Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2544








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2544
OPERATIONAL RISKS: Measuring and Managing in Financial Institutions             
 





ไม่รวมบัญชีสารบัญอ้างอิงและดรรชนีหัวเรื่องและประเด็นย่อยท้ายเล่ม ผมไม่ได้จับหนังสือวิเคราะห์ธุรกรรมตลาดเงินและตลาดทุนมาเลย มัวไปสนใจพวกนักยุทธศาสตร์ด้านการบริหารองค์กรทางด้านเศรษฐกิจ หรือพวกองค์กรการเงินและภาคการคลังมานาน

หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 4 ส่วนเท่านั้นเอง เราต้องทราบก่อนว่า ดร.มาร์แชล วางโครงไว้อย่างไร

ส่วนแรก คือ การปูพื้นเรียกว่า Intro-duction แล้วบอกให้รู้ว่าอะไรคือ แนวคิดพื้นฐานหรือ Basic concept หลังจากนั้นก็นำเสนอ รูปแบบต่างๆ ของ "ความเสี่ยง" ซึ่งไม่ใช่ทฤษฎี แต่ผมมองว่าเป็นการ "นำเสนอ" วิธีวิเคราะห์มากกว่า ซึ่งตามด้วยบทอื่นๆ

ส่วนที่สอง คราวนี้ลงรากถึงบทใหญ่คือ วิธีวิทยาเน้นลงไปใน Methodology ของ ORM มีลักษณะคลุมโดยใช้ข้อมูลและมีการประเมิน ส่วนที่สาม ภาคการปฏิบัติเชิงทฤษฎี และวิธีวิทยา เป็นส่วนสำคัญมากในสายตาของผมเพราะจริงๆ แล้วนี่คือ Optional Anal-ysis และ Loss ต่างๆ ว่า จะคุ้มครองมันอย่าง ไร จึง "เสียหายน้อยที่สุด" การพยากรณ์การขาดทุนสูญเสีย การป้องกัน การควบคุมและการลดความเสียหาย รวมทั้งแผนการ

ส่วนสุดท้าย ภาคปฏิบัติมี cases ต่างๆ อ่านเพื่อคิดครับ

ผมจะกล่าวถึงบทท้ายสุดเลยดีกว่า แต่ก่อนอื่นขอให้ทำความรู้จักกับผู้เขียนกันก่อน

คริส มาร์แชล เป็นหัวหน้ากลุ่ม Asia Pacific Head of Financial Engineering and Corpoate Risk Advisory for UBS Warburg จบจากไหนก็จบแบบ บก.ผู้จัดการ รายเดือนเลยครับ ดร.มาร์แชลจบเคมบริดจ์ทางด้าน ทฤษฎีฟิสิกส์ครับ แล้วไปจบดอกเตอร์จาก ฮาร์วาร์ดบิสซิเนสสกูล จบ University of Chicago ได้ MBA ครับ

อยู่ประเทศสิงคโปร์!!!

ขอนำกลับมาบทที่ 16 ว่าด้วย Risk-Based Capital ผมเรียนท่านผู้อ่านว่า คนพวกนี้เรียนฟิสิกส์มา แต่มาทำยุทธศาสตร์ด้านการเงินและตลาดทุน! ของแบบนี้ธรรมดาครับ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช เคยเขียนเรื่องฟิสิกส์ แต่ใช้กับ "การเมือง"

ผมเองคลานตามกันมากำลังเขียนเรื่องชีววิทยา แต่ผมจะใช้กับ "การสื่อสาร มวลชน"

ครับ ผมกล่าวถึง "ระบบวิเคราะห์" ทั้งหมดมีรากที่มาจาก System Analysis เอา ไปจับศาสตร์ใดๆ ก็ได้ เพราะ Model เดียว กัน ผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ ผมอยากให้ได้อ่าน ทฤษฎีฟิสิกส์กับการเมือง เพื่อเข้าใจต่อวิธีคิดที่ผมอยากเรียกว่ามีลักษณะสากลใช้วิเคราะห์อนุพันธ์ หรือ derivative เยอะแยะ ไม่ว่าใช้วิเคราะห์การเมือง, เศรษฐกิจหรือสังคม

บทที่ 16 เริ่มจากวิธีประเมินความสูญเสีย โดยดูเงื่อนไขครับ ดังนั้นการบริหาร ต้องทั้งวางเงื่อนปมที่เป็นรูปแบบทางการ ไว้ก่อน แต่ขอให้ตั้งโจทย์ว่าอย่างไร มันต้อง สูญเสียอย่างแน่นอน ประเด็นจึงอยู่ที่โจทย์ อีกฝั่งคือ รายรับหรือรายได้จะออกมามาก น้อยเท่าไร?

นอกจากนี้ต้องนิยามก่อนว่าReserve Accounts บัญชีต้นทุนสำรองนั้นคืออะไรแน่? การบริหารจัดงานต้องเริ่มที่ ฝ่ายบัญชีแล้วดูตัวเลขกันให้ชัด หลังจากนั้นจึงไล่ตามหมวดหมู่ของรายรับ หรือ รายได้

และใช้ระบบบัญชีไล่ตาม "ความเสียหาย" ด้วยการดูว่าจุดใดมีปัญหา หลัง จากนั้นก็เอาพวกขาดทุนทั้งหลายไปรวมหมู่ไว้ในระบบตั้งรวมอย่างเป็นทางการ ซึ่งระบบแบบตั้งรวมนี้ธรรมดามักมาจากการประเมินว่าจะสูญเสียในอัตราคิดเป็นร้อยละเท่าไร จากยอดรายได้ตามประเมิน วิธีไล่ยอดและดูจุดต่างๆ ที่เกิด ความเสียหายนี้อาจเรียกว่า Analysis Loss ในกระบวนงานที่เป็นจริง สะสมข้อมูลจนเป็น information

ต้นแบบ Determining Provision Levels เขาอธิบายว่าระดับของ provisions and reserves ควรยืนอยู่บน "ความคาดหมาย" ว่ามีเส้นขอบหรือระดับอยู่ที่ใด โดย ความคาดหมายเหล่านี้คือ หาปัจจัยและเหตุแห่งความเสียหายให้ได้

เราจะได้สิ่งที่เรียกว่า relative losses

ตัวอย่างนี้ดูในหน้า 494

หลังจากส่วนนี้เสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็อยู่ ในหัวข้อ ECONOMIC CAPITAL ALLOCATIONซึ่งประเด็นแรกคือถามก่อนว่า Need for Risk Capital จะมีที่มาอย่างไร ต้องวิเคราะห์ให้ออก

ในบริการทางการเงินนั้น ระดับทุนน้อย ที่สุดถูกควบคุม และจะพิจารณาถึงขอบเขตนี้ ว่ามีความหมายอย่างไร ผู้เขียนได้แยกไว้ในหมวดเฉพาะ

เขาชี้ว่าคนไปโฟกัสเรื่องเครดิตกับตลาด ในด้านความเสี่ยงความต้องการเรื่องหาทุน เพื่อ รองรับความเสี่ยง ต้องพิจารณาว่าทุนต่อความ เสี่ยง ต่างจากการคุ้มครองผ่านความเสี่ยงซึ่งมีเครดิตกับการตลาดต่อความเสี่ยง

ดังนั้นการบริหารความเสี่ยง ตามปกติจะคำนวณระดับอัตราความเสี่ยง กับทุนที่จะใช้ในการประกันความเสี่ยง โดยปรับระดับอย่าง เป็นรูปธรรม วิธีการบริหารก็คือทุนเป็นทรัพยากรที่ยากและขาดแคลน จึงต้องใช้เพื่อรายได้อันเกิดจากภาคธุรกรรมทางเศรษฐกิจและการลงทุน

CaR หรือ Capital at Risk จึงเป็นหลักปฏิบัติ กรณีต้องชำระบัญชีเพื่อปิดบัญชี และคำนวณหากต้องปิดการขายหรือเกิดวิกฤติโดย ไม่ได้คาดหมาย

ตาราง 16.1 ในหน้า 496 จะเห็นภาพชัดเจนและง่ายในการเรียนรู้ เรียกได้ว่ามีข้อสรุปว่า ศาสตร์การบริหารจัดการ คือ การแจกจ่ายทุน (ซึ่งเป็นทรัพยากรจำกัด) ลงในส่วนต่างๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบทั้งหมด

ที่สำคัญก็คือการนำเครดิตเรตติ้งมาอธิบาย ว่าในการออกแบบประเมินระดับความ น่าเชื่อถือ มีฐานคำนวณจากบริษัทประเมิน ยกตัวอย่าง Moody

มีตารางสำคัญๆ ที่แยกธุรกรรม ว่าแต่ละภาคธุรกรรมกำหนดระดับอย่างไร

และการประเมินผลและวัดผลการปฏิบัติการที่ใช้ฐานความเสี่ยงของหนังสือมีประเด็นทั่วๆ ไป ทุบโต๊ะก่อนว่า ในตลาดทุน การบริหารมีเป้าหมายว่าหากสินค้าอยู่ในตลาด ทุน หลักการคือ ต้องวัดผลโดยดูว่าตลาดหลักทรัพย์มีนักลงทุนเข้าซื้อหุ้น

ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ผล ตอบแทนต่อทุน (ROC) ส่วนใหญ่ไม่ให้ความสำคัญ ความเสี่ยงในการลงทุน และไม่สนใจความเสี่ยงต่อการลงทุนซึ่งคำนวณ ยาก ทว่าการใช้ NPV หรือ Net Present Value ดูง่ายดี มูลค่าสุทธิ ณ ปัจจุบันอาจคำนวณได้ แต่ยุทธศาสตร์การบริหารความ เสี่ยงต้องเป็นไปอย่างรอบคอบ คำนวณ ผลได้

ดังนั้น ผลตอบแทนบนความเสี่ยงตามการปรับระดับทุน ที่เรียกว่า RORAC ซึ่งถ้าพิจารณาอาจหลงทางไปใช้ในธุรกรรม ที่มีความเสี่ยงน้อย ประเด็นคือการคำนวณ และบริหารความเสี่ยงต้องดู Value at Risk (VaR) โดยใช้ฐานจากศูนย์ เช่น พวกธุร-กรรมการปิดบัญชีการคลังรายวัน ตัว RO-ROC จึงเป็นมาตรการให้ธุรกรรมมีลักษณะ ตรึงตัวมากกว่าขยายตัว เช่น ใช้ความเป็นไปได้ในการเพิ่มระดับ ROROC โดยตัดทอน โครงการมีกำไรต่ำดึงออกไปจากการพยา-กรณ์ หรือทำ Risk Level Analysis

สูตรความรู้ต่างๆ มีชัดเจนในบทว่าด้วยการใช้อัตราหรือระดับความเสี่ยงต่อ ทุน เหมาะเหลือเกินสำหรับสถาบันวิจัย และการศึกษาในการจัดวางยุทธศาสตร์การ ลงทุนขนาดใหญ่ต้องรอบคอบครับ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us