Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2528
ธุรกิจเสริมสวยที่คึกคักขึ้นทุกวัน             
 


   
search resources

Health




ธุรกิจเสริมสวยเป็นธุรกิจหลายพันล้าน ที่เปรียบเสมือนเสือซุ่มเงียบ นับวันจะโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่กระโตกกระตาก ไม่ว่าธุรกิจโดยส่วนรวมจะเป็นเช่นไรก็ตาม วงการเสริมสวยก็ยังโกยเงินคนได้ทุกเพศทุกวัย

เมื่อวงการเสริมสวยทำรายได้ดีเช่นนี้ จึงมีการเปิดร้านกันเกร่อไปหมด และจุดขายสำคัญที่สามารถดึงดูดลูกค้าได้ดี คือความทันสมัยและแหวกแนว ดังนั้นแต่ละแห่งจึงพยายามแข่งขันกันหาเทคนิคใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งนับวันวิวัฒนาการด้านนี้จะฉีกแนวออกไปจากเดิมจนตามไม่ทัน

และในยุคเศรษฐกิจที่คนตกงานมากเช่นนี้ ทำให้วงการเสริมสวยยิ่งคึกคักขึ้น เพราะคนหันมาสนใจเรียนวิชาชีพ สนามแข่งขันใหม่ล่าสุดจึงมาลงกันที่โรงเรียนเสริมสวย โดยเปิดศึกชิงลูกศิษย์กันอย่างถึงพริกถึงขิง จนต้องขยับฐานลงมาเล่นกับผู้มีรายได้ระดับต่ำและกลุ่มแม่บ้านบ้างแล้ว

ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ เริ่มจะม้วนเสื่อกลับบ้านเก่ากันเป็นแถวๆ แต่ยังมีธุรกิจหนึ่งซึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างเงียบๆ และสามารถดำเนินกิจการไปได้เรื่อยๆ ตามยุคสมัย นั่นก็คือธุรกิจเสริมสวย ลองสังเกตดูไม่ว่ายุคใดสมัยใด ธุรกิจใดจะเฟื่องหรือธุรกิจใดจะฟุบก็ตาม ธุรกิจเสริมสวยก็สามารถเอาตัวรอดมาได้เสมอ ตราบเท่าที่ความสวยงามยังจรรโลงโลก

จากการสำรวจของ "ผู้จัดการ" พบว่าผู้หญิงแต่ละคนนั้นจะต้องเสียเงินในการเสริมสวยอย่างน้อยที่สุดเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 100 บาท ตั้งแต่แต่งผม แต่งหน้า ทาปาก

นี่พูดถึงผู้หญิงที่ไม่ค่อยจะแต่งตัวเท่านั้น

แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงาม สนใจหน้าตาผิวพรรณแล้วจะแบ่งได้เป็น 3 ระดับ

ระดับพนักงานธรรมดาเงินเดือนอยู่ระหว่าง 2,500-5,000 บาท จะเสียค่าใช้จ่ายในด้านความงามประมาณ 100-1,000 บาทต่อเดือน

ส่วนสาวที่มีรายได้สูงขึ้นมาหน่อย (5,000-10,000 บาท) จะใช้จ่ายประมาณ 1,000-3,000 บาท

ส่วนระดับนักบริหารที่ต้องออกสังคมบ่อยๆ หรือสาวเจ้าของกิจการ เหล่านี้เป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับความงามเป็นอย่างมาก บางคนจะต้องมานวดหน้าอบผิวอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ต้องใช้เงินประมาณ 5,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน

สาวอีกประเภทหนึ่งที่จะเป็นลูกค้าประจำร้านเสริมสวยก็คือสาวอาชีพบริการ ซึ่งจะต้องมาเสริมสวยเกือบจะทุกวัน และถ้าเป็นสาวบริการที่มีระดับก็ต้องนวดหน้าอบผิวเหมือนกัน เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 3,000 บาท

นี่ยังไม่รวมถึงผู้ชายอยากหล่อและผู้ชายอยากสวยทั้งหลายที่หันมาเสริมสวยแข่งกับผู้หญิงด้วย

ดูตัวเลขการใช้จ่ายในการประทินความงามของผู้หญิงนั้น เดือนหนึ่งจะมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจเสริมความงามเป็นล้านๆ บาท ซึ่งถัวเฉลี่ยไปให้วงการเครื่องสำอาง ร้านเสริมสวย สถานลดน้ำหนัก ศูนย์บริหารร่างกาย ฯลฯ

อย่างในเรื่องเครื่องสำอางนั้นนับว่าเป็นธุรกิจเสริมสวยขนาดใหญ่ที่ทำรายได้ปีละประมาณ 3,000ล้านบาท แม้ว่าในปีนี้ยอดขายจะตกลงมา 20% เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดีผู้ใช้จึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายก็ตาม แต่คนในวงการนี้ก็กล่าวยืนยันว่าไม่น่าวิตกถ้าจะเทียบกับสินค้าประเภทอื่นๆ แล้วเครื่องสำอางยังไปได้แจ๋ว เพราะนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวันของผู้หญิงอยู่มาก

และนอกจากประเทศไทยจะสามารถผลิตเครื่องสำอางใช้ได้ในภายในประเทศและส่งไปขายยังต่างประเทศแล้ว ก็ยังมีสาวบางคนที่สนใจจะใช้แต่ของนอก และก็เพิ่มปริมาณขึ้นทุกปีด้วยไม่ว่าเงินบาทจะลดค่าหรือดอลลาร์จะแข็งตัวก็ตาม ทำให้ตัวเลขการสั่งเข้าเครื่องสำอางของไทยสูงขึ้นทุกๆ ปี

ส่วนธุรกิจสถานเสริมความงามต่างๆ ก็เปิดบริการกันเป็นดอกเห็ด ตั้งแต่ร้านระดับอินเตอร์ ร้านริมถนนไปจนถึงตามตรอกตามซอย เมื่อมีคนเปิดกันมากขึ้นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็คือการแข่งขันกัน

การแข่งขันในตลาดเสริมสวยนี้จะลุ้นกันด้านฝีมือ และแสวงหาเทคนิคใหม่ๆ มาบริการ

แต่ละแห่งก็พยายามจะขุดค้นหาวิธีการเสริมสวยให้พิสดารกันออกไป เพื่อช่วงชิง MARKET SHARE ในตลาด

ไม่ว่าจะเป็นทรงผมแบบประหลาด การวาดคิ้ว- ดัดขนตางามงอน ระบายสีบนเรือนร่าง การลดความอ้วนด้วยการกินยา การอบ การเป่าไอร้อน และการผ่าตัด เป็นต้น

และที่ฮิตที่สุดในขณะนี้คือ การลดน้ำหนักโดยวิธีโภชนาการ ไม่ต้องอดอาหารก็สามารถลดเชฟได้ ธุรกิจนี้เริ่มแข่งขันโดยการโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์และกำลังขยับลงมาตาม BUS SIDE บ้างประปรายแล้ว แค่งบโฆษณาในระยะต้นนี้ก็เทกันไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5 ล้านบาท

ปรมาจารย์ท่านหนึ่งในวงการเสริมสวยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า สมัยก่อนนั้นวิธีการเสริมสวยยังไม่ฉีกแนวพิสดารกันไปมากเหมือนในปัจจุบัน เดิมจะมีกรรมวิธีพื้นฐานเท่านั้น เช่น สระ ซอย เกล้าผม นวดหน้าด้วยครีมธรรมดา

โดยเฉพาะนวดหน้าจะอยู่ในวงแคบ เฉพาะลูกค้าที่มีเงินเท่านั้น

ต่อมาพวกเจ้าของร้านเหล่านี้ก็เริ่มมีความคิดพลิกแพลงขึ้น เช่น ผลิตยาย้อมผมหรือแชมพูสระผมขึ้นเอง แต่ก็ยังขาดหลักวิชาการอยู่มาก "บางรายก็ไปผสมยาย้อมผมกันหลังร้าน กวนๆ กันเสร็จก็ใส่ขวดมาขายหน้าร้านให้ลูกค้า ลูกค้าใช้ไปใช้มาก็หัวล้านพอดี ตอนนั้นเรียกว่าเป็นยุคของการเริ่มต้นแสวงหาจริงๆ แต่พวกเราก็ยังขาดความรู้อีกมาก" แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว

พอในปี 2514-15 วงการเสริมสวยก็เริ่มเป็นที่สนใจของผู้หญิงมากขึ้นผิดหูผิดตา เพราะ "ตอนนั้นเศรษฐกิจดีมาก คิดดูทองบาทละไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง ผู้หญิงมีเงินหรือไม่มีก็ต้องแต่งตัวกันทั้งนั้น สังเกตดูได้ในวงการเสริมสวยนั้นถ้าช่วงใดเศรษฐกิจดีผู้หญิงก็แต่งตัวมากขึ้น แต่ถ้าปีไหนไม่ค่อยดี ก็แต่งตัวน้อยลง ที่จะไม่ยอมแต่งตัวเลยนั้นยังไม่เคยเห็นเลย" อาจารย์สอนเสริมสวยท่านหนึ่งกล่าว

ในช่วงนั้นก็เริ่มมีศัลยกรรมตกแต่งเข้ามาในวงการแล้วซึ่งก็สามารถสร้างความฮือฮาในหมู่ผู้หญิงได้มาก พวกดาราและนางงามต่างก็เดินเรียงแถวกันมาเสริมโน่นต่อนี่ และที่ฮิตที่สุดก็คือการเสริมจมูก

หมอศัลยกรรมหลายคนที่ใช้ความสามารถชุบความงามให้กับผู้หญิงในสมัยนั้นก็เช่น นายแพทย์เดชา สุขารมณ์ และหมอเสริมประตูน้ำ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันก็มีลูกค้าไปอุดหนุนกันอยู่ไม่ขาด

ถ้าจะนับกันแล้วยุคทองของวงการเสริมสวยจะเริ่มกันจริงๆ ในปี 2522

ในปีนั้นตามร้านเสริมสวยระดับใหญ่ และกลางก็เริ่มเดินทางไปศึกษายุทธวิธีการใหม่ๆ จากต่างประเทศกันมากขึ้น แล้วก็นำทฤษฎีต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาประยุกต์ให้เข้ากับวิชาที่มีอยู่แล้วให้เป็นแบบแผนยิ่งขึ้น

และก็เป็นปีที่เริ่มนำวิธีการนวดตัว อบตัวแบบซาวน่ามาประยุกต์ให้เข้ากับสมุนไพรกลายเป็นแบบอย่างของการอบสมุนไพรที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบันนี้

และมีข้อสังเกตอีกประการหนึ่ง คือผู้ที่ไปศึกษาวิชาการเสริมสวยจากต่างประเทศในตอนนั้น มักจะกลับมาเปิดโรงเรียนสอนกันเป็นแถวเลย ซึ่งก็สามารถผลิตลูกศิษย์ออกไปประกอบอาชีพนี้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก และก็เป็นจุดเริ่มที่ทำให้วงการเสริมสวยแพร่ขยายไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

มีอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความฮือฮาในยุคนั้นเหมือนกันก็คือการเกิดสถานบริหารร่างกาย ซึ่งเป็นสถานเสริมสวยและจะรวมเอาแผนกลดความอ้วนโดยการใช้เครื่องออกกำลังกายต่างๆ มาใช้ แห่งแรกที่เปิดคือโจแอนดรูว์ เมื่อประสบความสำเร็จก็มีหลายๆ แห่งเปิดตามกันออกมาจนเกร่อไปหมด

อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่าเพื่อความอยู่รอดของวงการเสริมความงามนั้นจะต้องปรับตัวเองให้เข้ากับยุคสมัย และจะต้องรวดเร็วด้วย

อย่างเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้รัฐบาลเริ่มส่งเสริมให้คนไทยหันมาสนใจกับสุขภาพของตัวเองมากขึ้น มีการปรับปรุงสวนลุมพินีวันและสวนจัตุจักร เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนและออกกำลังกายของประชาชน ตามสถานที่ราชการและเอกชนต่างๆ ก็ขานรับนโยบายส่งเสริมสุขภาพของรัฐบาลด้วยการจัดการเดินการกุศล วิ่งการกุศล และมีศูนย์สุขภาพต่างๆ เกิดขึ้นมาหลายแห่ง

ประกอบกับขณะนั้นดิสโกเธค กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นและไม่รุ่นทั้งหลาย

วงการเสริมสวยไทยจึงนำเอาการออกกำลังกายแบบแอโรบิกแดนซ์ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบเต้นเข้าจังหวะดนตรีจากต่างประเทศ เข้ามาเสนอแก่ลูกค้าที่มีหัวสมัยใหม่และต้องการจะรักษาทรวดทรงให้สวยเหมือนอย่าง เจน ฟอนด้า ดาราฮอลลีวูด ซึ่งเป็นแม่แบบของแอโรบิกแดนซ์

ผลปรากฏว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจของลูกค้าที่รักเสียงเพลงและการออกกำลังกายเป็นอันมาก เมื่อเป็นเช่นนี้สถานที่ฝึกเต้นแอโรบิกแดนซ์ก็ผุดขึ้นมาเป็นแถวๆ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปศูนย์ตามโรงแรมใหญ่ ตามศูนย์การค้า หรือสมาคมต่างๆ รวมทั้งสถานบริหารร่างกายก็ขอเล่นด้วยคนเหมือนกัน

จากสภาพตลาดของวงการเสริมสวยในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ สังเกตได้ว่ามีร้านใหม่ๆ เกิดขึ้นมาคึกคัก ซึ่งสวนกับการลงทุนในประเทศที่กำลังเริ่มชะลอตัวลงเรื่อยๆ ทั้งนี้เกิดขึ้นมาจากหลายประการด้วยกัน

ประการแรก คือคนหันมาเรียนวิชาชีพเสริมสวยกันมากขึ้น แต่เดิมนั้นอาชีพเสริมสวยจะเป็นที่นิยมของผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อย และสาวต่างจังหวัดเท่านั้น

แต่ในยุคของคนล้นงานขณะนี้ แม้แต่คนที่จบปริญญา ก็ยังต้องเดินวิจัยฝุ่นเป็นปีกว่าจะหางานทำได้

คนส่วนใหญ่จึงเริ่มหันไปเรียนวิชาชีพตัดเสื้อและเสริมสวยกันมากขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบระหว่างอาชีพทั้ง 2 อาชีพนี้แล้ว วิชาการทำผมจะมีคนนิยมเรียนมากกว่า เพราะใช้เวลาเรียนเพียงไม่ถึงปีก็จบหลักสูตรทั้งหมด ค่าเล่าเรียนก็ถูกกว่า เช่น ถ้าเป็นโรงเรียนสอนเสริมสวยธรรมดาก็เสียค่าเล่าเรียน 5,000บาทขึ้นไป แต่ถ้าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงดังๆ ก็อยู่ในราว 15,000-50,000 บาท

และอาชีพเสริมสวยก็สามารถทำเงินได้ดีกว่า และได้เงินสดด้วย เช่น เด็กสระผมได้เงินเดือนละ 2,000 บาทขึ้นไป (ไม่รวมค่าทิป) ถ้าเป็นช่างฝีมือก็อยู่ระหว่าง 3,000 -10,000บาทขึ้นไป แค่เฉพาะร้านเล็กๆ ในซอย เจ้าของก็รับทรัพย์เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 3,000 บาทแล้ว จึงนับว่าเป็นอาชีพที่ทำรายได้ค่อนข้างดีกว่าจบพาณิชย์เสียอีก

ด้วยเหตุนี้จึงมีโรงเรียนสอนเสริมสวยเปิดขึ้นมากมายในลักษณะที่เป็นโรงเรียนสอนด้วยและเป็นสถานบริการเสริมสวยด้วย

ถ้าย้อนหลังไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อนนี้ มีโรงเรียนสอนเสริมสวยแทบจะนับได้ ที่ดังๆ ก็เช่น เกสยาม เกสรี ดวงดาว จันทนา เป็นต้น ในแต่ละวันจะมีผู้สมัครเรียนไม่ต่ำกว่า 5 คน ค่าเล่าเรียนทั้งหลักสูตรประมาณ 5,000บาทขึ้นไป

แต่เดี๋ยวนี้มีโรงเรียนเปิดใหม่เฉียดๆ 100 แห่ง นี่ยังไม่รวมกับที่เปิดสาขาในต่างจังหวัดด้วย เรื่องค่าเล่าเรียนก็แบ่งเป็นหลายราคา แล้วแต่ระดับของโรงเรียนที่สอน เฉลี่ยตั้งแต่ 5,000-50,000 บาท เมื่อมีการเปิดกันมากแต่ละโรงเรียนก็ต้องทำการแข่งขันกันเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มาเรียน จุดขายที่ถูกงัดขึ้นมาเป็นกลยุทธ์สำคัญคือ ชื่อเสียงของร้าน อาจารย์ที่สอน หลักสูตรทันสมัย เป็นต้น

ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถสนองความต้องการของผู้ที่อยากเรียนได้ทุกระดับ เพราะบางคนอยากเรียน แต่ค่าเล่าเรียนก็ยังแพงเกินไป

จึงมีโรงเรียนสอนเสริมสวยบางแห่ง เช่น วีด้าร์ ดีไซน์ เริ่มฉีกแนวการขาย หันมาเปิดตลาดระดับล่างและระดับแม่บ้านขึ้น โดยจัดหลักสูตรที่เรียนเป็นแผนกๆ เช่น ซอยผม เกล้าผม ทำเล็บ นวดตัว นวดหน้า ฯลฯ เสียค่าเล่าเรียนทีละแผนก แผนกละ1,000บาทต่อเวลาเรียน 10 วัน ผู้สนใจจะเรียนกี่แผนกก็ได้ตามต้องการ

การเปิดตลาดโรงเรียนสอนเสริมสวยแบบนี้สามารถทำให้ผู้ที่อยากเรียนเสริมสวยแต่ไม่มีเงินเป็นก้อนก็สามารถเรียนได้ หรือแม่บ้านมาเรียนเพื่อแต่งให้ตัวเองและลูกๆ ก็ได้

นับว่าเป็นการเปิดตลาดที่เข้ากับยุคเศรษฐกิจ และคาดว่าถ้าการลุยตลาดล่างนี้เป็นผลสำเร็จก็คงจะมีโรงเรียนสอนเสริมสวยอีกหลายแห่งที่ต้องปรับแผนการตลาดตามไปด้วยแน่

มีสัจธรรมข้อหนึ่งในวงการเสริมสวยว่า การแข่งขันเท่านั้นที่จะสามารถทำให้วงการเสริมสวยอยู่ได้ เพราะคุณสมบัติของสินค้าประเภทเสริมสวยก็คือ ความทันสมัย

การแข่งขันจึงเกิดข้อดีที่ทุกคนในวงการก็พยายามค้นหาเทคนิคใหม่ๆ พยายามฉีกแนวแฟชั่นกันออกไป เพื่อไม่ให้ซ้ำซากจำเจอยู่กับที่ ดังนั้น ทุกคนในวงการเสริมสวยจึงพอใจกับการแข่งขัน และก็คงจะต้องแข่งขันกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ความสวยยังอยู่คู่กับโลก

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us