ธุรกิจเสริมสวยเป็นธุรกิจหลายพันล้าน ที่เปรียบเสมือนเสือซุ่มเงียบ นับวันจะโตขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่กระโตกกระตาก ไม่ว่าธุรกิจโดยส่วนรวมจะเป็นเช่นไรก็ตาม วงการเสริมสวยก็ยังโกยเงินคนได้ทุกเพศทุกวัย
เมื่อวงการเสริมสวยทำรายได้ดีเช่นนี้ จึงมีการเปิดร้านกันเกร่อไปหมด และจุดขายสำคัญที่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ดี คือความทันสมัยและแหวกแนว
ดังนั้นแต่ละแห่งจึงพยายามแข่งขันกันหาเทคนิคใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งนับวันวิวัฒนาการด้านนี้จะฉีกแนวออกไปจากเดิมจนตามไม่ทัน
และในยุคเศรษฐกิจที่คนตกงานมากเช่นนี้ ทำให้วงการเสริมสวยยิ่งคึกคักขึ้น เพราะคนหันมาสนใจเรียนวิชาชีพ
สนามแข่งขันใหม่ล่าสุดจึงมาลงกันที่โรงเรียนเสริมสวย โดยเปิดศึกชิงลูกศิษย์กันอย่างถึงพริกถึงขิง
จนต้องขยับฐานลงมาเล่นกับผู้มีรายได้ระดับต่ำและกลุ่มแม่บ้านบ้างแล้ว
ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ เริ่มจะม้วนเสื่อกลับบ้านเก่ากันเป็นแถวๆ แต่ยังมีธุรกิจหนึ่งซึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างเงียบๆ
และสามารถดำเนินกิจการไปได้เรื่อยๆ ตามยุคสมัย นั่นก็คือธุรกิจเสริมสวย ลองสังเกตดูไม่ว่ายุคใดสมัยใด
ธุรกิจใดจะเฟื่องหรือธุรกิจใดจะฟุบก็ตาม ธุรกิจเสริมสวยก็สามารถเอาตัวรอดมาได้เสมอ
ตราบเท่าที่ความสวยงามยังจรรโลงโลก
จากการสำรวจของ "ผู้จัดการ" พบว่าผู้หญิงแต่ละคนนั้นจะต้องเสียเงินในการเสริมสวยอย่างน้อยที่สุดเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า
100 บาท ตั้งแต่แต่งผม แต่งหน้า ทาปาก
นี่พูดถึงผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะแต่งตัวเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงาม สนใจหน้าตาผิวพรรณแล้วจะแบ่งได้เป็น
3 ระดับ
ระดับพนักงานธรรมดาเงินเดือนอยู่ระหว่าง 2,500-5,000 บาท จะเสียค่าใช้จ่ายในด้านความงามประมาณ
100-1,000 บาทต่อเดือน
ส่วนสาวที่มีรายได้สูงขึ้นมาหน่อย (5,000-10,000 บาท) จะใช้จ่ายประมาณ 1,000-3,000
บาท
ส่วนระดับนักบริหารที่ต้องออกสังคมบ่อยๆ หรือสาวเจ้าของกิจการ เหล่านี้เป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับความงามเป็นอย่างมาก
บางคนจะต้องมานวดหน้าอบผิวอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ต้องใช้เงินประมาณ 5,000
บาทขึ้นไปต่อเดือน
สาวอีกประเภทหนึ่งที่จะเป็นลูกค้าประจำร้านเสริมสวยก็คือสาวอาชีพบริการ
ซึ่งจะต้องมาเสริมสวยเกือบจะทุกวัน และถ้าเป็นสาวบริการที่มีระดับก็ต้องนวดหน้าอบผิวเหมือนกัน
เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท
นี่ยังไม่รวมถึงผู้ชายอยากหล่อและผู้ชายอยากสวยทั้งหลายที่หันมาเสริมสวยแข่งกับผู้หญิงด้วย
ดูตัวเลขการใช้จ่ายในการประทินความงามของผู้หญิงนั้น เดือนหนึ่งจะมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจเสริมความงามเป็นล้านๆ
บาท ซึ่งถัวเฉลี่ยไปให้วงการเครื่องสำอาง ร้านเสริมสวย สถานลดน้ำหนัก
ศูนย์บริหารร่างกาย ฯลฯ
อย่างในเรื่องเครื่องสำอางนั้นนับว่าเป็นธุรกิจเสริมสวยขนาดใหญ่ที่ทำรายได้ปีละประมาณ
3,000ล้านบาท แม้ว่าในปีนี้ยอดขายจะตกลงมา 20% เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดีผู้ใช้จึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายก็ตาม
แต่คนในวงการนี้ก็กล่าวยืนยันว่าไม่น่าวิตกถ้าจะเทียบกับสินค้าประเภทอื่นๆ
แล้วเครื่องสำอางยังไปได้แจ๋ว เพราะนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันของผู้หญิงอยู่มาก
และนอกจากประเทศไทยจะสามารถผลิตเครื่องสำอางใช้ได้ในภายในประเทศและส่งไปขายยังต่างประเทศแล้ว
ก็ยังมีสาวบางคนที่สนใจจะใช้แต่ของนอก และก็เพิ่มปริมาณขึ้นทุกปีด้วยไม่ว่าเงินบาทจะลดค่าหรือดอลลาร์จะแข็งตัวก็ตาม
ทำให้ตัวเลขการสั่งเข้าเครื่องสำอางของไทยสูงขึ้นทุกๆ ปี
ส่วนธุรกิจสถานเสริมความงามต่างๆ ก็เปิดบริการกันเป็นดอกเห็ด ตั้งแต่ร้านระดับอินเตอร์
ร้านริมถนนไปจนถึงตามตรอกตามซอย เมื่อมีคนเปิดกันมากขึ้นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็คือการแข่งขันกัน
การแข่งขันในตลาดเสริมสวยนี้จะลุ้นกันด้านฝีมือ และแสวงหาเทคนิคใหม่ๆ
มาบริการ
แต่ละแห่งก็พยายามจะขุดค้นหาวิธีการเสริมสวยให้พิสดารกันออกไป เพื่อช่วงชิง
MARKET SHARE ในตลาด
ไม่ว่าจะเป็นทรงผมแบบประหลาด การวาดคิ้ว- ดัดขนตางามงอน ระบายสีบนเรือนร่าง
การลดความอ้วนด้วยการกินยา การอบ การเป่าไอร้อน และการผ่าตัด เป็นต้น
และที่ฮิตที่สุดในขณะนี้คือ การลดน้ำหนักโดยวิธีโภชนาการ ไม่ต้องอดอาหารก็สามารถลดเชฟได้
ธุรกิจนี้เริ่มแข่งขันโดยการโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์และกำลังขยับลงมาตาม
BUS SIDE บ้างประปรายแล้ว แค่งบโฆษณาในระยะต้นนี้ก็เทกันไม่ต่ำกว่าเดือนละ
5 ล้านบาท
ปรมาจารย์ท่านหนึ่งในวงการเสริมสวยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า
สมัยก่อนนั้นวิธีการเสริมสวยยังไม่ฉีกแนวพิสดารกันไปมากเหมือนในปัจจุบัน
เดิมจะมีกรรมวิธีพื้นฐานเท่านั้น เช่น สระ ซอย เกล้าผม นวดหน้าด้วยครีมธรรมดา
โดยเฉพาะนวดหน้าจะอยู่ในวงแคบ เฉพาะลูกค้าที่มีเงินเท่านั้น
ต่อมาพวกเจ้าของร้านเหล่านี้ก็เริ่มมีความคิดพลิกแพลงขึ้น เช่น ผลิตยาย้อมผมหรือแชมพูสระผมขึ้นเอง
แต่ก็ยังขาดหลักวิชาการอยู่มาก "บางรายก็ไปผสมยาย้อมผมกันหลังร้าน กวนๆ
กันเสร็จก็ใส่ขวดมาขายหน้าร้านให้ลูกค้า ลูกค้าใช้ไปใช้มาก็หัวล้านพอดี ตอนนั้นเรียกว่าเป็นยุคของการเริ่มต้นแสวงหาจริงๆ
แต่พวกเราก็ยังขาดความรู้อีกมาก" แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว
พอในปี 2514-15 วงการเสริมสวยก็เริ่มเป็นที่สนใจของผู้หญิงมากขึ้นผิดหูผิดตา เพราะ
"ตอนนั้นเศรษฐกิจดีมาก คิดดูทองบาทละไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง ผู้หญิงมีเงินหรือไม่มีก็ต้องแต่งตัวกันทั้งนั้น
สังเกตดูได้ในวงการเสริมสวยนั้นถ้าช่วงใดเศรษฐกิจดีผู้หญิงก็แต่งตัวมากขึ้น
แต่ถ้าปีไหนไม่ค่อยดี ก็แต่งตัวน้อยลง ที่จะไม่ยอมแต่งตัวเลยนั้นยังไม่เคยเห็นเลย"
อาจารย์สอนเสริมสวยท่านหนึ่งกล่าว
ในช่วงนั้นก็เริ่มมีศัลยกรรมตกแต่งเข้ามาในวงการแล้วซึ่งก็สามารถสร้างความฮือฮาในหมู่ผู้หญิงได้มาก
พวกดาราและนางงามต่างก็เดินเรียงแถวกันมาเสริมโน่นต่อนี่ และที่ฮิตที่สุดก็คือการเสริมจมูก
หมอศัลยกรรมหลายคนที่ใช้ความสามารถชุบความงามให้กับผู้หญิงในสมัยนั้นก็เช่น
นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ และหมอเสริมประตูน้ำ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันก็มีลูกค้าไปอุดหนุนกันอยู่ไม่ขาด
ถ้าจะนับกันแล้วยุคทองของวงการเสริมสวยจะเริ่มกันจริงๆ ในปี 2522
ในปีนั้นตามร้านเสริมสวยระดับใหญ่ และกลางก็เริ่มเดินทางไปศึกษายุทธวิธีการใหม่ๆ
จากต่างประเทศกันมากขึ้น แล้วก็นำทฤษฎีต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาประยุกต์ให้เข้ากับวิชาที่มีอยู่แล้วให้เป็นแบบแผนยิ่งขึ้น
และก็เป็นปีที่เริ่มนำวิธีการนวดตัว อบตัวแบบซาวน่ามาประยุกต์ให้เข้ากับสมุนไพรกลายเป็นแบบอย่างของการอบสมุนไพรที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบันนี้
และมีข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง คือผู้ที่ไปศึกษาวิชาการเสริมสวยจากต่างประเทศในตอนนั้น
มักจะกลับมาเปิดโรงเรียนสอนกันเป็นแถวเลย ซึ่งก็สามารถผลิตลูกศิษย์ออกไปประกอบอาชีพนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก
และก็เป็นจุดเริ่มที่ทำให้วงการเสริมสวยแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
มีอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความฮือฮาในยุคนั้นเหมือนกันก็คือการเกิดสถานบริหารร่างกาย
ซึ่งเป็นสถานเสริมสวยและจะรวมเอาแผนกลดความอ้วนโดยการใช้เครื่องออกกำลังกายต่างๆ
มาใช้ แห่งแรกที่เปิดคือโจแอนดรูว์ เมื่อประสบความสำเร็จก็มีหลายๆ แห่งเปิดตามกันออกมาจนเกร่อไปหมด
อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่าเพื่อความอยู่รอดของวงการเสริมความงามนั้นจะต้องปรับตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย
และจะต้องรวดเร็วด้วย
อย่างเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้รัฐบาลเริ่มส่งเสริมให้คนไทยหันมาสนใจกับสุขภาพของตัวเองมากขึ้น
มีการปรับปรุงสวนลุมพินีวันและสวนจัตุจักร เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนและออกกำลังกายของประชาชน
ตามสถานที่ราชการและเอกชนต่างๆ ก็ขานรับนโยบายส่งเสริมสุขภาพของรัฐบาลด้วยการจัดการเดินการกุศล
วิ่งการกุศล และมีศูนย์สุขภาพต่างๆ เกิดขึ้นมาหลายแห่ง
ประกอบกับขณะนั้นดิสโกเธค กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นและไม่รุ่นทั้งหลาย
วงการเสริมสวยไทยจึงนำเอาการออกกำลังกายแบบแอโรบิกแดนซ์ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบเต้นเข้าจังหวะดนตรีจากต่างประเทศ
เข้ามาเสนอแก่ลูกค้าที่มีหัวสมัยใหม่และต้องการจะรักษาทรวดทรงให้สวยเหมือนอย่าง
เจน ฟอนด้า ดาราฮอลลีวูด ซึ่งเป็นแม่แบบของแอโรบิกแดนซ์
ผลปรากฏว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจของลูกค้าที่รักเสียงเพลงและการออกกำลังกายเป็นอันมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้สถานที่ฝึกเต้นแอโรบิกแดนซ์ก็ผุดขึ้นมาเป็นแถวๆ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปศูนย์ตามโรงแรมใหญ่
ตามศูนย์การค้า หรือสมาคมต่างๆ รวมทั้งสถานบริหารร่างกายก็ขอเล่นด้วยคนเหมือนกัน
จากสภาพตลาดของวงการเสริมสวยในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ สังเกตได้ว่ามีร้านใหม่ๆ
เกิดขึ้นมาคึกคัก ซึ่งสวนกับการลงทุนในประเทศที่กำลังเริ่มชะลอตัวลงเรื่อยๆ
ทั้งนี้เกิดขึ้นมาจากหลายประการด้วยกัน
ประการแรก คือคนหันมาเรียนวิชาชีพเสริมสวยกันมากขึ้น แต่เดิมนั้นอาชีพเสริมสวยจะเป็นที่นิยมของผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อย
และสาวต่างจังหวัดเท่านั้น
แต่ในยุคของคนล้นงานขณะนี้ แม้แต่คนที่จบปริญญา ก็ยังต้องเดินวิจัยฝุ่นเป็นปีกว่าจะหางานทำได้
คนส่วนใหญ่จึงเริ่มหันไปเรียนวิชาชีพตัดเสื้อและเสริมสวยกันมากขึ้น
ถ้าเปรียบเทียบระหว่างอาชีพทั้ง 2 อาชีพนี้แล้ว วิชาการทำผมจะมีคนนิยมเรียนมากกว่า
เพราะใช้เวลาเรียนเพียงไม่ถึงปีก็จบหลักสูตรทั้งหมด ค่าเล่าเรียนก็ถูกกว่า
เช่น ถ้าเป็นโรงเรียนสอนเสริมสวยธรรมดาก็เสียค่าเล่าเรียน 5,000บาทขึ้นไป
แต่ถ้าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงดังๆ ก็อยู่ในราว 15,000-50,000 บาท
และอาชีพเสริมสวยก็สามารถทำเงินได้ดีกว่า และได้เงินสดด้วย เช่น เด็กสระผมได้เงินเดือนละ
2,000 บาทขึ้นไป (ไม่รวมค่าทิป) ถ้าเป็นช่างฝีมือก็อยู่ระหว่าง 3,000 -10,000บาทขึ้นไป
แค่เฉพาะร้านเล็กๆ ในซอย เจ้าของก็รับทรัพย์เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 3,000 บาทแล้ว
จึงนับว่าเป็นอาชีพที่ทำรายได้ค่อนข้างดีกว่าจบพาณิชย์เสียอีก
ด้วยเหตุนี้จึงมีโรงเรียนสอนเสริมสวยเปิดขึ้นมากมายในลักษณะที่เป็นโรงเรียนสอนด้วยและเป็นสถานบริการเสริมสวยด้วย
ถ้าย้อนหลังไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อนนี้ มีโรงเรียนสอนเสริมสวยแทบจะนับได้ ที่ดังๆ
ก็เช่น เกสยาม เกสรี ดวงดาว จันทนา เป็นต้น ในแต่ละวันจะมีผู้สมัครเรียนไม่ต่ำกว่า
5 คน ค่าเล่าเรียนทั้งหลักสูตรประมาณ 5,000บาทขึ้นไป
แต่เดี๋ยวนี้มีโรงเรียนเปิดใหม่เฉียดๆ 100 แห่ง นี่ยังไม่รวมกับที่เปิดสาขาในต่างจังหวัดด้วย
เรื่องค่าเล่าเรียนก็แบ่งเป็นหลายราคา แล้วแต่ระดับของโรงเรียนที่สอน เฉลี่ยตั้งแต่
5,000-50,000 บาท เมื่อมีการเปิดกันมากแต่ละโรงเรียนก็ต้องทำการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาเรียน
จุดขายที่ถูกงัดขึ้นมาเป็นกลยุทธ์สำคัญคือ ชื่อเสียงของร้าน อาจารย์ที่สอน
หลักสูตรทันสมัย เป็นต้น
ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถสนองความต้องการของผู้ที่อยากเรียนได้ทุกระดับ
เพราะบางคนอยากเรียน แต่ค่าเล่าเรียนก็ยังแพงเกินไป
จึงมีโรงเรียนสอนเสริมสวยบางแห่ง เช่น วีด้าร์ ดีไซน์ เริ่มฉีกแนวการขาย
หันมาเปิดตลาดระดับล่างและระดับแม่บ้านขึ้น โดยจัดหลักสูตรที่เรียนเป็นแผนกๆ
เช่น ซอยผม เกล้าผม ทำเล็บ นวดตัว นวดหน้า ฯลฯ เสียค่าเล่าเรียนทีละแผนก
แผนกละ1,000บาทต่อเวลาเรียน 10 วัน ผู้สนใจจะเรียนกี่แผนกก็ได้ตามต้องการ
การเปิดตลาดโรงเรียนสอนเสริมสวยแบบนี้สามารถทำให้ผู้ที่อยากเรียนเสริมสวยแต่ไม่มีเงินเป็นก้อนก็สามารถเรียนได้
หรือแม่บ้านมาเรียนเพื่อแต่งให้ตัวเองและลูกๆ ก็ได้
นับว่าเป็นการเปิดตลาดที่เข้ากับยุคเศรษฐกิจ และคาดว่าถ้าการลุยตลาดล่างนี้เป็นผลสำเร็จก็คงจะมีโรงเรียนสอนเสริมสวยอีกหลายแห่งที่ต้องปรับแผนการตลาดตามไปด้วยแน่
มีสัจธรรมข้อหนึ่งในวงการเสริมสวยว่า การแข่งขันเท่านั้นที่จะสามารถทำให้วงการเสริมสวยอยู่ได้
เพราะคุณสมบัติของสินค้าประเภทเสริมสวยก็คือ ความทันสมัย
การแข่งขันจึงเกิดข้อดีที่ทุกคนในวงการก็พยายามค้นหาเทคนิคใหม่ๆ พยายามฉีกแนวแฟชั่นกันออกไป
เพื่อไม่ให้ซ้ำซากจำเจอยู่กับที่ ดังนั้น ทุกคนในวงการเสริมสวยจึงพอใจกับการแข่งขัน และก็คงจะต้องแข่งขันกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตราบใดที่ความสวยยังอยู่คู่กับโลก