“ซิตี้เชน” จัดทัพใหม่ หันรุกตลาดโฮลเซลเต็มตัว สร้างรายได้เพิ่ม เตรียมขยายสู่ตปท.ปีนี้ หลังจากตลาดรีเทลเริ่มอิ่มตัวแล้ว แต่ยังคงขยายต่อ เนื่องเตรียมผุดชอปอีก 10 สาขา คว้าสิทธ์ใหม่อีก 2 แบรนด์หรู
นายเดวิด คว๊อก ผู้อำนวยการ บริษัท ซิตี้เชน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ประกอบการเชนร้านจัดจำหน่ายนาฬิกา เปิดเผยว่า บริษัทฯจะเร่งขยายตลาดรูปแบบโฮลเซลอย่างเต็มที่ หลังจากที่เริ่มทดลองที่ประเทศไทยปีที่แล้วและได้รับผลตอบรับดี รวมทั้งปีนี้จะขยายโฮลเซลในประเทศอื่นคือ อินโดนีเซีย และบรูไน อินเดีย ต่อไป เนื่องจากตลาดรีเทลทุกวันนี้ค่อนข้างอิ่มตัวอีกทั้งซิตี้เชนก็เป็นผู้นำในตลาดรีเทลนี้แล้ว จึงต้องสร้างการเติบโตในด้านอื่นที่เป็นโฮลเซล ด้วยการขายผ่านร้านค้าอื่นนอกเหนือจากร้านซิตี้เชนของเราเอง
ทั้งนี้ตลาดโฮลเซลล์ในไทย จะใช้นาฬิกา 10 แบรนด์ ทำตลาดลักษณะนี้ คือ SKAGEN, MORGAN, FRENCH CONNECTION, AIGNER, CERUTTI1881, PAUL FRANK, MISS SIXTY, FCUK, PUMA เป็นต้น จากทั้งหมดที่ซิตี้เชนจัดจำหน่ายในไทยมากกว่า 30 กว่าแบรนด์ โดยที่ผ่านมาได้แต่งตั้งเอเย่นต์ไปแล้วมากกว่า 40-50 ราย และปีนี้ก็จะแต่งตั้งเพิ่มอีก
สำหรับการรุกโฮลเซลในต่างประเทศจะใช้บริษัท THONGSIA (THAILAND) จำกัด ขึ้นมารับผิดชอบโดยเฉพาะ โดยในประเทศอินโดนีเซีย จะเจรจากับผู้ที่สนใจในเดือนหน้า และหากไม่มีปัญหาจะเริ่มได้เดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะใช้เพียงแบรนด์เดียวก่อนคือ โซวิล เอ ติตัส ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีต้นกำเนิดที่สวิส แต่ปัจจุบันคนฮ่องกงเป็นเจ้าของและสร้างให้เป็นเอเซียแบรนด์ไปแล้ว ซึ่งที่อินโดนีเซียนี้ถือเป็นตลาดที่ใหญ่มีประชากรมากกว่า 200 ล้านคน และตลาดนาฬิกาก็ใหญ่และเติบโตดีด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้สัดส่วนรายได้ที่มาจากโฮลเซลของซิตี้เชนยังน้อยมากแค่ 3% เท่านั้น เพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่คาดว่าอีก 3 ปีจากนี้ จะเพิ่มเป็น 10% จากยอดขายรวม
สำหรับตลาดรีเทลนั้น ก็ยังจะเป็นตลาดหลักของซิตี้เชนอยู่ โดยปีนี้มีแผนที่จะเปิดสาขาซิตี้เชนในไทยอีก 5 – 10 สาขา ลงทุนสาขาละประมาณ 8 ล้านบาท เปิดในเครือข่ายค้าปลีกของเซ็นทรัลและไฮเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งเป็นปริมาณการขยายสาขาที่น้อยกว่าปีก่อนๆ จากปัจจุบันมีรวม 90 กว่าสาขา ส่วนซิตี้เชนในเอเซียมีทั้งหมดมากกว่า 350 สาขา รวมทั้งปีนี้ยังได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายอีก 2 แบรนด์ใหม่คือ PAUL FRANK เมื่อเดือนที่แล้ว และล่าสุดคือ แบรนด์ TIMBERLAND
ด้านผลประกอบการปีที่แล้ว ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมต้องปิดไปมากกว่า 20 สาขา แต่ขณะนี้กลับมาเปิดบริการได้หมดแล้ว ทำให้ยอดขายรวมเติบโตเพียง 5% ต่ำกว่าป้าหมายที้ตั้งไว้ที่ 10% และยังต่ำกว่าช่วงที่มีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองแบ่งเป็นสองสีเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน ที่ยังเติบโตได้ 8% ทั้งนี้แบรนด์โซวิล เอ ติตัส ทำรายได้หลักสัดส่วน 20% จากยอดขายรวม
“ตลาดนาฬิกากลุ่มแฟชั่นในไทยแข่งขันกันสูง มีหลายแบรดน์ทำตลาด แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบมาเร็วไปเร็ว อย่างน้อยมีไม่ต่ำกว่า 3-4 แบรนด์ต่อปี ส่วนโซวิล เอ ติตัส เองก็มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 15% ในไทย”
ล่าสุดได้เปิดตัว “ณเดชน์-ญาญ่า” เป็นพรีเซ็นเตอร์คู่ใหม่ของโซวิล เอ ติตัส และเปิดตัวคอลเลคชัน ไทม์ อีส เลิฟ เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายเป็น คนอายุต่ำกว่า 20 ปีมากขึ้น จากเดิมกลุ่มหลักคืออายุ 25-45 ปี และคาดว่าแคมเปญใหม่นี้จะเพิ่มยอดขาย 50% ซึ่งก่อนหน้านี้โซวิล เอ ติตัส เคยใช้คนไทยเป็นพรีเซ็นเตอร์มาก่อนคือ “อ้อม-พิยดา อัตรเศรณี” ในปี 2549 หลังจากนั้นก็ใช้โฆษณาและแคมเปญชุดเดียวกันทั่วเอเซีย