อุตสาหกรรมไฟฟ้าในเวลา 15 ปีที่ผ่านมานี้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก
1) รัฐบาลมีการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการลงทุนภายในประเทศโดยให้สิทธิประโยชน์มากมาย
2) รัฐบาลให้ความคุ้มครองโดยกำหนดอัตราภาษีอากรขาเข้าและภาษีการค้าไว้สูง
3) พัฒนาไฟฟ้าให้มีใช้ทุกตำบล ทั่วประเทศ และสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ก็สามารถถ่ายทอดภาพไปยังทุก ๆ จังหวัด
4) เศรษฐกิจของประเทศในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
รายได้ของประชาชนก็เพิ่มตามไปด้วย มาตรฐานการครองชีพก็สูงตาม เครื่องใช้ไฟฟ้าก็กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต
ทั้ง 4 ประเด็นที่กล่าวมานี้ทำให้อุตสาหกรรมไฟฟ้าเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัญหาอยู่ตลอดเวลา เป็นต้นว่า เรื่องภาษีที่รัฐบาลให้ความคุ้มครองนั้น
ก็ทำให้มีพวกลักลอบขนของหนีภาษีมากยิ่งขึ้น ภาคเอกชนและรัฐบาลก็ร่วมมือกันอย่างหนักมาเป็นเวลาหลายปีเพื่อที่จะหาอัตราภาษีที่เหมาะสม
เพื่อแสดงว่าการนำเข้าโดยการลักลอบเสียภาษีนั้นไม่คุ้ม เมื่อสิงหาคม 2525
ก็มีข่าวดีออกมาว่า รัฐบาลนั้นสามารถหาอัตราภาษีที่เหมาะสมซึ่งเป็นการทำลายตลาดมืดไปโดยสิ้นเชิง
อัตราภาษีที่ตั้งใหม่นั้น โทรทัศน์สีลดลงเหลือ 40% ส่วนภาษีการค้าที่เคยสูงมาก ๆ ถึง
33% ก็ลดเหลือ 9.9% และวันนั้นเป็นวันที่เริ่มต้นยุคทองของเครื่องไฟฟ้า เนื่องจากราคาสินค้าได้ลดลง
10-20% ทำให้ประชาชนที่มีรายได้ปานกลางหรือรายได้ต่ำนั้นมีอำนาจในการหาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามาใช้ได้
มีร้านค้าที่ขายส่ง ขายผ่อน ขายปลีกเกิดขึ้นอย่างมากมาย คือขายส่งประมาณ
70 แห่ง ส่วนขายปลีกและผ่อนประมาณ 4,000 แห่งทั่วประเทศ
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยแล้วก็ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเหมือนพายุมา
จากปลายปี 1983 ถึงต้นปี 84 นั้นนโยบายการคลังจำกัดสินเชื่อทำให้ทรัสต์ล้ม
แชร์หนี เวลานั้นภาวะการเงินตึงเครียด และธุรกิจหาเงินมาหมุนไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ทำให้เศรษฐกิจเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นในอุตสาหกรรมไฟฟ้า
คือกำลังซื้อของประชาชนลดน้อยลง ประชากรที่อยู่ในวัยทำงานมีประมาณ 27 ล้านคน
จากจำนวนประชากรทั้งหมด 52 ล้านคน และในจำนวน 27 ล้านคน มีเกษตรกรประมาณ
19 ล้านคน ส่วนประชากร 2.7 ล้านคนอยู่ในภาคอุตสาหกรรม 350,000 คนอยู่ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง
120,000 คนเป็นลูกจ้าง ส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้ามีอยู่ประมาณ49,000คน
รวมทั้งผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรม SEMI CONDUCTOR ซึ่งกิจการนี้กำลังซบเซา กิจการตกต่ำไป
40-50% ในญี่ปุ่น SEMI CONDUCTOR ซึ่งเคยรุ่งเรืองมาเมื่อ 2 ปีที่แล้วก็กำลังประสบปัญหา
ส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้านั้นก็สรุปได้ว่าไม่ค่อยจะดีนัก
แต่ที่เลวร้ายที่สุด คือวันที่ 5 พฤศจิกายน 2527 ที่ผ่านมานี้ รัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาท
ทำให้ราคาต้นทุนของเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นทันที ซึ่งแล้วแต่ชนิดของเครื่องใช้ไฟฟ้า
บางชนิดก็ขึ้นทันที 17.35% บางชนิดก็ขึ้น 3-10% แล้วแต่ชิ้นส่วนที่เราต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
หลังจากมีการลดค่าเงินบาทแล้วรัฐบาลก็ให้มีการควบคุมราคาสินค้า และซ้ำเติมด้วยการขึ้นภาษีชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า
และวันที่ประกาศลดค่าเงินบาทนั้น บางบริษัทผู้ผลิตขาดทุนย้อนหลังไป 8-9 เดือน
เนื่องจากสินค้าที่ขายไปนั้น ชิ้นส่วนยังไม่ได้จ่ายเงินธนาคาร แต่บางบริษัทก็โชคดีมีสต๊อกของไปได้อีก
3-4 เดือน ทำให้ต้นทุนการผลิตแตกต่างกันมาก บริษัทที่ขาดทุนพยายามที่จะขึ้นราคาโดยอาจจะแนะนำสินค้าใหม่
เป็นต้น แต่เมื่อขึ้นไปแล้ว ราคาสินค้าของบริษัทอื่นก็ยังอยู่ที่เดิม ดังนั้นบริษัทเหล่านั้นก็จำเป็นต้องลดราคาให้เท่าเดิม
และเมื่อบริษัทแรกลดลงก็สวนทางกับบริษัทที่สองที่จำต้องขึ้นราคาอีก แล้วก็ไปไม่รอดเช่นกัน
การขึ้น ๆ ลง ๆ นี้ทำให้ร้านค้าเอือมระอาและตลาดปั่นป่วนมากในตอนนั้น
บริษัทผู้แทนจำหน่ายก็มีสต๊อกล้นออกมาเช่นเดียวกัน และพยายามใช้กลยุทธ์การตลาดว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถผลักดันสินค้านั้นออกไปได้
หรือพยายามช่วงชิงลูกค้าเพื่อรักษาส่วนแบ่งการครองตลาด วิธีการต่าง ๆ เช่น
การยืดการชำระเงินสดออกไป บางครั้งอาจใช้การโหมโฆษณา มีการเปิดประชุมสังสรรค์ลูกค้าใหญ่เล็กทั้งหลาย
มีการจัดนำเที่ยว พยายามใช้ความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีมาเก่าแก่แกมบังคับให้ช่วย
ถ้าวิธีการเหล่านี้ไม่สำเร็จแล้วก็คงจะต้องใช้วิธีการหั่นราคากัน
สำหรับร้านค้านั้นเมื่อมีการลดค่าเงินบาทต่างก็คิดจะเก็งกำไรกันเพราะคาดว่า
ราคาสินค่าจะต้องขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จึงเริ่มรับซื้อสินค้าเข้าสต๊อกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
ถึงเดือนมกราคม พยายามขอให้รัฐบาลยกเลิกการควบคุมราคาสินค้า ปรากฏว่าร้านค้าเหล่านี้มีสต๊อกค้าง
3-4 เดือน แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะกำลังจะเข้าหน้าร้อน จึงมีความหวังอยู่ แต่ปรากฏว่า
ไม่สามารถที่จะเขยิบราคาขึ้นมาได้เลย และหน้าร้อนซึ่งเป็นฤดูการขายก็กำลังผ่านพ้นไป
แต่ละแห่งก็ทนต่อภาวะดอกเบี้ยไม่ไหว ก็พยายามระบายเทสินค้าเข้ามาในตลาดพร้อม ๆ กัน
ราคาแทนที่จะขึ้นจึงกลับลดลงทุกวัน ๆ แต่นิสัยการซื้อของผู้บริโภคมักจะรอคอยราคาให้ถูกลงไปอีก
แต่เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ สถานการณ์ก็เลวร้ายไปกว่าเก่าเนื่องจากเงินเยนได้เพิ่มค่าขึ้นทุกวัน
เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วพวกพ่อค้าที่ใช้เงินดอลลาร์ซื้อชิ้นส่วนเข้ามานั้นก็หันมาใช้เงินเยนกัน
แต่ตอนนี้เงินเยนขึ้นมาวันละ 1% ทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว
สรุปได้ว่า MATERAIL COST ต่าง ๆ โดยเฉพาะของทีวีสีนั้นเพิ่มขึ้นจนถึงวันนี้ประมาณ
47% ดังนั้นยอดขายก็ตกไปซึ่งแล้วแต่ประเภทของสินค้าตั้งแต่ 10-30% และปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือ
ไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าของเราได้
ดังนั้นสรุปได้ว่า ภาวะของปี 2528 นั้น ไม่ค่อยจะดี อีก 2 เดือนข้างหน้าก็ยังไม่ดี
และในปี 2529 ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีเลย เพราะเนื่องจากต่างประเทศมีปัญหา คือมีกำลังผลิตมากเกินไปจึงต้องมีนโยบายทุ่มตลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรื่องค่าจ้างแรงงานนั้นก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้น
นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดคือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรามีแนวโน้มว่าเงินเยนจะตกลงไปอีก
แต่อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมไฟฟ้าที่เราเคยประสบความสำเร็จมาตลอด 10 กว่าปีมานี้
เราจะต้องมีความอดทน และต้องต่อสู้กับวิกฤตการณ์ที่เป็นอยู่และปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดมาในอีก
1-2 ปีข้างหน้า แล้วอนาคตของเราจะแจ่มใส ความจริงแล้วอนาคตของเครื่องไฟฟ้ายังต้องไปอีกไกล
เพราะประเทศไทยมีประชากร 52 ล้านคน ถ้าประมาณ 9 ล้านครัวเรือนซื้อโทรทัศน์
1 เครื่อง ก็จะมีความต้องการเท่ากับ 9 ล้านเครื่อง ปัจจุบันตามสถิติมีทีวีสีอยู่ประมาณ
3 ล้านเครื่อง และมีตู้เย็นประมาณ 2 ล้านเครื่อง เครื่องซักผ้าประมาณ 1-2
แสนเครื่อง ดังนั้นพวกเราที่อยู่ในอุตสาหกรรมไฟฟ้าที่ประสบความสำเร็จมาตลอดนั้นเราจะต้องสู้
ที่จริงแล้วเราก็สู้กันจริง ๆ คือตามโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็ลดสต๊อกสินค้าที่มีอยู่ทั้งชิ้นส่วนและสำเร็จรูป
พยายามชะลอการสั่งซื้อ หรือหาแหล่งกู้เงินที่ถูก ๆ โครงการทั้งหลายที่ไม่จำเป็นก็ควรจะต้องระงับไว้ก่อน
และยังมีบางอย่างที่ควรจะทำ เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
การโฆษณาก็ควรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และในระยะยาวนั้นเราควรจะเพิ่มความสามัคคีในหมู่สินค้าอุตสาหกรรมไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น
เช่น ชะลอการผลิตอย่าให้มีเกินความต้องการ ต้องพยายามให้มีการผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศให้มากขึ้นแทนการนำเข้า
ซึ่งในขณะนี้ก็มีโครงการหลอดภาพโทรทัศน์สี ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมกำลังพิจารณาอยู่
และอีกสิ่งหนึ่งคือ ทุกโรงงานควรจะเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตโดยใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยขึ้น
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผู้ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมจะต้องช่วยเหลือกัน
แต่สิ่งที่จะขอร้องกับรัฐบาลก็คือ ขอให้รัฐบาลทบทวนนโยบายที่ให้แรงงานไทยที่อยู่ต่างประเทศสามารถนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าประเทศได้คนละ
1 เครื่อง ตลาดนี้ผู้ผลิตจึงเสียไปปีละ 4 แสนเครื่อง จึงขอร้องให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนในเรื่องนี้ใหม่
อีกเรื่องคือ ขอร้องให้รัฐบาลลดอัตราภาษีขาเข้าของชิ้นส่วนให้เท่ากับอัตราภาษีก่อนเดือนเมษายน
2528 และต้องการให้รัฐบาลกีดกันการนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่สามารถผลิตได้ในประเทศ
โดยอาจจะให้มีนโยบายที่ให้ความสนับสนุนผู้ที่สามารถผลิตในประเทศแล้วจะไม่มีการนำเข้ามา
ซึ่งครั้งหนึ่งนโยบายอันนี้ เคยเสนอไปตั้งแต่ปี 2523 แล้ว ควรจะถึงเวลาที่รัฐบาลมาทบทวนนโยบายนี้กันใหม่
นอกจากนี้นโยบายทางอ้อม คือทำอย่างไรจึงจะทำให้เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ทำอย่างไรจึงจะกระจายอุตสาหกรรมไปสู่ชนบท
เพื่อชาวบ้านจะได้มีงานทำมากขึ้นเหมือนในประเทศญี่ปุ่น และขอร้องรัฐบาลทบทวนนโยบายงบประมาณรายจ่ายให้เป็นการสร้างงานแทนที่จะซื้ออุปกรณ์เป็นหมื่น ๆ ล้านเข้ามา
และสุดท้ายขอให้รัฐบาลช่วยทบทวนนโยบายแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและตรงกับความต้องการ
มิใช่สนับสนุนให้เรียนสูง ๆ แต่ออกมาตกงาน ไม่มีงานรองรับ
ขอให้พวกเราที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมเครื่องไฟฟ้าร่วมมือกับรัฐบาลแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
และจริงใจ และช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยความอดทน เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศก็จะดีขึ้น
ประชาชนของไทยก็จะมีความหวังมากขึ้น และประเทศชาติของเราก็จะเจริญก้าวหน้าต่อไป