ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ตัวเลขล่าสุดจากเอฟเอโอปรากฏว่าถ้ามีตลาดจริงๆ
แล้วจะสามารถผลิตอาหารไปเลี้ยงคนได้ถึง 350 ล้านคน ขณะนี้แนวโน้มในการขยายตัวของพลเมืองลดลงตามลำดับเหลือ
1.6-1.7% สิ้นสุดแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 กรมอนามัยหรือกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่าจะเหลือเพียง
1% เท่านั้น ซึ่งถ้าจริงในระยะยาวเมืองไทยจะมีพลเมืองไม่เกิน 100 ล้านคนก็จริง
แต่ก็คงไม่เลวร้ายมากเหมือนหลายประเทศ สรุปแล้วคือ ลำบากแน่ เพราะไต้ฝุ่นมาแต่รากฐานเศรษฐกิจดีพอ
มันคงไม่เลวร้ายถึงบ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนหลายประเทศ
สมัยก่อนเราแบ่งประเทศเป็นร่ำรวยและประเทศยากจน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลผลิตของแต่ละประเทศ
บางประเทศผลิตได้น้อย ประเทศที่ผลิตได้ Productivity ไม่สูงมากก็สามารถเลี้ยงประชากรภายในประเทศ
ที่ยังมีรวยมีจนเพราะกำลังผลิตของโลกไม่พอ ถ้านับกำลังผลิตของโลกขณะนี้มีจำนวนมากกว่าพลเมืองของโลกแล้ว
แต่โลกกลับมีปัญหามากขึ้นอีก เทคโนโลยีสูงเท่าไรคนทำงานหนักมากเท่าไหร่ปัญหาเศรษฐกิจยิ่งตามมามากเท่านั้น
แสดงว่าต้องผิดที่ไหนสักอย่าง ในเรื่องของการบริหารไม่ใช่การบริหารของประเทศไทยหรืออีอีซีหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง
แต่มันเป็น World Management ที่จะต้องดูแลกันเพราะในแง่กำลังการผลิตของโลกแล้วสูงกว่าประชาชน
แต่แนวโน้มการเจริญเติบโตของประชาชนกลับลดลง มนุษย์มันน่าจะสบายแต่มนุษย์ก็รนหาที่แข่งกันจึงเกิดปัญหา
สาเหตุที่ทำให้สินค้าภาคเกษตรตกต่ำมีสาเหตุ 4 ประการ คือ
1) ผลผลิตด้านการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ในประเทศจีนและประเทศในแถบอาเชียน
2)
3) การเปลี่ยนแปลงที่นอกจากจะขึ้นแล้วยังเป็นลักษณะไม่แน่นอน เช่น น้ำตาล
เมื่อสมัยก่อนใช้อ้อยทำ แต่ปัจจุบันใช้อย่างอื่นผลิตได้ จึงทำให้ราคาอ้อยตกลง
หรือ ยางพาราก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ราคาสูงมาก แต่เมื่อมีการพบน้ำมันและยางเทียม
ราคายางพาราก็ตกลง
4)
5) มีหลายๆ ประเทศที่เริ่มปิดประเทศ จึงกลายมาเป็นสาเหตุทำให้เกิดการกีดกันทางการค้า
6)
การพัฒนาของโลกตั้งแต่ประวัติศาสตร์ เริ่มมีการพัฒนามาจากความเจริญด้านตะวันออกมาสู่ยุโรปแถบตะวันออกกลาง
อิตาลี โรม ถึงยุโรปล่าเมืองขึ้น การค้าของโลกติดต่อกันมากขึ้นและเมื่อผลผลิตสู้ประเทศอื่นไม่ได้ก็ปิดประเทศรวมตัวกันเป็นอีอีซี
ทำการค้าระหว่างกันขึ้นส่วนค้ากับประเทศอื่นก็ทำเป็นลักษณะกลุ่ม พอสิ้นสงครามโลกครั้งที่
2 สหรัฐฯ ก็ทำตัวเป็นผู้นำ คือมีเหตุการณ์ยุ่งยากที่ใดก็จะเข้าไปช่วยจนทำให้ผลผลิตต่ำลงสู้ประเทศอื่นๆ ไม่ได้
เกิดการขาดดุลการค้าจึงเริ่มปิดประเทศ แนวโน้มจะมีแต่แรงขึ้นเพราะคนอเมริกันทั้งชาติมีความรู้สึกว่าได้เสียเวลาช่วยชาวโลกมานาน
และผลสุดท้ายที่ได้กับคือความลำบาก จากอเมริกาก็เป็นประเทศญี่ปุ่นที่จะทำตัวเป็นผู้นำคนต่อไป
ญี่ปุ่นชนะประเทศอื่นๆ เพราะสามารถผลิตสินค้าราคาถูก คุณภาพดีจึงสามารถตีตลาดได้ทั่วโลก
หลังจากที่สร้าง Domestic Market สูงขึ้นแล้ว ขณะนี้ก็สามารถลดการนำเข้าให้เหลือเพียง
14% ซึ่งเป็นเหล็กและน้ำมันเป็นหลัก ญี่ปุ่นขณะนี้กำลังพัฒนาอุตสาหกรรมหนักเพื่อดึง
Labour Intensive ที่เสียไปให้กับเกาหลี ไต้หวัน ไทย ฯลฯ กลับคืนมา โดยการสร้างแรงงานหุ่นยนต์
แนวโน้มสิ่งนี้เป็นปัญหาใหม่ของโลกต่อไป
ขณะที่ญี่ปุ่นทำตัวเป็นกลุ่มผู้นำชักชวนประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก อเมริกา
นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และอาเซียน มาร่วมกันต่อต้านกลุ่มประเทศอีอีซี
เมื่อโลกโดนกระทบเช่นนี้แล้ว แต่ละประเทศจะมีวิธีการแก้ไขคือ จะแบ่งประเทศเป็น
3 ประเภท คือ หนึ่ง ประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศพัฒนาแล้ว พวกนี้ทำ 2 อย่างคือ
กีดกันไม่ให้ใครส่งเข้าและส่งเสริมเกษตรกรของตนเอง รับซื้อสินค้าทั้งหมดในราคาแพง
เช่น ญี่ปุ่น อีอีซี ไต้หวัน อเมริกา บางที่นำเงินจากภาคอุตสาหกรรมที่ยังเหลืออยู่ซื้อผลผลิตในราคาสูงที่เกษตรกรอยู่ได้ป้องกันไม่ให้คนนำเข้า
กลุ่มประเทศที่สองคือกลุ่มที่กำลังเจริญอย่างรวดเร็วอย่างไต้หวัน
ใช้วิธีปรับตัวทันต่อเหตุการณ์คือรู้ว่ามรสุมจะมาก็หลบไปได้ อย่างรู้ว่าน้ำตาลจะแย่
เขาก็เลิกส่งออกผลิตเฉพาะพอกิน และปรับตัวไปทำอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลัก
และเปลี่ยนไปทางเลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา
พวกที่สามคือ ประเทศกำลังพัฒนาและส่งออกด้านเกษตร พวกนี้ไต้ฝุ่นมาแล้วยังไม่ปิดประตูบ้าน
อย่างบราซิลส่งออกน้ำตาลมากที่สุด พอโดนมรสุมกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินมหาศาล
ฟิสิปปินส์ทั้งน้ำตาล มะพร้าว โดนด้วย ลำบากเช่นกัน การเจริญเติบโตลดลง 5%
เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน ภาวะเงินเฟ้อ 2 ปี ติดต่อกัน 50% ปีหน้าจะเป็นอย่างไรกำลังน่าเป็นห่วงว่าฟิสิปปินส์อาจกลายเป็นคอมมิวนิสต์ไป
ประเทศไทยจะใช้แบบประเทศพัฒนาแล้วคงไม่ได้เพราะไม่มีเงิน เงินรัฐบาลถึงขนาดขาดดุลงบประมาณใช้วิธีพยุงราคา
ประกันราคา ชดเชยในรูปต่างๆ ให้ดอกเบี้ยเงินกู้ ให้แพ็กกิ้งเครดิต ยิ่งทางเศรษฐศาสตร์ทำผิดธรรมชาติเท่าไร
ยิ่งเปลืองเงินมากเท่านั้น อะไรที่สอดคล้องกับธรรมชาติมากที่สุดก็เปลืองเงินน้อยกว่า
เรื่องที่สองคือปรับโครงสร้างการผลิตให้ทัน ประเทศไทยทำได้ยากมากและคิดว่าไม่น่าจะทำได้ถ้าทำก็ต้องใช้เวลานานมากไม่ทันต่อเหตุการณ์
เพราะโครงสร้างการผลิตขึ้นอยู่กับหน่วยธุรกิจระดับครอบครัว เป็นหน่วยธุรกิจที่ไม่ใหญ่เหมือนไต้หวัน
ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก แต่เมืองไทยมีเกษตรกรรายย่อยมากและเป็นประเทศที่มีการถือครองที่ดินมากที่สุดในโลก
เพราะ ฉะนั้นการที่จะไปเพิ่มการผลิตหรือลดการผลิตให้ทันกับตลาดนั้นเป็นการยากมาก