มูลค่าของการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาลในปี 28 นั้นมีมูลค่าประมาณ
30% ของมูลค่าการก่อสร้างทั้งหมด ส่วนงานก่อสร้างเล็ก ๆ ซึ่งส่วนมากจะกระจายอยู่ตามชนบทจะมีมูลค่าทั้งหมด
70% ในการวิเคราะห์ภาวะอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยรวมแล้วมักจะใช้มูลค่าผลผลิตประชาชาติเป็นตัววัด
สำหรับการก่อสร้างขนาดใหญ่จะให้งบประมาณและมูลค่าการก่อสร้างของรัฐบาลและเอกชนเป็นตัววัด
สำหรับงานก่อสร้างระดับชาวบ้านจะใช้ จี.บี.พี. ภาคเกษตร
ในการศึกษาวิเคราะห์ของบริษัทเครือซิเมนต์ไทย ธนาคารต่าง ๆ และสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง
สามารถสรุปภาพรวมของปี 28 ว่าภาวะการก่อสร้างเมื่อเทียบกับปี 27 แล้วจะลดลงประมาณ
2% เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่จะมีมูลค่าลดลง 1% ส่วนในภาครัฐบาลจะลดลงประมาณ
3% ส่วนงานก่อสร้างระดับชาวบ้านจะชะลอตัวเนื่องจากกำลังซื้อภาคเกษตรลดลง
ถ้าพิจารณาในด้านงบประมาณนั้นในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐบาลซึ่งมีขนาด
10 ล้านขึ้นไป ดูจากงบประมาณการก่อสร้างของปี 28 แล้วลดลงจากปี 27 ประมาณ
4% และถ้านำอัตราเงินเฟ้อปี 28 ประมาณ 3% มารวมแล้วมูลค่าการก่อสร้างที่แท้จริงของภาครัฐบาลในปี
28 จะต่ำกว่าปี 27 ประมาณ 6% สำหรับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาคเอกชนในปี
28 จะมีมูลค่าเพิ่มประมาณ 1% โดยมูลค่าก่อสร้างในเขตภูมิภาคในปี 28 จะขยายตัวสูงขึ้นถึง
100% โดยส่วนมากมาจากการขยายตัวของโรงงานปูนซีเมนต์ 2 โรง สำหรับภาคนครหลวงมูลค่าการก่อสร้างลดลง
13% จากการก่อสร้างศูนย์การค้า คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร
ความต้องการวัสดุก่อสร้างสำหรับโครงการต่าง ๆ ที่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ปอตแลนด์และเหล็กเส้นกลม
สรุปได้ว่าปี 28 ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ปอตแลนด์ลดลงประมาณ 3% และเหล็กเส้นลดลงประมาณ
2%
สำหรับโครงการก่อสร้างระดับชาวบ้านขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจทั่วไปและภาวะพืชผลทางการเกษตร
ในปี 28 มูลค่าผลิตผลทางการเกษตรลดลง 3.3% สาเหตุเพราะการลดลงของราคาพืชผลสำคัญทุกชนิด
แต่ปริมาณผลผลิตรวมสูงขึ้น จึงทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายนัก รายได้อื่น ๆ ทางเกษตรหลังการเก็บเกี่ยว
เช่น การทอผ้า การทำร่ม ฯลฯ สามารถทำรายได้ให้เกษตรกรอยู่ในระดับทรงตัวได้
ส่วนรายได้จากแรงงานตะวันออกกลางนั้น ตามรายงานของธนาคารชาติมีประมาณปีละ 16,000ล้านบาท
แต่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้รายได้ของแรงงานตะวันออกกลางลดลง 23% เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่ารายได้เขตภูมิภาคของปี
28 นี้ชะลอตัวลง ซึ่งจะมีผลกระทบว่าจะมีการก่อสร้างลดลงด้วย
แนวโน้มของอุตสาหกรรมในปี 29 คงจะหดหู่ การก่อสร้างจะต้องมีการชะลอตัวต่อเนื่องมาจากปี
28 เพราะจากการประเมินของหลายสถาบันคาดคะเนได้ว่าโครงการก่อสร้างใหญ่ๆ
ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาลจะลดลงประมาณ 9% ในปี 29 โดยการก่อสร้างของภาครัฐบาลจะสูงขึ้น
2.5 % และโครงการขนาดใหญ่ของภาคเอกชนจะลดลง 24% และถ้าหากตัดโครงการก่อสร้างอีสเทิร์นซีบอร์ดออก
จะทำให้มูลค่าก่อสร้างภาครัฐบาลลดลง 12% และมูลค่ารวมขนาดใหญ่ของภาคเอกชนและภาครัฐบาลจะลดลง
17% สำหรับโครงการระดับชาวบ้านถึงแม้ว่ามูลค่าผลผลิตโดยรวมจะขยายตัว 2% เพราะปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้น
แต่ในปี 29 คาดว่าการเพิ่มของประชากรในภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 2%
เพราะฉะนั้นรายได้เฉลี่ยต่อคนคงจะไม่สูงขึ้น ส่วนรายได้อื่น ๆ เช่น เงินจากแรงงานต่างประเทศมีแนวโน้มว่าจะลดลง
เพราะฉะนั้นสามารถคาดได้ว่ากำลังซื้อของประชากรในภาคเกษตรสำหรับปีหน้าจะลดน้อยลง
ซึ่งจะมีผลกระทบทำให้การก่อสร้างในปีหน้าลดลงด้วย
สำหรับโครงการที่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ปอตแลนด์ เหล็กเส้น และเหล็กข้ออ้อย จะลดลงในอัตรา
7% สำหรับปูนซีเมนต์ปอตแลนด์ ส่วนเหล็กเส้นลดลง 13% ซึ่งเป็นอัตราการลดลงที่ค่อนข้างสูงส่วนวัสดุก่อสร้างสำหรับชาวบ้าน
ปูนซีเมนต์ผสมคาดว่าจะลดลง 2% กระเบื้องลอนลดลง 5% เนื่องจากปีนี้มีอัตราการลดลงสูงมากพอสมควรแล้ว
เนื่องจากในปี 27 มีการก่อสร้างมากกว่าปกติ เพราะมีเงินแชร์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมาก
ทำให้การค้าขายคล่องตัว มีการลงทุนมากขึ้น เมื่อถึงสิ้นปี 28 จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อัตราการก่อสร้างจะต้องลดลง
แต่ในปี 29 สภาพน่าเป็นห่วงที่อัตราการลดนั้นยังลดตามอยู่ ซึ่งแสดงว่าการซื้อทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาลมีน้อยลงกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต
และถ้าดูภาวการณ์ของโลกในปี 29 แล้ว เราจะต้องระมัดระวังในการประกอบธุรกิจเพิ่มมากขึ้น
สำหรับข้อเสนอแนะในการทำธุรกิจในปี 29 ซึ่งยังคงเป็นปีที่อุตสาหกรรมก่อสร้างยังซบเซาอยู่ ธุรกิจเกี่ยวกับก่อสร้าง
เช่น ผู้รับเหมาการจ้างงานต่าง ๆ อุปกรณ์การก่อสร้างต่าง ๆ ก็คงจะซบเซาไปด้วย
การที่จะพาธุรกิจให้รอดผ่านปี 29 นั้นคงจะไม่ง่ายนัก สำหรับธุรกิจที่มีรากฐานมั่นคงนั้นจะต้องคำนึงว่าในภาวะเช่นนี้การจะเพิ่มส่วนครองตลาด
การเพิ่มปริมาณขายในขณะที่ตลาดซบเซานั้นคงจะทำให้เกิดการตอบโต้และแข่งขันกันอย่างรุนแรง
อาจจะเป็นอันตรายต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมในระยะยาว เพราะฉะนั้นการปรับตัวที่เหมาะสมในภาวการณ์เช่นนี้จะต้องพยายามขยายตัวโดยการหาตลาดใหม่ๆ
หรือส่งออกไปยังต่างประเทศ
ในภาวการณ์เช่นนี้ควรจะเน้นเรื่องการเพิ่มผลผลิตและการลดต้นทุน รวมทั้งการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็น
ค่าใช้จ่ายบางอย่างที่อาจจะมองไม่เห็นหรือมองข้ามคือเรื่องของสินค้าคงคลังและวัตถุดิบคงคลัง
ซึ่งในเรื่องอุตสาหกรรมจะต้องเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกว่าควรจะลดได้มากเพียงใด?
เพราะถ้าไม่ระวังในเรื่องนี้แล้วธุรกิจก็อาจจะกลายเป็นลูกหนี้ธนาคารได้