|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
สิงคโปร์ชื่นชมอดีตนายพลพม่าผู้กลายมาเป็นประธานาธิบดีพลเรือนนักปฏิวัติคนแรกของพม่า
บุคคลระดับชั้นหัวกะทิของพม่ามักจะเดินทางไปสิงคโปร์อยู่บ่อยๆ ด้วยกิจธุระจำเป็นหลายอย่าง ทั้งไปชอปปิ้ง ไปเช็กความเรียบร้อยของบัญชีเงินฝากที่อยู่ในธนาคารสิงคโปร์ ไปหาหมอ พาลูกไปเข้าโรงเรียนที่นั่น ไปเสี่ยงโชคสนุกๆ ในบ่อนกาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก และไปดูให้เห็นกับตาถึงความมั่งคั่งที่เป็นผลมาจากโลกาภิวัตน์
ประธานาธิบดี Thein Sein ของพม่า ก็เพิ่งเดินทางไปสิงคโปร์เมื่อเร็วๆ นี้ โดยพ่วงคณะเจ้าหน้าที่พม่าชุดใหญ่ไปด้วย เพื่อไปลงนามในข้อตกลงความร่วมมือหลายด้านกับสิงคโปร์ ตั้งแต่การท่องเที่ยวไปจนถึงด้านกฎหมาย และเพื่อขอบคุณสิงคโปร์ที่สนับสนุนพม่ามาตลอดระยะเวลาอันยาวนานโดยไม่เคยทอดทิ้ง อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องส่วนรวมแล้ว ประธานาธิบดี Thein Sein ยังเดินทางไปสิงคโปร์ครั้งนี้ เพื่อรับการยกย่องชื่นชมเป็นการเฉพาะอีกด้วย
คล้ายกับเด็กนักเรียนที่ภาคภูมิใจกับรางวัลที่ได้รับ จึงไม่รู้สึก หวั่นเกรงต่อสายตาที่จ้องจับผิดของครูอีกต่อไป ประธานาธิบดี Thein Sein อดีตนายพลของกองทัพพม่า ผู้กลายมาเป็นประธานาธิบดีพลเรือนคนแรกของพม่าในรอบครึ่งศตวรรษ เป็นผู้นำในการริเริ่มกระบวนการเปิดเสรีภาพทางการเมืองอันน่าตื่นตาของพม่า ที่โดดเด่น ที่สุดคือ การที่ระบบการเมืองของพม่าได้อ้าแขนรับอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้านพม่าและพรรคการเมืองของเธอ ซูจีสามารถลงสมัครเลือกตั้งซ่อม ซึ่งจะมีขึ้นต้นเดือนเมษายนนี้ และหลังจากนั้น Thein Sein อาจนำซูจีเข้าร่วมรัฐบาลของเขา
หลังจากพม่าตกอยู่ใต้การปกครองของกองทัพที่จำกัดเสรีภาพ มาอย่างยาวนาน การเปลี่ยนแปลงข้างต้นจึงนับเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ของพม่าและสิงคโปร์ รวมไปถึงชาติเพื่อนบ้านอื่นๆ ของพม่าในอาเซียน ก็ไม่รีรอที่จะอ้างความดีความชอบ สำหรับการที่ชาติ อาเซียนได้ใช้นโยบาย “เกี่ยวพัน” กับพม่าอย่างได้ผล ในการกล่าวต่อการประชุมประจำปีของที่ประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส, สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ Kishore Mahbubani อดีตนักการทูตของสิงคโปร์ และขณะนี้เป็นนักเขียนด้านการระหว่างประเทศ กล่าวอ้างอย่างยินดีว่า นโยบายการทูตแบบ “น้ำหยด” ของอาเซียน ซึ่งใช้วิธีละมุนละไมแบบค่อยเป็นค่อยไปกับพม่า ในที่สุดก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า ใช้ได้ผลเป็นอย่างดี
พม่าคงยอมรับการกล่าวอ้างข้างต้นและรู้สึกขอบคุณสิงคโปร์ที่ไม่เคยทอดทิ้ง และยังคงทำการค้าและลงทุนในพม่ามาโดยตลอด แม้ในช่วงที่คณะนายพลผู้ปกครองพม่าถูกชิงชังรังเกียจจากชาติตะวันตก อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือแรงจูงใจที่แท้จริง ที่อยู่เบื้องหลัง การลุกขึ้นมาปฏิรูปของรัฐบาลพม่า ก็คือ ความมุ่งมาดปรารถนาที่จะเห็นมาตรการ ลงโทษของชาติตะวันตกถูกยกเลิก
และการอ้างความดีความชอบให้แก่นโยบายการทูตแบบนี้ ก็เป็นการกล่าวอ้างที่มีหลักวิชาการรองรับ เพราะนี่คือการทูตแบบ win-win ซึ่งทุกฝ่ายสามารถอ้างได้ว่าตนเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง หลักการนี้เป็นจริงสำหรับกระบวนการเปิดเสรีภาพทางการเมืองในพม่าเช่นกัน นักโทษการเมืองพม่าที่ได้รับการปล่อยตัว และฝ่ายค้านพม่าที่เรียกร้องประชาธิปไตย สามารถอ้างได้ว่า ตนเป็นฝ่ายชนะ เช่นเดียวกับที่ผู้นำของอดีตรัฐบาลทหารพม่า ซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวยและเสรีภาพของพวกเขาไม่ได้รับความกระทบกระเทือนเลยแม้แต่น้อยจากการ ที่พม่าปฏิรูปการเมือง ก็สามารถอ้างชัยชนะได้เช่นเดียวกัน
ในการเดินสายหาเสียง อองซาน ซูจี เริ่มหยิบยกประเด็นยากๆ ขึ้นมาเอ่ยถึง อย่างเช่นการแก้รัฐธรรมนูญพม่า ซึ่งปกป้องการ เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจของกองทัพพม่า ด้วยการกำหนดว่า การจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญในข้อนี้ จะต้องได้รับความยินยอมจากกองทัพเท่านั้น
คงจะดีไม่น้อย ถ้าหากว่าประชาธิปไตยจะเป็นเรื่องที่สามารถ win-win กันทุกฝ่ายได้ เหมือนดังเช่นนโยบายการทูตที่ใช้กับพม่า แต่ความจริงคือ แม้แต่พม่าเองก็ไม่อาจหนีพ้นการที่จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้พ่ายแพ้
อันเป็นไปตามธรรมชาติของระบอบประชาธิปไตย
แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง ดิ อีโคโนมิสต์
|
|
|
|
|