ตลาดคอมพิวเตอร์เมืองไทยปัจจุบันนี้ต้องยกให้กับค่าย “เอเซอร์” ที่ยึดบัลลังก์เบอร์หนึ่งของตลาดได้ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่กับพื้นที่อันดับรองๆ ลงไป คือพื้นที่สมรภูมิที่เบียดแข่งกันแบบหายใจรดต้นคออย่างมาก ไล่ตั้งแต่อันดับ 2-5 พร้อมที่จะเปลี่ยนมือตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม วันนี้ “เอซุส” อีกหนึ่งค่ายใหญ่จากไต้หวัน ประกาศว่าสามารถยึดอันดับสองในตลาดคอนซูเมอร์จากเอชพีได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป้าหมายต่อไปคือการเบียดแย่งอันดับสองในตลาดคอมเมอร์เชียลจากเอชพีให้ได้ นั่นหมายความว่าจะส่งให้เอซุสยึดเบอร์สองตลาดคอมพิวเตอร์เมืองไทยแบบเบ็ดเสร็จ
แรงกระเพื่อมของการแข่งขันระหว่างเอซุสและเอชพี ส่งผลให้ปีนี้สมรภูมิคอมเมอร์เชียลดูจะมีสีสันและคึกคักตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากมีเม็ดเงินจากภาครัฐ องค์กร และเอสเอ็มบีเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าตลาดให้ขยับขึ้นไปอีก ส่งผลให้ทุกแบรนด์ต่างมีความเคลื่อนไหวที่ส่งผลต่อตลาดและการแข่งขันมากขึ้น
ทำตลาดแบบโทเทิลโซลูชั่น
ค่าย “เอชพี” แม้จะเพลี่ยงพล้ำสูญความเป็นเบอร์ 2 ในตลาดโน้ตบุ๊กคอนซูเมอร์ให้คู่แข่งไปหมาดๆ ทว่าในตลาดคอมเมอร์เชียล ยังคงครองความแข็งแกร่ง จึงต้องป้องบัลลังก์นี้ไว้ให้มั่น โดยล่าสุด ออกโรงควงแขนพันธมิตร “อินเทล” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 รุ่น ควบคู่กับการเดินหน้าเพิ่มแวลู และทำตลาดแบบโทเทิลโซลูชั่น
ปีนี้ถือได้ว่าเป็นปีแห่งโอกาสของตลาดคอมเมอร์เชียล เพราะนอกจากเม็ดเงินจากหน่วยงานภาครัฐเดิมแล้ว มหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นยังช่วยผลักดันตลาดนี้ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มบี) เนื่องจากมีความต้องการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ใหม่เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ
จากข้อมูลของไอดีซี ประเมินภาพรวมการลงทุนไอทีขององค์กรธุรกิจยังมีอยู่ต่อเนื่อง โดยเม็ดเงินกว่า 50% มาจากกลุ่มเอสเอ็มบี ตามด้วยองค์กรขนาดใหญ่ ภาครัฐ และภาคการศึกษา
นั่นทำให้เอชพีมองเห็นโอกาส และได้ผนึกอินเทล เดินสายแนะนำผลิตภัณฑ์ 3 รุ่นใหม่ภายใต้แนวคิด “Smart Business Solution” ได้แก่ HP Pro 3330, HP Pro 3335 และ HP Pro 3340 Business PCs เพื่อเจาะลูกค้าทั้ง 4 กลุ่ม
คอมพิวเตอร์ HP Pro 3330 ถูกสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงความสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงาน นวัตกรรมวัสดุผลิตภัณฑ์ และความสามารถในการนำกลับมารีไซเคิล โดยคอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรดีไซน์ใหม่เหล่านี้ ใช้พื้นที่ในการจัดวางอย่างมีประสิทธิภาพ ให้มีพื้นที่ใช้สอยภายในออฟฟิศได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อ และรองรับการต่อขยายในอนาคต
ขณะที่ HP Pro 3340 Business PCs สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ไอทีสำคัญๆ ในสำนักงานได้อย่างลงตัว ช่วยลดภาระการบริหารจัดการด้านไอทีที่ยุ่งยาก สามารถปรับตั้งค่าให้รองรับทุกความต้องการในการใช้งาน ตั้งแต่ออปชั่นหน่วยความจำในตัวเครื่อง ไปจนถึงเทคโนโลยีหน่วยประมวลผล และกราฟิกการ์ด เพิ่มหน่วยความจำในตัวเครื่องได้สูงสุดถึง 16 GB
มอนตี้ หว่อง ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า การทำตลาดคอมเมอร์เชียลของเอชพีปีนี้ ยังมุ่งโฟกัสซอฟต์แวร์ หรืออินฟอร์เมชั่นมากขึ้น เพื่อเสริมจากจุดแข็งเดิมของเอชพีที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องเทคโนโลยี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และที่สำคัญตอบโจทย์การให้บริการแบบครบวงจร (Total Solution) ยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น โซลูชั่น HP Client Automation ที่ช่วยจัดการคอมพิวเตอร์ให้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมช่วยลดค่าใช้จ่ายในเวลาเดียวกัน, โซลูชั่น HP Virtual Room รองรับการประชุม และการพรีเซนต์งานผ่านระบบทางไกลในแบบเรียลไทม์ รวมถึงโซลูชั่นจอแสดงผลแบบครบไลน์
เอซุสเดินเกมต่อทันที
ขณะที่ผู้ท้าชิงอย่างค่ายเอซุสก็มาแรงแบบฉุดไม่อยู่เช่นกัน หลังประสบความสำเร็จในการโค่นเบอร์ 2 ในตลาดโน้ตบุ๊กคอนซูเมอร์ ก็เปิดเกมรุกตลาดคอมเมอร์เชียลต่อทันที พรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า ปัจจุบันตลาดคอมเมอร์เชียลมีสัดส่วน 18% ของตลาดรวมคอมพิวเตอร์ 4 ล้านเครื่อง ซึ่งหลังจากเริ่มบุกตลาดเป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา อัสซุสมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% ซึ่งถือว่าน้อยมาก ปีนี้จึงต้องการปั๊มส่วนแบ่งเพิ่มเป็น 10%
แนวทางบุกตลาดคอมเมอร์เชียลของเอซุส จะเน้นเข้าหาดีลเลอร์ที่มีความชำนาญเพื่อทำตลาดร่วมกัน ควบคู่กับการเดินหน้าเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่มคอมพิวเตอร์พีซี ล่าสุดส่ง All in One PC ขนาด 27 นิ้ว มาพร้อมหน้าจอทัชสกรีนเจาะตลาด
ไอดีซีคาดองค์กรใหญ่ยังลงทุน
คลื่นความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ที่มาผนวกรวมเข้ากับมหาอุทกภัย ส่งผลกระทบใหญ่ต่ออำนาจการซื้อและการลงทุนในประเทศไทย นั่นทำให้ผู้ขายสินค้าและบริการด้านไอที ต้องเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น ในการรักษาระดับการเติบโตของรายได้ภายใต้สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความท้าทายในอุตสาหกรรมไอซีทีปี 2555
อย่างไรก็ตาม ไอดีซียังคงเชื่อว่าระดับการลงทุนขององค์กรใหญ่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจะทำให้ตลาดในช่วงครึ่งปีหลังพลิกกลับมาสดใสอีกครั้ง
อรรถพล สาธิตคณิตกุล Research Manager for Cross products & Consulting, IDC Asia/Pacific บอกว่า ไอดีซีคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายและการลงทุนด้านไอทีจะได้รับแรงหนุนจากการผสมผสานกันของเทคโนโลยีและรูปแบบการประกอบธุรกิจใหม่ๆ ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากที่จะรักษาระดับการขยายตัวของตลาดไอซีที แต่ก็มีเทคโนโลยีเกิดใหม่ที่จะกลายเป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นตลาดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ smart-devices consumerization และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ cloud-computing ซึ่งตัวเลขการคาดการณ์ล่าสุดของไอดีซีแสดงให้เห็นว่าตลาดไอซีทีของไทยน่าจะสามารถเติบโตได้ถึง 10.4% โดยมีมูลค่าตลาด 1.68 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2555
ไอดีซีใช้ข้อมูลที่ได้จากงานศึกษาวิจัยล่าสุด ประกอบกับข้อมูลที่ได้จากการระดมสมองของนักวิเคราะห์ทั้งที่ประจำประเทศไทยและประจำภูมิภาค มาจัดทำเป็นงานวิจัยเรื่องการคาดการณ์ถึงแนวโน้มสำคัญที่จะส่งผลกระทบมากที่สุดต่อทิศทางของอุตสาหกรรมไอซีทีในประเทศไทย
ทั้งนี้ หนึ่งในแนวโน้มสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อไอซีทีไทย คือการใช้จ่ายยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในอุตสาหกรรมไอซีทีของไทย แม้ว่าสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยจะยังไม่สดใสนัก แต่ไอดีซีเชื่อว่าในปี 2555 การใช้จ่ายจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทุกภาคส่วนของไอซีที ไม่ว่าจะเป็นตลาดฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ การบริการด้านไอทีหรือการบริการด้านโทรคมนาคม โดยจะเป็นอีกปีที่การเติบโตหลักมาจากฝั่งฮาร์ดแวร์
ในมุมมองของไอดีซี ยังมีการระบุว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา หากกล่าวถึงพีซี เป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมอันดับแรกคือโน้ตบุ๊กและเดสก์ทอป แต่ในปัจจุบันกระแสของสมาร์ตดีไวซ์ อย่างสมาร์ตโฟนและมีเดียแท็บเลต กำลังทะยานก้าวข้ามกระแสเดิมของโน้ตบุ๊กและเดสก์ทอป ซึ่งถือได้ว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของพีซี
ไอดีซีเชื่อว่าทั้งผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ ยังคงมีความต้องการใช้โน้ตบุ๊กและเดสก์ทอป อยู่ แต่ในปี 2555 จะเป็นครั้งแรกที่ยอดจัดส่งของสมาร์ตดีไวซ์ (ทั้งหมด 6.7 ล้านเครื่อง) มีจำนวนสูงกว่ายอดจัดส่งของโน้ตบุ๊กและเดสก์ทอป (ทั้งหมด 4.1 ล้านเครื่อง)