Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กุมภาพันธ์ 2555
สุดทางฝันชนชั้นกลางจีน?             
โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล
 


   
search resources

Social




ปีนี้ วันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติของจีนหรือที่คนไทยเรียกกันว่า “ตรุษจีน” มาเร็วกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา คือวันที่ 23 มกราคม 2555 ขณะที่ปีก่อนๆ อย่างเร็วก็ปลายเดือนมกราคม หรือต้นเดือนกุมภาพันธ์

ตรุษจีนทุกๆ ปี หนึ่งในประเด็นที่สื่อจีนและสื่อ มวลชนทั่วโลกต้องหยิบยกขึ้นมารายงานถึงก็คือ เรื่องการเดินทางกลับบ้านของชาวจีนนับพันล้านคน เนื่องจากเทศกาลซึ่งกินเวลาราวหนึ่งเดือนนี้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่มวลหมู่มนุษยชาติเดินทางย้ายถิ่นกันครั้งมโหฬารที่สุดในรอบปี โดยในปี 2553 มีรายงานว่าช่วงเทศกาลตรุษจีน คนจีนเดินทางกัน 2,200 ล้านเที่ยว มาถึงตรุษจีนปี 2555 มีการคาดการณ์ว่าชาวจีนน่าจะเดินทางกันเพิ่มขึ้นทะลุ 3,000 ล้านเที่ยว

ในทัศนะของผม “เทศกาลตรุษจีน” ของชาวจีน โพ้นทะเลในเมืองไทยกับชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ดูจะมีความผิดแผกแตกต่างกันไม่น้อย แม้ตรุษจีนของคนจีนจะมีความคล้ายคลึง “สงกรานต์” ของคนไทย หรือ คริสต์มาสของฝรั่ง แต่ตรุษจีนจริงๆ แล้วเป็นมรดกตก ทอดมาจากจีนในยุคสมัยของสังคมกสิกรรม ขณะที่ปัจจุบันสังคมกสิกรรมในจีนหดตัวเล็กลงเรื่อยๆ เพราะ ถูกรุกรานด้วยสังคมอุตสาหกรรมและสังคมเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ว่ากันว่าตรุษจีนคือ ช่วงเวลาที่อากาศหนาวที่สุดของปีและไม่สะดวกต่อการทำการเพาะปลูก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวจีนจึงถือเอาเทศกาลนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ช่วงเวลาของครอบครัว ช่วงเวลาของการอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา นั่งล้อมวงกันในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ร่วมกันทำอาหาร ล้อมวงรับประทานอาหารแกล้มสุราแก้หนาว รวมไปถึงช่วงเวลา แห่งการพบปะญาติผู้ใหญ่ มิตรสหาย และเพื่อนบ้านอันเป็นส่วนประกอบสำคัญของสังคมกสิกรรม

ผมเชื่อว่าในห้วงหนึ่งของเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไม่ว่าจะของชนชาติใด ศาสนาใด หรือวัฒนธรรมใด ล้วนแล้วแต่มีคำสอนให้ทบทวนเรื่องราวในอดีต ในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นบทเรียนของการก้าวไปสู่อนาคต ในปีต่อไปด้วยกันทั้งสิ้น

ก่อนตรุษจีนปีนี้ ผมมีโอกาสชมคลิปวิดีโอชิ้นหนึ่งจาก “หว่างอี้” หรือ “NetEase (www.163.com)” หนึ่งในเว็บท่าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ซึ่งทีมข่าวของเน็ตอีสสรุปรวบรวมจากการไปสัมภาษณ์สามัญชนคนจีนธรรมดาๆ จากหลากหลายอาชีพ หลากหลายเมืองทั่วประเทศ คัดเลือกและสรุปรวบรวมมาจนเหลือเพียงหกคน พร้อมกับตั้งชื่อให้คลิปวิดีโอชิ้นนี้ว่า "ชีวิตที่ดีที่สุด" ขณะที่ภาษาอังกฤษกลับใช้ชื่อว่า “ผู้รอดชีวิต (The Survivors)”[1]

โจทย์ง่ายๆ ของคลิปวิดีโอดังกล่าวก็คือการสอบถามคนแต่ละคนว่า “เป้าหมายของชีวิตที่ถือว่าเป็น ความฝันอันสูงสุดของพวกเขาคืออะไร?”

อู๋ ปิ่งเฟิง แรงงานชาวจีนที่ย้ายจากบ้านเกิดในมณฑลหูหนานเข้ามาทำงานในเมืองตงก่วน มณฑลกวางตุ้ง หลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ดังนั้นความฝันของเขาคือ “การเป็นคนเมืองจริงๆ”

“สิ่งที่ทำให้ผมสับสนที่สุดก็คือ หลังจากเรียน 3 ปีจบอาชีวศึกษามาแล้ว กลับได้เงินเดือนแค่พันกว่าหยวน ขณะที่ตอนนี้รายได้ของพ่อที่บ้านเกิดก็สามพันกว่าหยวน เรียกได้ว่าเงินเดือนของคนเรียนจบอาชีวะยังสู้ชาวนาไม่ได้เลย” อู๋ยิ้มแห้งๆ พร้อมกับบอกว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้เป็นคนเมือง เพราะเงินผ่อนบ้านในตงก่วนขั้นต่ำนั้นอยู่ที่ 1,500 หยวนต่อเดือน ไม่นับรวม กับที่เขาต้องเก็บเงินไว้แต่งงานอีก

“ผมตอนนี้ก็ค่อนข้างเครียด คิดว่ายังไงเราก็คงไม่มีโอกาสกลายเป็นคนเมืองกับเขา เหมือนกับเราใช้ชีวิตอยู่บริเวณ ชายขอบของสังคม” สำหรับวิธีการระบายความเครียดของผมก็คือ การเข้าอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ เล่นเกม เดือนหนึ่งๆ ผมใช้เงิน ในเน็ตคาเฟ่ราว (ครุ่นคิด) 2 ร้อยถึง 3 ร้อยหยวน”

ในความหมายของชาวจีน การเป็น "คนเมือง" นั้นมิใช่การได้ทำงานในเมือง แต่คือการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยและได้ทะเบียนบ้านในเมืองนั้นๆ ซึ่งหมายถึงสวัสดิการต่างๆ ที่จะตามมาตั้งแต่ความสะดวกในการหางาน การรักษาพยาบาล โรงเรียนของลูก ฯลฯ ขณะที่สำหรับคนไทยแล้วเรื่องทะเบียนบ้านไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา แต่ในเมืองจีนเรื่องที่ดูง่ายๆ เช่นนี้ กลับกลายเป็น “ความใฝ่ฝันอันสูงสุด” ของพวกเขาเลยทีเดียว

คลิปวิดีโอ “ชีวิตที่ดีที่สุด” นอกจากจะถ่ายทอดความใฝ่ฝันของคนงานหนุ่มในเมืองตงก่วนแล้วยังมีเรื่องราวของหลี่ คุนซาน คนขับแท็กซี่ในเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียงที่ทุกเช้าก่อนออกรถจะภาวนาว่าอยากเก็บเงินจากการขับแท็กซี่เพื่อกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดในมณฑลเหอหนาน ทว่า กลับประสบ กับปัญหาราคาน้ำมันแพงจนทำให้หนทางชีวิตของคนขับแท็กซี่ อย่างเขาแคบลงทุกทีๆ

“เดิมทีราคาน้ำมันลิตรละ 4 หยวน ตอนนี้เพิ่มเป็นลิตรละ 7 หยวน ทำให้เดือนหนึ่งๆ ผมมีรายได้ลดลงประมาณ 1,500 หยวน... ครอบครัวผม 4 ชีวิต ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก พอถึงปลายปีจะเอาเงินที่ไหนกลับบ้านตัวผมเองก็ไม่ได้กลับบ้านฉลองตรุษจีนมาสามปีแล้ว”

นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวความฝันของปัญญาชนอย่างลิ่น ฉี จักษุแพทย์ในโรงพยาบาลเด็กปักกิ่ง แม่ของลูกสาววัย 1 ขวบ 2 เดือนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำเพราะต้องตรวจคนไข้อย่างน้อย 80 คนต่อวัน ต้องทำงาน 24 ชั่วโมงติดต่อกันสัปดาห์ละอย่างน้อย 2 วัน และไม่มีโอกาสได้ลาพักเลยตลอดปี ความฝันเล็กๆ ของเธอคือได้นอนเต็มที่สัปดาห์ละสองครั้ง ส่วนความฝันใหญ่ๆ ของเธอคือ การได้มาเที่ยวเกาะภูเก็ต ในประเทศไทย

“ลูกสาวของฉันตอนนี้ก็ 1 ขวบ 2 เดือน ก็เป็นช่วง เริ่มหัดพูดพอดี คำแรกที่เธอพูดได้ก็คือ ‘พ่อ’ คำที่สองก็คือ ‘แม่’ ส่วนคำที่สามกลายเป็นคำว่า ‘งาน’ (หัวเราะแห้งๆ)... จริงๆ (น้ำตาซึม) ที่รู้สึกเสียใจมากที่สุดก็คือแม่ของฉัน เธอ บอกว่าเสียใจที่ปล่อยให้ฉันทำอาชีพนี้ บ่อยครั้งบ่นว่าฉันต้อง ทำงานหนักเกินไปแล้ว” จักษุแพทย์ลิ่นกล่าวเสียงสะอื้น

ปัญญาชนอีกคนหนึ่งที่แสดงความใฝ่ฝันถึงการหลุด พ้นออกจากวัฏจักรของความลำบากในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมจีนยุคปัจจุบันก็คือ หลิน ซาน พนักงานบริษัทไอทีแห่งหนึ่งในกรุงปักกิ่ง

ก่อนจะตอบคำถามว่าความใฝ่ฝันอันสูงสุดของเธอคืออะไร เธอบอกว่าหลังจากทำงานในเมืองใหญ่มาหลายปี เธอค้นพบว่า เดิมทีที่คิดว่าเหตุผลของการทำงานหาเงินก็เพื่อที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการนั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะความเป็นจริงก็คือ ทุกวันนี้เธอกินข้าวและใช้ชีวิตก็เพื่อที่จะทำงาน

“ตอนที่ฉันทำงานเป็นครูโรงเรียนมัธยม โรงเรียนเปิดสารคดีเกี่ยวกับคุณครูตัวอย่างสองคนให้ดู เนื้อหาของสารคดีเล่าว่าครูสองคนนี้ทุ่มเทและเสียสละให้กับงานมากแค่ไหนจนกระทั่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เพราะทำงานหนักเกินไป สารคดีนี้พยายามบอกพวกเราว่าคุณครูทั้งสองคนนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคุณครูทุกคน... ซึ่งข้อสรุปเช่นนี้ไร้สาระมาก ฉันถามว่าทำไมงานชิ้นเดียวคุณต้องแลกมาด้วยชีวิตของคุณทั้งชีวิต คนอื่นจึงบอกว่าคุณทำหน้าที่ได้ดี ทำหน้าที่ ได้สมบูรณ์?” พนักงานไอทีและอดีตครูมัธยมในวัย 32 ปีตั้งคำถาม

ด้วยเงื่อนไขที่บีบรัดเช่นนี้ หลิน ซานจึงกล่าวกับเน็ตอีสว่า ความใฝ่ฝันของเธอคือการได้ใช้ชีวิตตามที่ตัวเอง ต้องการ ชีวิตที่เรียบง่ายไม่ต้องหรูหรา แต่ในประเทศจีนคนที่สามารถจะทำอย่างนี้ได้ต้องใช้ความพยายามและเสียสละอะไรมากมายมหาศาล นี่เองทำให้เธอเริ่มมีความคิดว่าจะอพยพไปอยู่ต่างประเทศ

ทัศนะของหลิน ซาน และคนอื่นๆ ในคลิปวิดีโอ “ชีวิตที่ดีที่สุด” หากมองให้ลึกลงไปแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบและกลไกในการประสบความสำเร็จของกลุ่มชนชั้นกลางในประเทศจีน กลุ่มประชากรที่กำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระบบเศรษฐกิจ ตลาดสังคมนิยม

เมื่อสามปีที่แล้วนิตยสารนิวส์วีกเคยตีพิมพ์รายงานเรื่อง To Save the Chinese Dream ที่กล่าวว่า ความฝัน ของคนจีนส่วนใหญ่ หรือ Chinese Dream ที่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้แตกต่างไปจากความฝันของคนอเมริกัน หรือ American Dream เท่าใดนัก นั่นคือความศรัทธาต่อการเรียนสูงและการทำงานหนักว่าจะทำให้ตนเองประสบ ความสำเร็จ มีครอบครัวที่มีความสุข และมีชีวิตที่สุขสบาย

“อเมริกามี American Dream คือการเรียนสูงๆ ขยันทำงาน แล้วคุณจะประสบความสำเร็จและร่ำรวย จีนก็มีความฝันในแบบของจีนที่ยึดมั่นมานานแล้ว นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นได้ทรงริเริ่มระบบการสอบจอหงวนเป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการคัดเลือกคนเข้ารับราชการตามสติปัญญาและความสามารถ มิใช่ด้วยชาติกำเนิด Chinese Dream ก็ไม่ต่าง จาก American Dream ซึ่งมีศรัทธามั่นคงต่อการทำงาน หนักเท่าใดนัก แต่ดูเหมือนว่าจีนอาจจะให้ความสำคัญกับคุณค่าของการศึกษามากเป็นพิเศษ การศึกษาเป็นเหมือนเครื่องรับประกันให้คนหนุ่มสาวชาวจีนสามารถถีบตัวเองขึ้นมาจากความยากจน และมีชีวิตที่ดีกว่าทั้งสำหรับตัวพวกเขาเองและพ่อแม่”[2]

สามปีก่อนนิวส์วีกพยายามชี้ให้เห็นถึงปัญหาหนึ่ง ที่กำลังจะปะทุในสังคมจีนก็คือ ปัญหาการตกงานของบัณฑิตจบใหม่ในประเทศจีน ซึ่งมีกว่าปีละ 1.5 ล้านคน โดยกล่าวเตือนว่าปัญหาดังกล่าวหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงทีก็อาจจะลุกลามไปกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม และสุดท้ายอาจก่อให้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายแบบจัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532 (ค.ศ.1989)

หลังจากล่วงเลยไปสามปี นอกจากปัญหาดังกล่าว จะไม่ได้รับการแก้ไข สถานการณ์การสูญเสียศรัทธาต่อระบบและค่านิยมดังกล่าวดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการประจำปี 2555 ของจีน เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2554 มีผู้เข้าสอบมากถึง 1.33 ล้านคน ขณะที่มีตำแหน่งที่เปิดรับเพียง ราว 18,000 ตำแหน่ง หรือเปรียบเทียบอย่างง่ายๆ ก็คือ ในจำนวนผู้เข้าสอบทุก 74 คน จะมีคนที่มีโอกาสได้เข้ารับราชการเพียง 1 คน[3] ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่นับรวมกับการที่ 18,000 ตำแหน่งราชการดังกล่าวต้องถูกเบียดบังไปจากระบบเส้นสาย หรือกวนซี่ ที่นับวันจะขยายตัวตามความใหญ่โตของระบบราชการจีนที่ครอบงำระบบเศรษฐกิจอยู่

นิตยสารนโยบายต่างประเทศ (Foreign Policy) เดือนธันวาคม 2554 พยายามชี้ให้เห็นว่า นอกจากปัญหา ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว ปัญหาใหญ่อีกปัญหาที่ชนชั้นกลางในประเทศจีนกำลังประสบอยู่ก็คือ “ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางโอกาส”

เจ้า จิ้ง เจ้าของนามปากกา “ไมเคิล อันติ” บล็อกเกอร์ชื่อดังและสื่อมวลชนจีนที่สื่อตะวันตกชอบอ้างอิงถึงบ่อยๆ กล่าวกับนิตยสารนโยบายต่างประเทศว่า เวลานี้ในประเทศจีนมีคนกลุ่มหนึ่งที่ร่ำรวยขึ้นเพราะชาติกำเนิดของพวกเขา ไม่ใช่เพราะว่าสิ่งที่พวกเขาลงมือทำอะไรแล้วประสบความสำเร็จ คนกลุ่มนี้เดินตามกฎที่ผิดแผกแตกต่างจากคนอื่นๆ ในสังคม

“ทุกวันนี้คนรวยในจีนประพฤติตัวเหมือนสมัยศักดินา ตอนนี้ทุกคนในจีนรับรู้ว่าการจะได้ตำแหน่งๆ หนึ่งนั้นมิใช่เพราะการเรียนหรือการทำงานหนักอีกต่อไปแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าพ่อคุณเป็นใคร... แต่ก่อน มหาวิทยาลัยยังเป็นช่องทางในการช่วยยกระดับตัวคุณให้ขึ้นไปสู่ชนชั้นปกครองได้ แต่ทุกวันนี้ ชนชั้นปกครองกลับยกระดับคนในครอบครัวตัวเองขึ้นแทน” เจ้า จิ้งกล่าว[4]

จริงๆ แล้ว ตัวอย่างอันเป็นรูปธรรมของสมการอำนาจ อันนำไปสู่ความร่ำรวย หรือความร่ำรวยที่นำมาสู่การแสวงหาอำนาจในประเทศจีนนั้นก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนไกล เพราะแม้แต่ครอบครัวของเหล่าผู้นำจีนเอง ก็เข้าข่ายของสมการอำนาจและความร่ำรวยดังกล่าวเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่ หู จิ่นเทา ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน บุตรชายของเขา หู ไห่เฟิง วัย 40 ปี ในอดีตก็เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัทที่เกี่ยวข้องเป็นคู่สัญญากับภาครัฐ และบริษัทที่เขาเป็นประธานก็มีข่าวเกี่ยวพันกับปัญหาการติดสินบนในหลายประเทศ

ในห้วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ระบบเศรษฐกิจตลาดสังคม นิยม อาจดำเนินมาได้ค่อนข้างราบรื่นกับระบบการปกครองแบบ พรรคเดียวภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ทว่า เมื่อชนชั้นกลางของจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นและเพิ่มสัดส่วนกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจีนในอนาคตข้างหน้า พรรคคอมมิวนิสต์จีนคงต้อง เตรียมแผนการเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่อะไรสักอย่างเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาไว้ซึ่ง “ความฝัน” ของชนชั้นกลางของชาวจีน และความอยู่รอดของตัวเอง

[1] ชมคลิปวิดีโอ "ชีวิตที่ดีที่สุด (The Survivors)" โดย NetEase ได้ทาง http://news.163.com/special 2011 ending/(ภาษาจีน) หรือ http://youtube/GULxJly8mpM (มีบรรยายภาษาอังกฤษ)
[2] To Save the Chinese Dream, Newsweek, 6 Feb 2009.
[3] ชาวจีน 1.33 ล้าน สอบเข้ารับราชการ แย่ง 18.000 เก้าอี้, ASTV ผู้จัดการออนไลน์, 2 ธันวาคม 2554.
[4] Christina Larson, The End of the Chinese Dream, Foreign Policy, 21 Dec 2011.   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us