|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ถ้ายังพอจำกันได้ ผมเคยเขียนบทความถึงเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Augmented Reality ไปแล้ว ซึ่ง Augmented Reality ก็คือเทคโนโลยีการเพิ่มผสมผสานโลกเสมือนเข้าไปในโลกจริง เพื่อทำให้เห็นภาพสามมิติในหน้าจอ โดยมีองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมจริงๆ หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือสามารถแสดงรูปกราฟิกแบบต่างๆ ลงบนวิดีโอที่ถ่ายบนโลกจริงๆ
Augmented แปลว่า เพิ่ม เมื่อเรามีเพิ่มแล้ว เราจะมีลดบ้างไม่ได้เชียวหรือ วันนี้ผมจะมาพูดถึงเทคโนโลยีตัวใหม่ อีกตัวที่ทำงานตรงกันข้ามกับ Augmented Reality ซึ่งเรียกว่า Diminished Reality
Diminished เป็นคำคุณศัพท์แปลว่า ลดลง ส่วน Reality เป็นคำนามแปลว่าความจริง เมื่อเอาสองคำมารวมกัน ก็คือเทคโนโลยีการลดภาพของวัตถุออกจากโลก จริงๆ ที่เราอยู่ หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือการ กำหนดบริเวณที่ต้องการลบภาพของวัตถุที่เราอาจไม่ต้องการออกไปไม่ให้ปรากฏขึ้น ในกล้องวิดีโอที่เรากำลังจับภาพอยู่
เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ คุณผู้อ่านลองดูการทำ Diminished Reality จากรูปตัวอย่างมนุษย์ลิงถือกล้วยที่ผมยกขึ้นมา รูปด้านซ้ายจะเป็นรูปวิดีโอที่เราถ่ายเข้ามา เป็นรูป Input Image ซึ่งจะเป็นรูปปกติที่ถ่ายมาจากกล้องวิดีโอทั่วๆ ไป ส่วนรูปด้านขวาจะเป็นรูปหลังจากการทำ Diminished Reality ซึ่งก็คือการลบวัตถุของจริง (กรณีนี้ก็คือมนุษย์ลิง) ออกจากวิดีโอเฟรม จริงๆ นั่นเอง แม้ว่าการลบมนุษย์ลิงออกไปแล้ว แต่จะสังเกตเห็นว่าฉากหลังคือ กำแพง ก็จะมีการเติมเข้าไปให้เต็มตรงจุด ที่เราลบมนุษย์ลิงออกไป ซึ่งความยากของ งานวิจัยแนวนี้ก็คือจะทำการเติมฉากหลังของวัตถุที่เราลบออกนี่แหละ จะเติมเข้า ไปให้ถูกต้องได้อย่างไรให้เหมือนจริง เสมือนจริงมากที่สุด
หลักการทำงานของ Diminished Reality อาจแบ่งเป็นหลายประเภท แล้วแต่ชิ้นงาน แต่หนึ่งในนั้นก็คือ จะทำงานโดยใช้โปรแกรมสังเคราะห์ภาพ (Image Synthesizer) ซึ่งจะมีการลดคุณภาพของภาพลงไปก่อน เพื่อกำจัดวัตถุในวิดีโอที่เรา ไม่ต้องการ (ในที่นี้ก็คือมนุษย์ลิง) จากนั้น ค่อยเพิ่มคุณภาพของภาพกลับมาเหมือนเดิม โดยขบวนการทั้งหมดใช้เวลาอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะทำให้ตาของเราแทบจะไม่ทันสังเกตเห็นอาการหน่วงของเวลา กล่าวคือทำให้เร็วจนตามนุษย์เราจับไม่ทัน โดยไม่ว่าจะขยับกล้องวิดีโอในมุมไหน เคลื่อนไปมา ระบบก็จะสร้างภาพลวงตาด้วยการคำนวณการคาดคะเนค่าตำแหน่งพิกัดต่างๆ เพื่อที่จะพยายามบดบังไม่ให้วัตถุที่ต้องการลบปรากฏขึ้นมาให้เห็นแต่อย่างใด
มีงานวิจัยที่ผมอยากจะมาแชร์กับคุณผู้อ่านวันนี้อีกอันหนึ่งซึ่งไอเดียใกล้เคียง กับหลักการของ Diminished Reality ที่มีชื่อเสียงมาก งานวิจัยนี้มีชื่อว่า “The Invisible Man” ที่สร้างขึ้นโดยศาสตราจารย์ Masahiko INAMI จากมหาวิทยาลัยเคโอ ประเทศญี่ปุ่น งานวิจัยนี้มีแนวคิดมา จากหนังหลายเรื่อง เช่น เกี่ยวกับการล่องหนของรถยนต์ของ James Bond ในหนัง Die Another Day หรือเกี่ยวกับการล่องหนของมนุษย์ Invisible Man อย่างในหนังซีรีส์อย่าง Heroes เป็นต้น
The Invisible Man สร้างโดยอาศัยเทคโนโลยีการพรางตา (Optical Camouflage Technology) ซึ่งแม้ว่าจะใช้ชื่องานวิจัยว่า Invisible ซึ่งแปลว่าล่องหน แต่ในความเป็นจริงแล้วงานวิจัยนี้ใช้เทคนิคการพรางตา (Camouflage) โดยการใช้ Projector และเสื้อโค้ตพิเศษ ที่สร้างขึ้นจากอุปกรณ์ประเภท Optic หรือสื่อนำข้อมูลที่ผลิตจากแก้วบริสุทธิ์ โดยนำชิ้นส่วนขนาดเล็กเหล่านี้มาประกอบเข้า ด้วยกันเป็นเสื้อโค้ตพรางตา โดยระบบจะทำงานโดยให้คนสวมเสื้อโค้ตพิเศษนี้และมีการบันทึกภาพเหตุการณ์ที่อยู่ด้านหลังของเสื้อโค้ตเอาไว้ จากนั้นจึงนำภาพที่อยู่ด้านหลังมาฉายลงบนเสื้อโค๊ตในช่วงเวลาเดียวกัน ผลที่ได้ก็จะคือภาพเสมือนของเหตุการณ์ด้านหลังของชุดมาปรากฏด้านหน้า ก็เลยเปรียบได้เหมือนกับเราสามารถ มองทะลุเสื้อโค้ตได้เลยนั่นเอง
เห็นไหมครับ ว่ามนุษย์ล่องหนจะไม่ใช่เรื่องในอนาคตอีกต่อไป อย่าลืมนะครับ ต่อไปใครถามคุณผู้อ่านว่า อะไรคือ Diminished Reality อย่าลืมอธิบายให้เขาฟังดังๆ เลยครับ จะได้รู้ว่าคุณผู้อ่านไม่ได้ตกเทรนด์ทางด้านเทคโนโลยี
ในครั้งหน้าผมจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาแชร์กับคุณผู้อ่านอีก รับรองเลยครับว่า เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวพวกเราอีกต่อไป
|
|
|
|
|