Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2528
"มวลชนพัฒนา" แต่คงไม่ได้พัฒนาความคิดทหาร             
 


   
search resources

Agriculture
Alcohol
Political and Government
มวลชนพัฒนา
ธาตรี ประภาพรรณ
โอภา ตังพิทักษ์กุล




"กงล้อประวัติศาสตร์ นั้นหมุนไปข้างหน้าเสมอ

ไม่มีใครสามารถหมุนกงล้อให้ย้อนกลับถอยหลังได้

คงมีเพียงความคิดของคนเท่านั้นที่บางครั้งหยุดนิ่ง บางครั้งก็ถอยหลังเข้าคลอง

แล้วก็ถูกกงล้อประวัติศาสตร์บดขยี้เอาในที่สุด"

ก็อาจจะกล่าวได้ว่าเรื่องของบริษัทมวลชนพัฒนานั้น เป็นเรื่องของความพยายามที่จะหมุนกงล้อประวัติศาสตร์ ให้ย้อนกลับไปสู่อดีตอีกครั้ง

กลับไปสู่ยุคที่ทหารมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับธุรกิจ

เป็นความสัมพันธ์ที่ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ผู้ปกป้องเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งดำรงสภาพความมีอภิสิทธิ์หรือมีความสะดวก ปลอดภัยในการดำเนินธุรกิจ ส่วนอีกฝ่ายก็ให้ความเกื้อกูลด้านการเงินเป็นค่าตอบแทนอีกฝ่ายหนึ่ง

และเงินที่ได้จากค่าตอบแทนนี้ ส่วนหนึ่งก็จะถูกแปรสภาพเป็นรากฐานค้ำจุนอำนาจ เพื่อจะทำหน้าที่ปกป้องได้อย่างยาวนานและสมบูรณ์สืบไป

อย่างเช่นที่จะพบเห็นกันในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และสืบทอดต่อมาจนถึงยุคจอมพลถนอม จอมพลประภาส

การเกิดขึ้นของบริษัทมวลชนพัฒนานั้น เป็นการเกิดขึ้นภายหลังจากที่สายสัมพันธ์เก่าระหว่างทหารกับธุรกิจได้ขาดสะบั้นไปแล้วเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 พร้อมๆ กับการพังทลายของรัฐบาลถนอม-ประภาส

แต่บริษัทมวลชนพัฒนาก็เกิดขึ้นมาแล้วในปัจจุบัน

เกิดขึ้นท่ามกลางคำถามว่าทหารกำลังจะทำอะไร?

บริษัทมวลชนพัฒนาจดทะเบียนก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2528

มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้นทั้งสิ้น 20 คน เป็นนายทหารนอกราชการจำนวนหนึ่ง และอีกจำนวนหนึ่งยังปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญๆ ของกองทัพบก มีเพียง 1 จาก 20 คนนี้เท่านั้นที่เป็นพลเรือน

เขาชื่อ ธาตรี ประภาพรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม อบ วสุรัตน์ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นอดีตไปแล้วทั้งคู่

บริษัทมวลชนพัฒนา ตั้งภารกิจของตนไว้ 5 ด้านใหญ่ๆ ด้วยกันคือ

ด้านที่ 1 เพื่อหารายได้มาใช้ในกิจการทหารกองหนุน และทหารผ่านศึก

ด้านที่ 2 เพื่อนำสติปัญญาของเหล่าทหารหาญกองหนุนกลับมารับใช้ชาติ

ด้านที่ 3 เพื่อร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ด้านที่ 4 เพื่อร่วมมือกับหน่วยงานรัฐในการผลิตอาวุธยุทธภัณฑ์

และด้านที่ 5 เพื่อป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจของพ่อค้าอิทธิพลต่างๆ

โปรดสังเกตภารกิจด้านที่ 5 กันให้ดีๆ

"ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ถ้าเพื่อป้องกันการผูกขาดของกลุ่มพ่อค้าอิทธิพลต่างๆ นั้น คือการที่บริษัทของทหารแห่งนี้เข้าไปทำการผูกขาดเองหรือเปล่า" นักธุรกิจในวงการขายส่งผลิตภัณฑ์เครื่องจักรการเกษตรรายหนึ่งตั้งคำถาม

บริษัทมวลชนพัฒนาได้ตั้งเป้าหมายการเข้าไปดำเนินธุรกิจไว้ 4 สาย ได้แก่ สายกิจการขนส่ง สายกิจการอุตสาหกรรม สายกิจการค้าอาวุธ และสายกิจกรรมเกษตรกรรม และสิ่งแรกที่ลงมือทำก็คือการค้าข้าวให้กับหน่วยงานทหารในกองทัพ

กิจการค้าข้าวเป็นกิจการที่บริษัทมวลชนพัฒนาร่วมมือกับ โอภา ตังพิทักษ์กุล เจ้าของบริษัทอุดรข้าวหอม ซึ่งบุคคลผู้นี้มีความสัมพันธ์สนิทสนมเป็นอย่างดีกับพลโท นพ พิณสายแก้ว ประธานบริษัทสุราทิพย์ เพื่อนสนิทของพลเอก มานะ รัตนโกเศศ ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของบริษัทมวลชนพัฒนา

ก็ว่ากันว่า โอภา ตังพิทักษ์กุล คนนี้เองที่เป็นแขนขาสำคัญของการทำธุรกิจค้าข้าว และบริษัทมวลชนพัฒนายังมีแผนงานก้าวต่อไป คือการขยายธุรกิจไปสู่กิจการโรงสี อาศัยแรงสนับสนุนจากบริษัทไรซ์เอ็นจิเนียริ่ง อีกด้วย

"ก็วางเป้าหมายจะเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักรโรงสีข้าวให้กับบริษัทไรซ์เอ็นจิเนียริ่ง หวังตีตลาดด้านนี้ที่ญี่ปุ่นครองอยู่ ให้พังกันไปข้างหนึ่งทีเดียว…" แหล่งข่าวคนหนึ่งเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"

นอกจากนี้กิจการค้าปุ๋ย บริษัทมวลชนพัฒนาก็มีความสนใจไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

"มีนายทหารใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัทมวลชนพัฒนา กำลังเอาข้อมูล เรื่องตลาดปุ๋ยมาศึกษาวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง เข้าใจว่าก็จะเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่บริษัททหารแห่งนี้จะเข้าไปมีบทบาท" แหล่งข่าวคนเดิมเล่าให้ฟัง

ส่วนกิจการสายการขนส่งนั้น สิ่งที่บริษัทมวลชนพัฒนาได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว ก็คือการทำธุรกิจการคาร์โก้โดยอาศัยความร่วมมือจากบริษัทการบินไทย สายการบินแห่งชาติ บริษัทรอยัลคาร์โก้ และรัฐวิสาหกิจอีกบางแห่ง ซึ่งก็มีการทดลองส่งหมูชำแหละของบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ไปประเทศสิงคโปร์แล้วหลายเที่ยว ทั้งนี้มีองค์การผลิตอาหารสำเร็จรูปหรือ อสร. เป็นผู้สนับสนุนสำคัญ

"ในเรื่องหมูชำแหละแช่แข็งที่จะส่งออกนี้ มวลชนพัฒนาคงจะเข้ามาคุมเต็มที่ เพราะ อสร. ก็แย้มๆ ออกมาแล้วว่า ถ้าผู้ส่งออกรายใดที่ส่งหมูมาให้ อสร. ชำแหละเกี่ยวข้องกับมวลชนพัฒนา อสร.ก็จะรับรองคุณภาพให้ แต่ถ้าจะส่งออกกันเองก็แล้วแต่ รับรองคุณภาพให้หรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง…" นักธุรกิจในวงการอาหารแช่แข็งพูดกับ "ผู้จัดการ"

นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เหมือนกันที่บริษัทซึ่งไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมาย แต่สามารถมีบารมียิ่งเสียกว่าบริษัทคาร์โก้ทั้งหลายเสียอีก !

เพราะฉะนั้น ในเรื่องกิจการค้าอาวุธก็ยิ่งไม่ต้องพูดอะไรกันมาก

ขอให้บริษัทมวลชนพัฒนาก้าวเข้าไปจับจริงๆ เถอะ บรรดาเจ้ายุทธจักรวงการค้าอาวุธ ย่อมต้องสยบให้ไม่มีปัญหา

"นอกจากจะขายอาวุธ เราอยากจะตั้งโรงงานสร้างอาวุธเองด้วย เพราะคิดว่าอุตสาหกรรมในบ้านเราทำได้ทุกอย่าง เราจะให้เอกชนเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนป้อนให้แทนที่จะต้องซื้อจากเมืองนอกทั้งหมด" พลอากาศเอก ประภา เวชปาน กรรมการผู้จัดการบริษัทมวลชนพัฒนา ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง

แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องในอนาคตเหมือนๆ กับอีกหลายโครงการที่บริษัทมวลชนพัฒนาตั้งเป้าหมายไว้

ที่ดำเนินการไปแล้วจริงๆ คงมีเพียงการค้าข้าวและการทดลองส่งหมูชำแหละไปสิงคโปร์

น่าจะพูดได้ว่าล้วนเป็นธุรกิจที่ยังไม่สามารถให้ผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ เพียงพอแก่การบรรลุภารกิจ

แต่มวลชนพัฒนาก็มีรายได้เป็นกอบเป็นกำแล้วในปัจจุบัน

โดยเฉพาะรายได้จากเหล้า ทั้งแม่โขง กวางทอง ของค่ายสุรามหาราษฎร และเหล้าสกุลหงส์ทุกตัวของค่ายสุราทิพย์

ทั้งนี้ก็ด้วยการทำหน้าที่เป็นบริษัทกลางจัดจำหน่ายเหล้าของทั้ง 2 ค่าย ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ทำหน้าที่จัดจำหน่ายแต่ประการใด เพียงแต่คอยรับรู้ยอดการจัดจำหน่ายและชักค่าหัวคิวเสียมากกว่า

มีคำยืนยันจากหลายทางว่า สำหรับรายได้จากการเป็นผู้ควบคุมการจัดจำหน่ายเหล้าของบริษัทมวลชนพัฒนานั้น ก็คือขวดละ 50 สตางค์ พอๆ กับที่เหล้าแม่โขงเคยต้องจ่ายให้กับทหารใหญ่บางคน เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว และยังมีเงินกินเปล่าอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องจ่ายกันทุกเดือน ซึ่งได้กำหนดให้ค่ายสุรามหาราษฎรจ่ายเดือนละ 8 ล้านบาท ค่ายสุราทิพย์เดือนละ 10 ล้านบาท และทั้งหมดนี้ก็ได้มีการจ่ายเป็นทุนดำเนินงานของบริษัทมวลชนพัฒนาไปแล้วมากกว่า 3 เดือน

หรือพูดกันง่ายๆ บริษัทมวลชนพัฒนารับเงินกินเปล่าไปเป็นทุนรองรังแล้วอย่างน้อย ๆ ก็ 54 ล้านบาทไม่รวมรายได้อีกขวดละ 50 สตางค์ ซึ่งก็คาดว่าจะตกเดือนละ 10 ล้านบาทที่แยกต่างหาก

ก็คงจะหาธุรกิจดีๆ อย่างนี้ไม่มีอีกแล้วในโลก

และจากผลประโยชน์จำนวนมหาศาลของยุทธจักรน้ำเมานี้เอง ที่เป็นจุดกำเนิดของบริษัทมวลชนพัฒนา

จนเมื่อเป็นมวลชนพัฒนาแล้วนั่นแหละ เป้าหมายด้านอื่นๆ จึงได้ตามเข้ามาสมทบ กลายเป็นไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์จากเหล้าอย่างเดียวอีกต่อไป

เหล้านั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นฐานค้ำจุนอำนาจสำคัญฐานหนึ่งของกลุ่มทหารมาตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์และสืบทอดมาจนถึงยุคถนอม-ประภาส ซึ่งก็เป็นยุคที่วงการเหล้ายังไม่ได้แตกแยกเป็น 2 ค่ายดังเช่นปัจจุบัน

แต่เมื่อมาถึงจุดที่ต้องแตกแยก โดยค่ายหนึ่งมีกลุ่มเตชะไพบูลย์ในนามบริษัทสุรามหาราษฎรยึดครองการผลิตและจำหน่ายแม่โขงกวางทอง ส่วนอีกค่ายกลุ่มของเถลิง เหล่าจินดา ก็ได้สิทธิ์ในการผลิตเหล้าผสมตระกูลหงส์ 12 ตัวจากโรงเหล้า 12 เขตทั่วราชอาณาจักร

ปัญหาการแข่งขันระหว่างเหล้า 2 ค่าย ก็อุบัติขึ้นพร้อมกับทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ธุรกิจค้าเหล้าที่ไม่ต้องมีอิทธิพลของ "สี" มายุ่งเกี่ยว ตั้งแต่ขุนศึกคนสุดท้ายคือพลเอก กฤษณ์

สีวะรา ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็กลายเป็นว่า "สี" จะต้องเข้ามาอีกครั้งด้วยข้ออ้างว่าเข้ามาเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติหรือค่าสิทธิ์ที่ทั้ง 2 ค่ายจะต้องจ่ายให้กับรัฐ ซึ่งอาจจะต้องเสียหายไปเพราะการแข่งขันที่จำเป็นต้องงัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบมาใช้ในการหักโค่นกันให้พังไปข้างหนึ่ง

ทั้งนี้ฝ่ายที่พยายามดึง "สี" เข้ามาในวงการเหล้าอีกครั้ง ก็คือฝ่ายสุราทิพย์เจ้าของเหล่าสกุลหงส์

เจตนาจริงๆ ของสุราทิพย์ในการดึง "สี" หรือบริษัทมวลชนพัฒนา เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการค้าเหล้านั้น เป็นเจตนาที่ต้องการจะให้มวลชนพัฒนาเป็นกลไกในการแยกตลาดแม่โขงกวางทองออกจากตลาดเหล้าผสมตระกูลหงส์ โดยจะให้แม่โขงกวางทองขายในราคาที่แพงกว่า เนื่องจาก "หงส์" จะลดราคาลงมาขายถูก ๆ ไม่ได้ เพราะเงินที่ทุ่มประมูลโรงเหล้าและใช้สร้างโรงงาน 12 โรงของกรมสรรพสามิตนั้นกลายเป็นต้นทุนที่ค้ำคอ "หงส์" เสียแล้ว

"คิดว่าวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายทำธุรกิจของตนไปได้อีกทั้งรัฐก็จะได้ประโยชน์จากค่าสิทธิ์เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือ จะต้องมีการจัดตั้งบริษัทกลางทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการจัดจำหน่ายเหล้าของทั้ง 2 บริษัท เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันจากชั้นเชิงการแข่งขัน"

พลโท นพ พิณสายแก้ว อดีตผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายกำลังพล ซึ่งปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการกลุ่มบริษัทสุราทิพย์ แสดงความเห็นไว้ตั้งแต่ต้น ๆ ปี 2527 อันเป็นช่วงเดียวกับที่การเจรจาเรื่องบริษัทกลางจัดจำหน่าย ระหว่างเจ้าของธุรกิจเหล้า 2 ค่ายกับกลุ่มทหาร ที่ต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของผู้ก่อตั้งบริษัทมวลชนพัฒนากำลังเริ่มต้นพอดี

โดยมีอบ วสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในช่วงนั้น ให้การสนับสนุนแนวทางนี้อย่างออกหน้าออกตา

ผลสุดท้ายการเจรจาที่ต้องใช้เวลาเกือบ 1 ปี ก็ยุติลงโดยกลุ่มสุรามหาราษฎรต้องยินยอมคล้อยตามเพราะความที่ต้องเห็นแก่ "สี"

บริษัทมวลชนพัฒนาซึ่งมีนายทหารใหญ่ถือหุ้นร่วมกับพลเรือนที่เป็นเลขานุการของ อบ วสุรัตน์ ก็ก้าวเข้ามาเป็นคนกลางในธุรกิจเหล้าดังที่ทราบๆ กัน

"เราก็หวังว่ารายได้ของบริษัทกลางนี้จะได้นำไปใช้ในกิจการทหารกองหนุนคือ โครงการกองหนุนเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งจะหวังงบประมาณจากรัฐบาลก็คงจะได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ต้องอาศัยรายได้จากทางนี้" พลโท นพ พิณสายแก้ว พูดถึงวัตถุประสงค์ของการเข้ามาของบริษัทกลางฯ

โครงการกองหนุนเพื่อความมั่นคงแห่งชาตินี้ ในปัจจุบันผู้ที่รับผิดชอบโครงการก็คือ พลเอก มานะ รัตนโกเศศ อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ที่เพิ่งเกษียณจากราชการหมาดๆ

ก็เป็นโครงการที่หากจะเรียกกันตามภาษาการเมืองแล้วก็คือ การเข้าไปจัดตั้งมวลชนในกลุ่มที่เคยรับราชการทหารมาก่อน เพื่อให้กำลังส่วนนี้สามารถเรียกกลับมารับใช้ชาติได้ทุกเวลาเมื่อชาติต้องการ

เป็นงานจัดตั้งที่โดยหลักการกว้างๆ แล้วก็ไม่ต่างจากการจัดตั้งลูกเสือชาวบ้าน หรือกลุ่ม ทส.ปช. อย่างที่เคยทำกัน

"เป็นงานที่พลเอก มานะ รัตนโกเศศ กับพลเอก จุไท แสงทวีป รองผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน เป็นตัวตั้งตัวตี และว่ากันว่า พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก ก็สนับสนุนอย่างมาก" แหล่งข่าวในแวดวงสีเขียวยืนยัน

พลเอก อาทิตย์ , พลเอก มานะ และพลเอก จุไท นั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเตรียม ทบ. รุ่น 5 ด้วยกัน และก็สนิทกันเป็นพิเศษ

เมื่อพิจารณากันตามหลักตรรกวิทยาแล้ว หลายฝ่ายจึงเชื่อว่า พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก น่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับบริษัทมวลชนพัฒนาเป็นอย่างดี แม้ว่าโดยเปิดเผยพลเอก อาทิตย์ จะไม่เคยแสดงลักษณะพาดพิงมาถึงบริษัทนี้เลยก็ตาม

"เพราะฉะนั้น ในจำนวนรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทมวลชนพัฒนา จึงมีผู้ถือหุ้นอยู่ 2 ประเภท คือประเภทที่ร่วมรู้เห็นและร่วมกันก่อตั้งบริษัท กับอีกประเภทหนึ่งคือ ไม่รู้ไม่เห็นเลย แต่กลับต้องถูกเอาชื่อไปใส่เป็นผู้ถือหุ้น เพื่อให้ดูขลัง อย่างเช่น พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ และพลโท จรวย วงษ์สายัณห์ เป็นต้น" แหล่งข่าวในแวดวงสีเขียวคนเดิมเล่าต่อ

ก็มีคำถามอยู่ว่า เมื่อถูกเอาชื่อไปใช้โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เห็นแล้ว ทำไมจึงยินยอมให้ทำได้โดยไม่โดดออกมาปกป้องตัวเอง

"โธ่…ก็ใครจะไปแน่ใจว่าเรื่องนี้ นายอาทิตย์สั่งหรือไม่ได้สั่ง รับรู้หรือไม่ได้รับรู้ ถ้านายไม่ได้สั่งหรือไม่ได้รับรู้เลย ออกมาปกป้องตัวเองก็คงจะทำได้อยู่ แต่ถ้านายเป็นผู้สั่งหรือนายรับรู้มาตั้งแต่ต้น ขืนออกมาก็มีแต่จะทำให้นายเหม็นหน้าเสียเปล่าๆ ครั้นจะถามนายให้ชัดเจน เรื่องนี้ก็ต้องดูสภาพเงื่อนไขด้วย" แหล่งข่าวสีเขียวอีกคนอธิบาย

ที่จริงในเรื่องที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการตั้งบริษัทมวลชนพัฒนานั้น ยังมีการพูดกันในเชิงวิเคราะห์ต่อไปว่า ไม่น่าจะมีเพียงความต้องการจะหารายได้มาใช้ในโครงการกองหนุนเพื่อความมั่นคงแห่งชาติเพียงอย่างเดียว

หากแต่ตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นฐานทางการเงินสำหรับการก่อตั้ง "พรรคทหาร" เพื่อเล่นการเมืองในระบบรัฐสภาอีกด้วย

ดูเหมือนการประกาศตัวว่าจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้ว่า กทม. ของพลเอก มานะ รัตนโกเศศ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ข้อวิเคราะห์นี้มีสีสันและน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

และถึงแม้พลเอก มานะ จะถูก "ไฟแดง" จากพลเอก อาทิตย์ ในเรื่องการลงเลือกตั้งไปแล้ว ความเชื่อในเรื่อง "บริษัทมวลชนพัฒนาเพื่อพรรคทหาร" ก็หาได้จบลงไปไม่

"ยิ่งถ้าพิจารณาในแง่ที่ทหารใหญ่หลายคนในกองทัพ มีความขัดแย้งอย่างรุนแรง กับพรรคการเมืองบางพรรคซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบันเสียด้วยแล้ว เรื่องพรรคทหารก็ดูเหมือนจะมีความเป็นไปได้มาก" นักการเมืองคนหนึ่งวิสัชนา

"ทหารจำเป็นจะต้องมีพรรคการเมืองของตนเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์และแนวความคิดของทหาร โดยอาศัยรัฐสภาเป็นเวที เพราะมิฉะนั้นแล้ว อำนาจของทหารก็อาจจะถูกลิดรอนไปด้วยเมื่อระบบรัฐสภาเติบโตพร้อมๆ กับการเติบโตของพรรคการเมือง ซึ่งทหารมองว่าเป็นพรรคของชนชั้นนายทุน เข้ามาเล่นการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ" นายทหารยศพันเอกคนหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ซึ่งที่จริงทหารก็เคยเข้าไปมีบทบาทในพรรคการเมืองหลายพรรค

หรืออย่างเช่นพรรคปวงชนชาวไทยนั้น ก็เป็นพรรคที่ทหารเป็นผู้ก่อตั้งและใช้ทุนรอนของทหารหนุนหลังโดยผ่านทางพลตรีระวี วันเพ็ญ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสาร กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ. รมน.) และครั้งหนึ่งเคยถูกขนานนามว่าเป็นหัวขบวนของกลุ่ม "ทหารประชาธิปไตย"

แต่เผอิญพรรคปวงชนชาวไทยเป็นพรรคที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างมากๆ จากการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งที่ผ่านมา พรรคทหารพรรคนี้จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะเสนอความคิดนโยบายของกองทัพเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติและของกองทัพได้อย่างมีศักยภาพ

มีนายทหารหลายคนได้ให้ข้อสรุปว่า "เป็นเพราะยังขาดฐานการเงินที่เข้มแข็ง" จึงสู้พรรคการเมืองของชนชั้นนายทุนอย่างเช่น กิจสังคม ชาติไทย หรือ ประชาธิปัตย์ไม่ได้

ก็เป็นข้อสรุปบนพื้นฐานความคิดแบบเก่าๆ ที่คิดกันว่า เมื่อจะเล่นการเมืองก็จะต้องมีเงินให้หนา ๆ เข้าไว้ เรื่องอื่นๆ เป็นปัจจัยย่อย

ผลสุดท้ายแนวความคิดเรื่องการตั้งพรรคทหารแต่ยังขาดเงินหนุนก็เลยมาลงตัวพอดีกับแนวความคิดเรื่องการตั้งบริษัทมวลชนพัฒนาขึ้นมาหาเงิน สำหรับใช้ในโครงการกองหนุนฯ ซึ่งก็คงเป็นโครงการที่จะใช้เงินเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ที่เข้ามาทั้งหมด

พูดกันเข้าใจง่ายๆ ก็คือ มวลชนพัฒนา ยังมีเงินเหลือพอจะเอาไปทำอย่างอื่นได้อีก

เพียงแต่ก็เหลือไม่มากนัก ถ้าจะมีลำพังรายได้จากเหล้าอย่างเดียว เพราะก็คิดกันว่า "พรรคทหาร" ถ้าจะตั้งกันแล้วก็จะต้องเป็นพรรคที่พร้อมจะโตได้ทันที

จึงจะต้องมีฐานรายได้ จากธุรกิจแขนงอื่นๆ นอกเหนือจากเหล้า

การก้าวเข้าไปทำธุรกิจค้าข้าว ธุรกิจขนส่ง การค้าอาวุธ และตั้งโรงงานผลิตอาวุธ จึงต้องคิดวางแผนกันอย่างเร่งด่วน เพื่อจะได้มีฐานการเงินที่โต พอจะสนับสนุนพรรคการเมืองได้อย่างเต็มกำลังต่อไปในอนาคต

ก็เป็นแนวความคิดที่พยายามจะแขวนคอตัวเองแท้ๆ

"ลำพังแต่เข้าไปยุ่งในเรื่องเหล้า ภาพของทหารก็เสียหายมากแล้ว โดยเฉพาะในสายตาประชาชน นี่ยังจะเข้าไปยุ่งกับธุรกิจอื่นๆ อีกมาก ความไม่พอใจก็มีแต่จะยิ่งขยายกว้างขึ้น เพราะทหารเข้าไปก็ต้องอาศัยบารมีอิทธิพลที่มี มันก็เหมือนกับไปรังแกธุรกิจที่เขาทำอยู่เดิม โดยที่เขาไม่มีบารมีหรืออิทธิพล เขาเป็นนักธุรกิจจริงๆ" นักธุรกิจคนหนึ่งวิจารณ์ออกมาตรง ๆ

การตั้งบริษัทมวลชนพัฒนานั้น โดยชื่อทหารเองก็คงต้องการจะบอกว่า "เพื่อพัฒนามวลชน"

แต่ก่อนที่จะ "พัฒนามวลชน" ทหารใหญ่บางคนน่าจะลองทบทวนสักนิดว่าสมควรหรือไม่ที่จะต้องมีการพัฒนาความคิดของทหารเสียก่อน

อย่างน้อยๆ ก็ความคิดในเรื่องนี้แหละ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us