกับค่าทองคำของเงินปอนด์สเตอร์ลิง ก็กำหนดให้เงินสยาม
13 บาทมีค่าเท่ากับเงินอังกฤษ 1 ปอนด์สเตอร์ลิง พร้อมกันนั้นก็มีการจัดตั้งทุนสำรองทองคำขึ้นไว้ด้วย
เพื่อรักษาค่าของเงินบาทสยาม และรักษาค่าแลกเปลี่ยนต่างประเทศของเงินบาทให้อยู่ในอัตราที่มั่นคงแน่นอน
ระบบการเงินของสยามในสมัยนั้นนับว่ามั่นคงแน่นอนและมีเสถียรภาพมากที่สุด
การลดค่าของเงินสมัยมาตราทองคำ
ในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2455-2460) ระบบจักรวรรดินิยมของประเทศมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมยังมีอยู่
ประเทศมหาอำนาจอุตสาหกรรมที่มีเมืองขึ้นและเมืองอาณานิคมของตนเอง จึงมักทำการค้าระหว่างประเทศภายในอาณาจักรแห่งระบบจักรวรรดิของตนเช่น
อังกฤษ ก็ทำการค้าระหว่างประเทศภายในอาณาจักรแห่งระบบจักรวรรดิของตน ฝรั่งเศส
ก็ทำการค้าภายในอาณาจักรจักรวรรดินิยมของตน ฮอลันดา หรือดัตช์ ก็ทำการค้าภายในจักรวรรดินิยมของตน
ฯลฯ ดังนั้น ปัญหาการชำระดุลการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นในแต่ละอาณาจักรจักรวรรดินิยม
จึงทำกันที่ธนาคารในนครหลวง อันเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดินิยมนั้นๆ เช่น
จักรวรรดินิยมอังกฤษ ก็ชำระดุลการค้าส่วนที่ขาดดุล-เกินดุล กันที่ธนาคารในกรุงลอนดอน
จักรวรรดินิยมฝรั่งเศสก็ทำกันในกรุงปารีส
จักรวรรดินิยมฮอลันดาก็ทำกันในกรุงอัมสเตอร์ดัม เป็นต้น นานๆ สักครั้ง
จึงจะมีการค้าระหว่างจักรวรรดิกับจักรวรรดิกัน ฉะนั้นปัญหาเกี่ยวกับการชำระเงินตามดุลการค้า
จึงไม่ค่อยมี
สำหรับประเทศสยามนั้นแม้จะมิได้เป็นเมืองขึ้นหรือเมืองอาณานิคมของมหาอำนาจอุตสาหกรรมใดก็ตาม
แต่ในด้านการค้าต่างประเทศแล้ว ผู้ที่มีอำนาจอิทธิพลมากที่สุด ก็ได้แก่ อังกฤษกับฝรั่งเศส
ด้วยเหตุนี้ ธนาคารอังกฤษ (คือ ธนาคารฮ่องกงและเชี่ยงไฮ้ แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น)
กับธนาคารของฝรั่งเศส (คือ ธนาคารบังก์เดอ แล็ง โดชิน) จึงเป็นธนาคารแรกที่เข้ามาตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ
แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกรุงสยามในสมัยนั้น เป็นประเทศกสิกรรม 100% พลเมืองส่วนใหญ่เป็นชาวนา
ชาวไร่ ชาวสวน การค้าต่างประเทศทั้งหมดจึงอยู่ในกำมือของพ่อค้าอังกฤษกับพ่อค้าฝรั่งเศสเป็นส่วนมาก
และโดยที่พ่อค้าทั้ง 2 ชาตินี้มีธนาคารของตนเองอยู่แล้วในกรุงเทพฯ การหักบัญชีชำระเงินทางการค้าจึงทำกันโดยผ่านธนาคารของประเทศพ่อค้าเหล่านั้น
วัตถุทางการค้าระหว่างประเทศของกรุงสยามที่พ่อค้าอังกฤษและฝรั่งเศสใช้ในการส่งออก
ก็ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ที่สำคัญได้แก่ข้าว ต่อมาก็มียางและแร่ดีบุก
ส่วนสินค้าเข้าก็มีสินค้าทางอุตสาหกรรม แต่ก็มีไม่มากนัก เนื่องจากอุปสงค์ยังมีน้อย
ผู้ที่ต้องการสินค้าประเภทนี้ก็มีแต่เจ้านายในรั้วในวัง และพวกอำมาตย์ราชบริพารชั้นสูงเท่านั้น
กรุงสยามจึงมีแต่สินค้าออกมากกว่าสินค้าเข้าอยู่ตลอดเวลา คือมีดุลการค้าเกินดุล
เมื่อสภาพทางเศรษฐกิจการค้าเป็นเช่นนี้ความจำเป็นที่จะต้องลดค่าของเงินบาท
จึงไม่มี จนกระทั่งมาถึงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมที่เข้าร่วมในสงครามโลกดังกล่าวอันมี
อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ฝ่ายหนึ่งกับเยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และตุรกี
อีกฝ่ายหนึ่ง ต่างประสบกับภาวะวิกฤต ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงกรุงสยามในปลายรัชสมัยรัชกาลที่
6 ต่อกับต้นรัชกาลที่ 7
จากวิกฤตการณ์ดังกล่าวนั้นเองเพื่อพยุงฐานะทางการเงินเอาไว้ อังกฤษจึงได้ลดค่าทองคำแห่งเงินปอนด์สเตอร์ลิงของตนลงมา
เงินบาทของสยามแม้จะยึดค่าตามมาตราทองคำก็ตาม แต่เนื่องจากในช่วงนั้น
ราคาทองคำในตลาดลอนดอนสูงขึ้น ประกอบกับเงินบาทไทยผูกค่าต่างประเทศไว้กับปอนด์สเตอร์ลิง
ฉะนั้นเมื่อเงินปอนด์สเตอร์ลิงลดค่าลงมา ที่ปรึกษากระทรวงพระคลังมหาสมบัติของกรุงสยามในสมัยนั้น
ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ จึงแนะนำให้รัฐบาลสยามลดค่าทองคำของเงินบาทลงมาตามอย่างเงินปอนด์ของอังกฤษด้วย
พอจะกล่าวได้ว่าพอลดค่าเงินบาทของไทยในสมัยที่ไทยถือมาตราทองคำนั้น ไม่ใช่ลดลง
เนื่องจากสาเหตุของการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินแต่อย่างใด
หากลดลงเพราะราคามาตรฐานของทองคำสูงขึ้น หรือไม่ก็ลดลงเพราะเงินตราของประเทศที่เงินบาทไทยไปผูกค่าอยู่ด้วยนั้น
(คือเงินปอนด์สเตอร์ลิง และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2481 เป็นต้นมาได้ไปผูกค่าไว้กับเงินดอลลาร์ของสหรัฐฯ
ด้วย โดยคำนวณตามปริมาณทองคำบริสุทธิ์ของเหรียญดอลลาร์สหรัฐ) ได้ลดลง ดังกรณีวิกฤตการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่
1 ดังได้กล่าวมาแล้ว กลับลดลงอีก 1 หรือ 2 ครั้ง ก่อนหน้าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่
2
เพราะฉะนั้นการลดค่าของเงินบาทไทยในสมัยโน้นจึงไม่ค่อยมีการกระทำกันบ่อยนัก
ค่าของเงินบาทไทยจึงมีเสถียรภาพมั่นคงมานานแสนนาน ผู้เขียนจำได้ว่า ในสมัยโน้น
ก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 สตางค์ ตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นมาจนกระทั่งเข้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย
การลดค่าเงินบาท สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติและสถาบันการเงินขึ้นมา
2 สถาบัน คือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งมีหน้าที่ดูแลระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินระหว่างประเทศ
และจัดสรรเงินสำรองให้แก่ประเทศสมาชิกเพื่อใช้จ่ายในการชำระเงินตามดุลชำระเงินระหว่างประเทศ
และธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนาการหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า ธนาคารโลก (World
Bank) เพื่อให้กู้ยืมเงินแก่ประเทศสมาชิกในการใช้จ่ายเพื่อบูรณะและพัฒนาการหลังสงคราม
บรรดาประเทศที่เป็นสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่างยึดมั่นตามกติกาหรือกฎบัตรของสถาบันที่เรียกกันว่า
"สัญญาแบรตตัน วู้ด" ซึ่งกำหนดให้ประเทศสมาชิกใช้ระบบเงินตราเป็น
"มาตราทองคำ" โดยแต่ละประเทศจะต้องมีทองคำสำรองเงินตราของตน ตามจำนวนที่จำเป็น
และมอบอำนาจให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีอำนาจโอนทองคำสำรองของประเทศที่มีดุลชำระเงินขาดดุล
เข้าไปในกองทุนเพื่อจัดชำระให้แก่ประเทศที่มีดุลชำระเงินเกินดุลต่อไป
การใช้มาตราทองคำระหว่างประเทศตามสัญญาแบรตตัน วู้ด ได้ดำเนินมาด้วยความเรียบร้อย
ในระยะเวลาร่วม 20 ปี จนกระทั่งภาวะตลาดทองคำเกิดความปั่นป่วน ทำให้เป็นการยากที่จะกำหนดราคามาตรฐานที่แน่นอนของทองคำได้
สถาบันกองทุนการเงินระหว่างประเทศจึงได้เปลี่ยนระบบการเงินระหว่างประเทศจาก
"มาตราทองคำ" มาเป็น "สิทธิเบิกถอนพิเศษ" (Specail Drawing
Right) ที่มักเรียกกันว่า "ทองคำกระดาษ" ที่กำหนดค่ากันขึ้นมา
และใช้เป็น "เงินกองกลาง" เพื่อการหักหนี้ระหว่างประเทศที่มีดุลชำระเงินขาดดุลกับประเทศที่มีดุลชำระเงินเกิน
เมื่อเป็นเช่นนี้ การลดค่าของเงินจึงแทนที่จะเป็นไปตามสถานภาพของราคามาตรฐานทองคำ
หรือตามฐานะทางการเงินของประเทศมหาอำนาจที่ตนเอาค่าของเงินไปผูกพันไว้ด้วย
จึงกลับกลายว่า เป็นไปตามสถานภาพทางการค้าระหว่างประเทศของประเทศเจ้าของเงินนั้นเอง
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือการที่ประเทศสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศจำต้อง
"ลดค่าของเงิน" ก็เพื่อเป็นการทำโทษที่ประเทศนั้นมี "ดุลชำระเงินขาดดุล"
เพราะการลดค่าของเงินในประเทศใด จะทำให้ค่าของเงินประเทศนั้น "ต่ำลง"
ในตลาดต่างประเทศและค่าของเงินของประเทศที่ตนเอาเงินไปผูกไว้นั้นมี "ค่าสูงขึ้น"
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่า เมื่อปีที่แล้วมาประเทศไทยมีดุลชำระเงินขาดดุล
17.8% ของยอดรวมงบการเงินสถาบันกลาง คือกองทุนการเงินเห็นว่าประเทศไทยไม่สามารถหาเงินมาชำระดุลชำระเงินของประเทศ
ส่วนที่ขาดอยู่นั้นได้ ประเทศไทยก็ต้องกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศไปชำระดุลส่วนที่ขาดนั้นเป็นจำนวน
17.8% ของยอดรวมแห่งงบดุลการเงินของประเทศ เมื่อเป็นเช่นนี้ประเทศไทยในฐานะเป็นสมาชิกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศก็ต้องปฏิบัติตามกติกา
คือลดค่าของเงินลงไป 17.8% เพื่อให้ค่าของเงินบาทลดต่ำลง 17.8% ในตลาดแลกเปลี่ยนเงิน
หรือเพื่อให้ค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหน่วยเงินสากลในการชำระหนี้ระหว่างประเทศ
ได้สูงขึ้น 17.8% เช่นกัน
เพราะฉะนั้นการที่ประเทศไทยต้องลดค่าของเงินก็คือที่ประเทศไทย "ถูกทำโทษ"
จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศนั่นเอง
ปัญหามีว่า มีใครตัวไหนบ้างที่ทำให้ประเทศต้อง "ถูกทำโทษ" ในครั้งนี้?