กางแผนกลุ่มเซ็นทรัลเขียนประวัติศาสตร์ในปี 2555 ด้วยเป้ายอดขายเฉียด 2 แสนล้านบาท เติบโตสูงสุดถึง 35% ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาทสร้างพอร์ตโฟลิโอให้ยิ่งใหญ่ขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เตรียมลงทุนในอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า เดินหน้าผนึกพันธมิตร เน้นการควบรวมกิจการ เพิ่มมูลค่าทั้งแบรนด์เก่าและแบรนด์ใหม่ ขยายสาขาทั้งห้างใหม่และโรงแรม พร้อมพัฒนาช่องทางธุรกิจใหม่ มั่นใจธุรกิจพร้อมรับศึกการค้าเสรีระดับโลกไม่ใช่เฉพาะแค่เออีซีที่กำลังจะมาถึง
กลุ่มเซ็นทรัลที่นำโดย สุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร และคณะกรรมการบริหาร CMB (CEO Management Board) ได้วางยุทธศาสตร์ที่จะผลักดันธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลในปี 2555 ให้เป็นปีที่ท้าทายที่สุดภายใต้ “Our Challenge 2012” ที่กลุ่มเซ็นทรัลจะปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสและก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมั่นคงยิ่งขึ้น
“5 ปีที่ผ่านมาเราใช้เวลาสร้างองค์ประกอบทางธุรกิจให้พร้อมที่สุด ปีนี้จึงถือเป็นปีแห่งความท้าทายของทุกกลุ่มธุรกิจที่จะต้องผลักดันให้กลุ่มเซ็นทรัลมีการเติบโตสูงสุดถึง 35%”
การเติบโตถึง 35% เป็นสิ่งที่คณะกรรมการบริหารกลุ่มเซ็นทรัลได้ร่วมกันวางยุทธศาสตร์ที่จะพาทุกกลุ่มธุรกิจให้เติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมาย ด้วยการทุ่มเม็ดเงินลงทุนถึง 30,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในปี 2555
การกำหนดตัวเลขการเติบโตดังกล่าว ส่งผลให้ในปีนี้กลุ่มเซ็นทรัลต้องทำรายได้สูงถึง 188,000 ล้านบาท จากยอดรายได้รวม 139,600 ล้านบาทในปี 2554
“เรากำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับกลุ่มเซ็นทรัลด้วยการทำรายได้เฉียดสองแสนล้านบาท”
กลุ่มเซ็นทรัลได้กำหนดนโยบายในการทำธุรกิจปี 2555 จะมุ่งสานต่อกลยุทธ์ “ดำเนินการฟื้นฟูปรับปรุง แสวงหาพันธมิตร การควบรวมกิจการ เพิ่มมูลค่า ขยายสาขา พัฒนาช่องทางใหม่ ก้าวไปสู่อินเตอร์ และรับผิดชอบต่อสังคม” นอกจากนี้ยังมีการให้ความสำคัญกับเรื่องการบริหารความเสี่ยงที่เข้มข้นอยู่แล้วให้เข้มข้นขึ้นไปอีก เพื่อเตรียมพร้อมรับกับวิกฤตด้านต่างๆ เนื่องจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาในประเทศไทย มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกลุ่มเซ็นทรัลก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างกรณีน้ำท่วมใหญ่ในช่วงปลายปี 2554 ก็ทำให้ยอดขายของกลุ่มเซ็นทรัลหายไปถึง 7,000 ล้านบาท กำไรหายไปทันที 1,000 ล้านบาท ยังไม่นับรวมมูลค่าความเสียหายในทรัพย์สินอีกหลายร้อยล้านบาทด้วย
สุทธิธรรม ย้ำว่ากลุ่มเซ็นทรัลยังคงยึดแนวทางในการเติบโตทางด้านธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ด้วยการควบรวมกิจการ หรือ M&A(Mergers&Acquisitions) ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ส่งผลให้กลุ่มเซ็นทรัลประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา และสร้างปรากฏการณ์ประวัติศาสตร์ให้วงการค้าปลีก ด้วยการลงทุนกว่า 11,000 ล้านบาท ซื้อกิจการของห้างสัญชาติอิตาลี la Rinascente ซึ่งเป็นกลุ่มห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของอิตาลี และกลุ่มธุรกิจอาหารได้ขยายพอร์ตธุรกิจด้วยการซื้อกิจการร้านอาหารญี่ปุ่น Ootoya ด้วยเงินลงทุนกว่า 720 ล้านบาท
กลุ่มเซ็นทรัลยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ เพื่อสร้างให้พอร์ตโฟลิโอของกลุ่มเซ็นทรัลยิ่งใหญ่ขึ้น และเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการยอมรับทั้งภายในและต่างประเทศ โดยในกลุ่มธุรกิจโรงแรมนั้นยังคงเน้นการขยายธุรกิจเซนทาราผ่านการรับจ้างบริหารตามกลยุทธ์ Asset-Light Strategy หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในปี 2554 ซึ่งได้เซ็นสัญญาดำเนินการกับโรงแรมต่างๆ 23 แห่ง และเปิดบริการในปีที่ผ่านมา 4 แห่ง เป็นโรงแรมในประเทศ 3 แห่งและต่างประเทศไทยอีก 1 แห่ง ส่วนการลงทุนสร้างโรงแรมเองนั้น กลุ่มเซ็นทรัลเล็งจะเปิดโรงแรมแห่งที่สองในมัลดีฟส์
และในปี 2555 กลุ่มเซ็นทรัลมีแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โครงการเซ็นทรัลเอ็มพาสซี่ คาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 เปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสันประมาณ 5 สาขาต่อปี โดยในปีนี้จะเปิดสาขาที่สุพรรณบุรี บางแค เมกะบางนา สุราษฎร์ธานี และลำปาง พร้อมขยายสาขาท็อปเดลี่และกลุ่ม Specialty Store รวมมากกว่า 200 สาขา ขยายศูนย์การค้าและธุรกิจภายใต้การบริหารของซีพีเอ็นประมาณ 3 ศูนย์การค้าต่อปี และการเปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน หลังจากเปิดห้างเซนและเซ็นทรัลในจีนเมื่อช่วงปีที่ผ่านมาแล้ว
นอกจากนี้จะมีการขยายสาขาในแบรนด์ใหม่ๆ ในกลุ่มธุรกิจอาหาร ได้แก่ Ootoya, Yoshinoya, Chabuton และ The Terrace มีการเพิ่มสาขาของเคเอฟซี มิสเตอร์โดนัท Auntie Anne's รวมถึงการปรับภาพลักษณ์สาขาต่างๆ ของทุกแบรนด์เพื่อให้ดูทันสมัยอยู่เสมอ
“เราจะมีการเซ็นสัญญากับแบรนด์ใหม่อีกมากในปีนี้ น่าจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันการเติบโตให้กับกลุ่มเซ็นทรัล”
สุทธิธรรม มองว่าหากไม่มีปัจจัยลบเหมือนช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เชื่อมั่นว่ากลุ่มเซ็นทรัลจะสามารถผลักดันธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน โดยสุทธิธรรมเชื่อว่าภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ มีแนวโน้มกำลังฟื้นตัว เริ่มเห็นกำลังซื้อของประชาชนกลับมา โดยหวังว่านโยบายและมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจะมีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนและช่วยให้เกิดการขยายตัวของภาคการบริโภค ซึ่งกลุ่มเซ็นทรัลพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการจัดกิจกรรมและโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและคู่ค้า
นอกจากนี้หากภาครัฐมีการสนับสนุนด้วยการชูเรื่องการชอปปิ้งให้เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำหรับการท่องเที่ยว น่าที่จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจที่จะเข้ามาชอปปิ้งในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และทำให้ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลดียิ่งขึ้นด้วย
“เราได้ใช้บทเรียนที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมานำมาปรับใช้และวางเป็นกลยุทธ์ในปีนี้ และเราก็เชื่อมั่นในประสบการณ์ของคณะกรรมการบริหารกลุ่มเซ็นทรัลทุกคนที่สั่งสมมาจะนำพาธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปตามเป้าหมาย ซึ่งเราได้เปรียบบริษัทอื่นๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงทีมผู้บริหารอยู่ตลอดเวลา”
สำหรับผลการดำเนินงานของกลุ่มเซ็นทรัลในปี 2554 ที่ผ่านมามียอดขายรวมทั้งสิ้น 139,600 ล้านบาท เติบโตขึ้น 17% จากปี 2553 เกินกว่าเป้าที่ได้ตั้งไว้ที่ 133,500 ล้านบาท จากเงินลงทุนทั้งสิ้น 38,000 ล้านบาท จากที่ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 20,000 ล้านบาท เนื่องจากมีการซื้อกิจการของห้างla Rinascente และการซื้อกิจการร้านอาหารญี่ปุ่น Ootoya นอกจากนี้ก็เป็นการลงทุนในโครงการใหม่ เช่น โครงการศูนย์การค้าในจังหวัดเชียงราย พิษณุโลก พระรามเก้า ท็อปเดลี่ 60 สาขา ไทวัสดุ 9 สาขา พาวเวอร์บาย 13 สาขา และซูเปอร์สปอร์ต 15 สาขา พร้อมกับเปิดตัวแบรนด์ใหม่และสาขาใหม่ในกลุ่มอาหาร ได้แก่ Ootoya, Yoshinoya รวมถึงแบรนด์แฟชั่นของกลุ่มค้าส่ง Accessorize, MNG, Lasenza และ Agnes b
ทั้งนี้หากคิดอัตราการเติบโตในแต่ละกลุ่มธุรกิจของกลุ่มเซ็นทรัลในปีที่ผ่านมาทั้ง 5 กลุ่มนั้น กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (CRC) มีการเติบโต 17% กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (CPN) เติบโต 11% กลุ่มธุรกิจค้าส่ง (CMG) เติบโต 21% กลุ่มธุรกิจโรงแรม (CHR) เติบโต 20% และกลุ่มธุรกิจอาหาร (CRG) เติบโต 24%
พร้อมสู้ศึกเสรีค้าปลีกโลก
สุทธิธรรม กล่าวถึงความพร้อมของกลุ่มเซ็นทรัลในการเตรียมรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ว่ากลุ่มเซ็นทรัลเตรียมความพร้อมการแข่งขันกับต่างชาติไว้นานแล้ว และเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะแข่งขันในระดับโลกที่มากกว่าเออีซีด้วยซ้ำ
“เราอินเตอร์มานานแล้ว เรามีความพร้อมในกลุ่มธุรกิจของเรา”
ทั้งนี้กลุ่มเซ็นทรัลมีการค้ากับต่างประเทศมาตลอด เนื่องจากประเทศไทยให้เสรีกับธุรกิจค้าปลีกมานานแล้ว ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลมีการเตรียมความพร้อมรับกับเรื่องนี้ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถของกลุ่มธุรกิจให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่ระดับโลกให้ได้ โดยกลุ่มเซ็นทรัลมีเทคโนโลยี มีโนว์ฮาว มีการบริหารแบบครอบครัวที่ผู้ใหญ่มองทะลุการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไว้ล่วงหน้า มีการเตรียมคนในครอบครัวทั้งเรื่องการศึกษาในต่างประเทศ และการสร้างสมประสบการณ์กันอย่างยาวนาน ทำให้วันนี้กลุ่มเซ็นทรัลมีขีดความสามารถอย่างมากที่จะแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลก
“เราโดนคู่แข่งอัดทั้งระเบิดและปืนใหญ่ตั้งแต่เรามีแค่มีดดาบ เรายังยืนหยัดอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้และเติบโตขึ้นจากอดีตอย่างมากมาย วันนี้กลุ่มเซ็นทรัลจึงมีขีดความสามารถที่จะแข่งขันกับใครก็ได้ในโลก” สุทธิธรรมกล่าว