เซียนมองปีนี้เศรษฐกิจไทยโต 4-5 % ได้สบาย แม้จะมีปัจจัยลบรุมเร้า ทั้งหวั่นปัญหาน้ำท่วม เศรษฐกิจโลกโตช้า และ หนี้ยุโรปที่สูงแต่ความสามารถชำระหนี้ต่ำ ปัญหาลากยาวต่อเนื่อง เหตุปีที่ผ่านมาฐานต่ำเพราะน้ำท่วม แนะลงทุนทองยังน่าสนใจแต่จะผันผวนมากต้องหมั่นขายทำกำไรเป็นระยะ ให้กรอบ 1,480-1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่หุ้นยังมีแรงซื้อจากต่างชาติเป็นตัวหนุนมองเป้าหมาย 1,240 จุด
โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ปัจจัยที่มีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้มี 3 เรื่อง คือ ปัญหาอุทกภัย เศรษฐกิจโลกเติบโตช้า และปัญหาหนี้ในยุโรป โดยปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยมีความเสียหายติดอันดับ 7 ใน 10 ภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายมากที่สุดบนโลกครองตำแหน่งร่วมกับเหตุการณ์พายุแคทรีนาที่สหรัฐฯ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์
ขณะที่เรื่องเศรษฐกิจโลก สำนักวิจัยต่างๆก็ก็มีการคาดกันว่าจะเติบโตช้าลง โดยไอเอ็มเอฟลดประมาณการเติบโตปีนี้เหลือ 3.3% จากปีที่ผ่านมาที่ที่เคยว่าว่าจะเติบโต 3.8% เนื่องจากเศรษฐกิจยุโปรและสหรัฐฯยังค่อนข้างอ่อนแอ และไม่มีประเทศใดที่จะขึ้นมาแทนที่ได้ แม้กระทั่งกลุ่มประเทศที่คาดว่าจะแข็งแรง เช่น จีน อินเดีย ก็ชะลอลงเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจไทย และเป็นภาวะที่อ่อนแอทั้งโลกอย่างทั่วถึงกัน ทั้งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจับตาดูว่าสัญญาณของโลกในปีนี้จะเป็นอย่างไร เพราะเศรษฐกิจโลกจะดำเนินอย่างไม่มีกำลัง
ส่วนปัจจัยสุดท้ายที่จะมีบทบาทต่อเศรษฐกิจไทย คือปัญหาหนี้ในประเทศแถบยุโรป 6 ประเทศและจีดีพีที่ตกต่ำ ซึ่งหนี้ทั้งหมดกว่า 3.7 ล้านล้านยูโรใน 6 ประเทศที่มีปัญหาคือหนี้ที่ครบกำหนดและจะต้องเข้ามาหาตลาดเพื่อกู้ใหม่มาแทน 1.2 ล้านล้านยูโร และ ที่ผ่านมามีความพยายามในการสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาด จัดตั้งกองทุน และดูแลความแข็งแกร่งของธนาคารในประเทศตัวเองเป็นระยะแล้ว แต่ควรถึงเวลาที่จะเห็นความชัดเจนของการแก้ปัญหา ซึ่งหากมีหนี้และยังโตเพิ่มขึ้นได้ความน่าวิตกจะลดลง แต่การมีหนี้แล้วความสามารถชำระหนี้ลดลงทำให้ยังน่าเป็นห่วง ซึ่งปัญหายุโรปไม่ได้อยู่ที่การมีหนี้มากอย่างเดียว แต่อยู่ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำด้วย หากไม่สามารถแก้ไขได้ก็จะมีผลต่อค่าเงินยูโร เศรษฐกิจในยุโรปจะถดถอยรุนแรงมากขึ้น และมีบางประเทศที่ไม่สามารถอยู่ในประชาคมนี้ต่อไป ซึ่งหากปัญหาปะทุขึ้นจะส่งผลกระทบต่อประเทศที่มีการค้ากับยุโรปอย่างจีน และสหรัฐ ซึ่งจะทำให้จีนโตได้น้อยลง และสหรัฐที่จะเริ่มดีขึ้นก็แย่ลงไปอีก
สำหรับประเทศไทยยังอยู่ระหว่างการผ่านความแรงต้าน 3 ประการคือ ความกดดันทางด้านของราคาราคาที่สูงจากมาตรการของรัฐ ทั้งเรื่องค่าแรง รวมทั้งน้ำมัน ที่จะกระทบกับต้นทุน รวมถึงดอกเบี้ยนโยบาย แรงกดดันเรื่องที่สองคือการพึ่งพิงการส่งออกที่จะทำได้ยากขึ้น โดยไอเอ็มเอฟคาดว่าในปีนี้การค้าโลกจะโตเพียง 3.8% แม้ว่าในระยะหลังไทยจะมีการกระจายฐานส่งออกไปจีนและอาเซียนมากขึ้นแล้วก็ตาม แรงกดดันสุดท้ายจะมาจากเงินทุนที่เปลี่ยนแปลงเร็วและกระทบต่อค่าเงิน อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 4 - 5% แน่นอน เมื่อเทียบกับฐานที่ต่ำในปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีปัญหาน้ำท่วม และ ปัจจัยสุดท้ายคือหนี้ยุโรปและจีดีพีที่ตกต่ำซึ่งจะมีผลต่อเงินทุนไหลเข้า
ในด้านการลงทุนทองคำ จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ปัจจุบันแม้ว่าราคาทองจะปรับตัวขึ้นมาแรงมายืนถึงระดับ 1,600-1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือทองคำบาทละ 25,000-27,000 บาท เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาความขัดแย้งของประเทศอิหร่านกับกลุ่มอียู และเมื่อราคาทองขยับแรงก็จะมีแรงขายทำกำไร ดังนั้น ปีนี้มั่นใจว่าราคาทองจะไม่มีโอกาสแตะระดับ 2 พันดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 3 หมื่นบาทต่อบาททองคำ
ด้านทิศทางราคาทองคำในปีนี้ยังผันผวน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยคาดว่าราคาทองคำอาจจะปรับฐานลงมาถึงระดับ 1,522 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะปรับสูงขึ้นเพื่อทำสถิติใหม่เกินระดับ 1,922 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 27,000 บาท ที่อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่กรอบการเคลื่อนไหวราคาทองคำในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1,480-1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำมากที่สุด คือ ปัญหาหนี้สาธารณะยุโรป หากยังไม่คลี่คลายนักลงทุนจะเลือกลงทุนในทองคำมากขึ้น เพราะเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด แต่ก็อย่าตื่นตระหนกกับกระแสข่าวการแก้ปัญหาหนี้ยุโรปมากไป เพราะอาจจะเป็นปล่อยข่าวในการเก็งกำไรทองคำของกองทุนก็ได้
สำหรับราคาทองคำในประเทศปรับขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี 2555 ประมาณ 2,000-2,200 บาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างรวดเร็ว ดังนั้น นักลงทุนควรทยอยขายทำกำไรเป็นระยะ และในปีนี้ คาดว่าจะมีจำนวนนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรในทองคำ เพราะยังมีโอกาสที่จะทำกำไร เนื่องจากราคายังความผันผวน
ด้านการลงทุนในหลักทรัพย์ ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า นักลงทุนควรลงทุนระยะสั้นเนื่องจากปีนี้ จะเป็นปีแห่งความผันผวนของสินทรัพย์เสี่ยงทุกประเภทเนื่องจากมีปัจจัยความไม่แน่นอนสูง โดยการจัดพอร์ตลงทุนควรจะเน้นลงทุนในสัดส่วน 100% แบ่งเป็นการลงทุนฝากเงินตราสารหนี้ 65-70% ที่เหลือเป็นการลงทุนทองคำ น้ำมันและหุ้น โดยให้เน้นที่ทองคำเนื่องจากมองว่าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด
"คาดว่าดัชนีหุ้นไทยปีนี้ไม่น่าจะขึ้นได้สูงเกิน 1,240 จุด ซึ่งปัจจุบันการที่ดัชนีใกล้เป้าหมายสิ้นปีนั้นอยู่ที่แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ โดยในแต่ละปีต่างชาติจะมียอดซื้อปีละประมาณ 7 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาท ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีมียอดซื้ออยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าเม็ดเงินต่างชาติจะเข้ามาไม่น่าเกิน 3 หมื่นล้านบาทต่อรอบ ก็น่าจะเกิดแรงขายทำกำไรออกไปก่อน"
สำหรับหุ้นกลุ่มที่แนะนำให้ซื้อลงทุน ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ ซึ่งประเมินว่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเชื่อว่าความสามารถในการทำกำไรจะเติบโตปีละ 20% ได้อีก 2-3 ปีข้างหน้า แม้อัตราราคาต่อกำไร(P/E) กลุ่มนี้อยู่ที่ 20 เท่า เทียบกับ P/E โดยรวมของตลาดฯซึ่งอยู่ที่ 11 เท่า