Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา เมษายน 2555
เล่าขานตำนาน St.Regis             
โดย มานิตา เข็มทอง
 


   
www resources

Starwood Hotels and Resorts Worldwide Homepage

   
search resources

Starwood Hotels and Resorts Worldwide, Inc.
Hotels & Lodgings




จากตอนที่แล้วได้เล่าเรื่องราวความเป็นมาของโรงแรม St.Regis ถึงเมื่อครั้งที่ St.Regis เปิดตัวครั้งแรกบนถนน Fifth Avenue แห่งมหานครนิวยอร์กเมื่อปี 1904 ซึ่งหลังจากโรงแรม St. Regis เปิดบริการได้เพียง 8 ปี John Jacob Astor ที่ 4 แยกทางกับ Ava Astor ภรรยาคนแรกของเขาในปี 1912 และสมรสใหม่กับ Madeleine Talmage Force วัย 18 ปี จากนั้นทั้งคู่ได้เดินทางไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในประเทศยุโรป และตัดสินใจเดินทางกลับสหรัฐอเมริกาทางเรือเดินสมุทรสุดหรูไททานิก หรือ RMS Titanic (Royal Mail Ship Titanic) เที่ยวปฐมฤกษ์ในวันที่ 10 เมษายน 1912 โดยเดินทางจากท่าเรือเซาแทมป์ตันของอังกฤษไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่ง John Jacob Astor มิอาจทราบได้ว่า การเดินครั้งนี้จะเป็นเที่ยวแรกและเที่ยวสุดท้ายของเขาบนเรือประวัติศาสตร์ลำนี้

จากรายงานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า เมื่อเวลาประมาณเกือบเที่ยงคืนของวันที่ 14 เมษายน 1912 เรือไททานิก ซึ่งเป็นเรือเดินสมุทรสุดหรูลำใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้นได้เกิดอุบัติเหตุชนภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เป็นเหตุให้เรืออับปางลงอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารทั้งหมด 2,223 คน มีผู้รอดชีวิตเพียง 706 คน และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 1,517 คน John Jacob Astor ที่ 4 ขณะนั้นมีอายุเพียง 48 ปี เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เสียชีวิตในโศกนาฏกรรมครั้งประวัติ ศาสตร์นั้นด้วย

หลังจาก John Jacob Astor ที่ 4 เสียชีวิต โรงแรม St.Regis ตกทอดสู่ Vincent Astor บุตรชาย ของเขาที่เกิดกับ Ava ภรรยาคนแรก ต่อมาในปี 1927 Vincent ได้ขายโรงแรมให้กับ Benjamin Newton Duke โดยภายใต้ทีมบริหารชุดใหม่นี้ St.Regis ถูกต่อเติมเพิ่มเป็น 20 ชั้น เพิ่มจำนวนห้องพักทั้งหมดเป็น 540 ห้อง รวมทั้งห้องบอลรูมชั้นบนสุดของโรงแรม และห้องอาหารสไตล์ตะวันออกที่ใช้ชื่อว่า The Salle Cathay ก็ถูกสร้างขึ้นในปีเดียวกัน จากนั้นในปี 1932 มีการนำภาพเขียน “Old King Cole” ที่วาดโดย Maxfield Parrish มาตกแต่งในผนังบาร์ King Cole และในปี 1934 บาร์เทนเดอร์นามว่า Fernand Petiot ได้ผสมเครื่องดื่มค็อกเทลสูตรใหม่ขึ้นมา โดยให้ชื่อว่า “Red Snapper” หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันคือ “Blood Mary” ขณะที่ St.Regis Bangkok ก็มีค็อกเทลสูตรดังเช่นกันเรียกว่า “Siam Mary”

ต่อมาท่ามกลางความผันแปรทางเศรษฐกิจในปี 1935 Vincent ได้หาทางซื้อ St.Regis กลับมาจากกลุ่ม Dukes และเขาได้ลงมือลงแรงปรับเปลี่ยนปัดฝุ่นทั้งการบริหารงานและตัวโรงแรมเองจนสามารถ ทำให้ St.Regis กลับมามีกำไรได้ภายในสองปี เขาเปลี่ยน The Seaglades ให้เป็น The Maisonette Russe ไนต์คลับที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมมากที่สุดในนิวยอร์กขณะนั้น ส่วนห้องบอลรูมบนชั้นหลังคาก็เปลี่ยนเป็น The Viennese Roof ห้องอาหารสุดหรูที่ตกแต่งจำลองบรรยากาศของพระราชวังฤดูร้อนเชินบรุนน์แห่งเวียนนามาไว้ที่นิวยอร์ก ซึ่งในเวลานั้น The Viennese Roof กลายเป็นที่พบปะของบรรดาผู้มั่งคั่งจากทุกมุมโลก โดยเริ่มเสิร์ฟอาหารค่ำสุดหรู พร้อมการแสดงของวงดนตรี Vincent Lopez Orchestra ตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม ด้วยราคา เพียง 3 เหรียญ

ต่อมาในปี 1938 ห้องอาหาร The Salle Cathay ถูกปรับปรุงใหม่เปลี่ยนเป็นลานสเกตน้ำแข็ง ขนาดกว้าง 18 ฟุต ยาว 20 ฟุต และมีเวทีแสดงดนตรี อยู่ด้านบน ใช้ชื่อใหม่ว่าห้อง The Iridium เป็นสถานที่ แสดงสเกตน้ำแข็งที่โด่งดังในนิวยอร์กขณะนั้น โดยคืน แรกของการเปิดห้องใหม่นี้ Dorothy Lewis นักสเกต น้ำแข็งที่มีชื่อเสียงขณะนั้นให้เกียรติเป็นผู้แสดงเปิดลานน้ำแข็ง โดยมีวงดนตรี Emil Coleman เป็นวงบรรเลงเพลงประกอบการแสดงของเธอ และทุกๆ วันที่ 4 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันปฐมฤกษ์เปิดห้อง The Iridium จะมีการแสดงรอบพิเศษ เพื่อมอบรายได้ให้แก่มูลนิธิสนับสนุนนักดนตรีของ Helen Huntington Astor ในปี 1947 ห้อง Iridium ถูกปิดลง เพื่อปรับปรุงเป็นห้องอาหาร The King Cole Grille ที่บนผนังเหนือบาร์ยังคงตกแต่งด้วยภาพเขียน Old King Cole ฝีมือของศิลปิน Maxfield Parrish เช่นเดิม อีกหลายสิบปีต่อมาชื่อ Iridium ถูกนำกลับมาใช้ตั้งเป็นชื่อสปาของ St.Regis ในโอซากา ญี่ปุ่น และ St.Regis Lhasa Resort ในทิเบต

Vincent Astor บริหารโรงแรม St.Regis นิวยอร์ก จนถึงวาระสุดท้ายของเขาในปี 1959 หลังจากสิ้น Vincent Astor โรงแรมถูกเปลี่ยนไปหลายมือ หนึ่งในนั้นคือ Cesar Balsa ชาวเม็กซิกันที่เกิดในสเปน เจ้าของกิจการโรงแรมหลายแห่งในยุคนั้นเป็นหนึ่งที่เข้ามาควบคุมกิจการ St.Regis ในระยะสั้นๆ ต่อมากลุ่มจัดการดูแลทรัพย์สินชุมชนแห่งรัฐนิวยอร์กจัดให้ St.Regis เป็นแลนด์มาร์กประวัติศาสตร์ ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของนครนิวยอร์ก ในปี 1965 จากนั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1966 กลุ่ม Sheraton แห่งอเมริกาได้เข้าซื้อกิจการ St.Regis ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Maxfield Parrish ศิลปินผู้วาดรูป “Old King Cole” ที่อยู่ในบาร์ King Cole เสียชีวิตด้วยวัย 95 ปี

ภายใต้การบริหารของ Sheraton ห้องพักเดี่ยวของโรงแรมมีราคาเริ่มต้นคืนละ 35 เหรียญไปถึง 55 เหรียญ ส่วนห้องพักคู่มีราคาเริ่มต้นที่ 40 เหรียญถึง 60 เหรียญ และตลอดปีแรกได้มีการปรับปรุงห้องพักจำนวน 250 ห้อง รวมถึงห้องบอลรูมบนหลังคา ห้องอาหาร King Cole Grill ที่ถูกปรับปรุงใหม่ด้วยอุปกรณ์ครัวที่ทันสมัย และเปลี่ยนชื่อเป็นห้องอาหาร Old King Cole และบาร์ King Cole ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบาร์ St.Regis ในเดือนพฤศจิกายนของปี 1977

ต่อมาในปี 1985 เครื่องดื่มค็อกเทล Blood Mary หรือชื่อเดิมคือ Red Snapper ฉลองอายุครบ 30 ปี ซึ่งสูตรดั้งเดิมมีส่วนประกอบดังนี้ วอดก้า 1.5 ออนซ์ น้ำมะเขือเทศ 3 ออนซ์ เหยาะเกลือ ขึ้นฉ่าย และซอส Tabasco เล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาติที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น ตกแต่งด้วยก้านขึ้นฉ่ายแทนไม้คนค็อกเทล

จากนั้นในปี 1988 โรงแรมได้ปิดให้บริการเพื่อการปรับปรุงครั้งใหญ่ นับเป็นการปิดกิจการครั้งแรกหลังจากที่เปิดให้บริการมานานถึง 84 ปี และในปีเดียวกันนั้น St.Regis ได้รับขนานนามให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งนครนิวยอร์กอีกครั้ง โดยสมาคมอนุรักษ์โบราณสถานที่สำคัญแห่งรัฐนิวยอร์ก

St.Regis เปิดให้บริการอีกครั้งในเดือนกันยายน 1991 หลังปิดปรับปรุงนานถึง 3 ปีเต็ม โดยมี Jacqueline Astor Drexel หลานสาวของ Vincent Astor ให้เกียรติมาตัดริบบิ้นเปิดงาน การปรับปรุงในครั้งนั้นคิดเป็นมูลค่า ทั้งสิ้น 100 ล้านเหรียญ เพื่อปรับเปลี่ยนระบบไฟฟ้าและเครื่องกลต่างๆ ให้ทันยุคด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ทั้งยังมีการปรับขนาดของห้องพักให้มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางและหรูหรามากขึ้น จากจำนวนห้องพักเดิมที่เคยมีอยู่ 557 ห้อง ลดลงเหลือเพียง 365 ห้อง ซึ่งในจำนวนนี้รวมห้องสวีตใหม่ 3 แบบด้วยกันคือ ห้อง Tiffany Suite ห้อง Christian Dior Suite และห้อง Orient Suite นอกจากนั้นบริเวณโถงหลักของโรงแรมได้ถูกตกแต่งด้วยพื้นให้เหมือนโถงเดิมสมัยเมื่อปี 1904 ห้องอาหาร Astor Court ที่ตกแต่งเหมือน Palm Court ดังเดิมเสร็จสมบูรณ์อลังการ ด้วยเพดานภาพวาดสไตล์ Trompe l’oeil ทั้งยังเปิดตัวห้องอาหารฝรั่งเศส ชื่อว่า Lespinasse เป็นครั้งแรกอีกด้วย

เมื่อปี 1998 ซึ่งเป็นช่วงปลายศตวรรษที่ 20 St. Regis ได้เปลี่ยนมือจาก Sheraton เข้าสู่ใต้ร่มของโรงแรม และรีสอร์ตเครือ Starwood อันเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ หรูชื่อว่า St.Regis แห่งศตวรรษที่ 21 ภายใต้การบริหารจัดการของเครือ Starwood โดยในปี 1999 ได้เปิดตัว St.Regis ใหม่ 5 แห่งพร้อมกันทั่วโลก เริ่มจาก St.Regis Aspen โคโลราโด และ St.Regis Houston เทกซัส ตามมาด้วย St.Regis Rome อิตาลี St.Regis Beijing จีน และ St.Regis Washington D.C. ปัจจุบัน St.Regis มีทั้งหมด 43 โรงแรมทั่วโลก รวมทั้งที่กำลังจะเปิดในอนาคตด้วย

ในปี 2012 นี้ St.Regis New York จะมีอายุครบ 108 ปี และคงสถานะโรงแรม 5 ดาวจาก Forbs Travel Guide เป็นเวลาติดต่อกันนานถึง 18 ปีแล้ว ในขณะที่ St.Regis Bangkok เพิ่งฉลองขวบปีแรกแห่งการเริ่มต้น... วันเวลาแห่งการเดินทางยังอีกยาวนาน

ข้อมูลจาก www.stregisnewyork.com
www.starwoodhotels.com   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us