จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า
ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า
ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง
ขอเตียงตั้งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู
ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง
ขอคอมพิวเตอร์ติดเน็ต ไอแพด ดาวเทียมทางไกล
ขอโรงเรียนดีๆ ไม่เก็บแป๊ะเจี๊ยะให้ข้าสักโรง
ขอครูเก่งๆ สอนน้องข้าด้วย...
บทเพลงกล่อมเด็ก จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า ในศตวรรษที่ 21 คงต้องเติมความฝันของเด็กอีกมากมาย เพราะกว่า 15 ปีในการปฏิรูปการศึกษา เริ่มตั้งแต่ปี 2539 แม้กระทรวงศึกษาธิการวางแผนและแนวทางการปฏิรูปการศึกษา 4 ด้าน คือ การปฏิรูป โรงเรียนและสถานศึกษา การปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา การปฏิรูปหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน และการปฏิรูป ระบบบริหารการศึกษา โดยตั้งเป้าว่าการเรียนการสอนต้องมีคุณภาพและมีมาตรฐานในระดับสากลภายในปี 2550
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดคือ องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และ วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกระบุว่า มีประชากรไทย ที่อ่านเขียนภาษาไทยไม่ได้สูงกว่า 4,000,000 คนหรือ 6.3% ของ ประชาชนทั้งประเทศ หลายองค์กรระบุอีกว่า ความสามารถใน การแข่งขันของประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 33 จาก 47 ประเทศ คุณภาพของผู้เรียนไทยสัมฤทธิ์ผลต่ำในทุกวิชา เช่น สังคมศึกษา อยู่ที่ 55% ภาษาไทย 47% ภาษาอังกฤษ 34% คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 30% ส่งผลถึงอาชีพการงานในอนาคต
ถ้าดูข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนนักเรียนในทุกระดับชั้นทั่วประเทศไทยมีมากกว่า 13 ล้านคน ขณะที่ครู ทั้งสายสามัญศึกษาและอาชีวศึกษามีเพียง 139,308 คน และยังเจอปัญหาครูที่มีความสามารถกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งในวงการธุรกิจโรงเรียนมีการจัดอันดับโรงเรียนที่ดีที่สุด ในประเทศไทย พิจารณาจากสถิติกการสอบแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ O-net โควตา รับตรง admission แพทย์ กสพท. ทุนรัฐบาล ทุน กพ. ทุน พสวท. และรางวัลชนะเลิศทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี
อันดับในแต่ละปีหมุนเวียนสับเปลี่ยนอยู่ในโรงเรียนชื่อดังไม่กี่แห่งและกลายเป็นประเด็นที่ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับมาตรฐานการเรียนการสอนของโรงเรียนที่ควรจะเท่าเทียมกัน
“ผู้จัดการ 360 °” พบคำตอบหนึ่งจากนักการศึกษาหลายๆ คน คือ “มาตรฐานครู”
เราดูตัวอย่างกระบวนการผลิตครูในประเทศอังกฤษ ผู้เรียน ต้องศึกษาในสาขาที่สนใจจนจบระดับปริญญาตรี หลังจากนั้นเรียน หลักสูตรครูที่เรียกว่า Post Graduate Certificate of Education หรือ PGCE ในมหาวิทยาลัยอีก 1 ปี เหมือนประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู หรือ ป.บัณฑิตของไทย แต่ยังไม่สามารถประกอบ วิชาชีพครูได้ เพราะเป็นเพียง Newly Qualified Teacher ต้องฝึกสอนอีก 1 ปี จนได้ใบอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการของอังกฤษ เรียกว่า Qualified Teacher Status หรือ QTS
ความเข้มข้นในการผลิตครูที่เน้นหนักด้านเนื้อหาสาขาวิชา อย่างเชี่ยวชาญก่อนที่บัณฑิตคนนั้นจะตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางวิชา ชีพครู ระบบการฝึกสอนที่มุ่งฝึกฝนเรื่องการสอน ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติแบบรายตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งเทคนิคการกวาดสายตา เพื่อดึงความสนใจของเด็กแต่ละคน
ขณะที่คณะครุศาสตร์ของไทยเน้นการศึกษาวิธีการเป็นครู การออกข้อสอบ การพูด การสอน แล้วไปเลือกเอก โท ในสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งกลับกันกับระบบอังกฤษ
ที่สำคัญ อาชีพ “ครู” เป็นอันดับท้ายๆ ในแง่ความนิยมของนักเรียน หรือเลือกเรียนเผื่อพลาดจากคณะยอดฮิต ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ วิศวะ สถาปัตย์ สื่อสารมวลชน แม้กระทั่งนิติศาสตร์ ด้วยเหตุผลในแง่รายได้ โอกาสด้านอาชีพการงานและชื่อเสียง
ปัญหาข้อนี้ กระทรวงศึกษาธิการรู้เห็นปัญหาและเป็นที่มา ของโครงการผลิต “ครูพันธุ์ใหม่” เพื่อปฏิรูปครูตามกรอบการปฏิรูป การศึกษาในทศวรรษที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี 2553-2562 โดยตั้งเป้าผลิตครูพันธุ์ใหม่จำนวนทั้งสิ้น 30,000 คน จำแนกเป็นครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน 27,000 คน และครูอาชีวศึกษา 3,000 คน
ถ้าจำแนกตามหลักสูตรจะประกอบด้วยหลักสูตรครู 5 ปี จำนวน 17,500 คน โดยรับผู้เข้าร่วมโครงการที่สำเร็จชั้นมัธยม ศึกษาตอนปลาย จำนวน 13,500 คน และผู้กำลังศึกษาชั้นปีที่ 4 ในระดับอุดมศึกษาอีก 4,000 คน
ส่วนหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (หลักสูตร 1 ปี) จำนวน 12,500 คน รับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขาวิชาเข้าศึกษาในสถาบันที่ได้รับการรับรองมาตรฐานหลักสูตรและมาตรฐานการผลิตประกาศนียบัตรวิชาชีพครู หรือ ป.บัณทิต ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับระบบอังกฤษ
หากเป็นไปตามแผน กระทรวงศึกษาธิการวาดความฝันว่า จะสร้างสรรค์ครูที่มีอุดมการณ์และมีความรู้ทางวิชาการที่เหมาะสม กับการสอนในโรงเรียนแต่ละระดับแตกต่างกันและใช้เวลาการผลิต ที่รวดเร็ว
ถือเป็นความหวังอันหนึ่งในการยกระดับการศึกษาไทย
สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับ “พิสุทธิ์ ยงค์กมล” ทายาทผู้ก่อตั้งโรงเรียนในเครือสารสาสน์ เขาเรียนจบระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนชื่อดัง จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ผลการสอบภาษาต่างประเทศดีเยี่ยม แต่ไปถึงต่างประเทศเหมือน “ศูนย์” ต้องดิ้นรนศึกษาภาษาอังกฤษ และนั่นคือ “ปม” ที่พิสุทธิ์ตัดสินใจว่า ต้องกลับมาพัฒนาโรงเรียนสารสาสน์
แล้วทำไมจึงเกิดค่านิยมในหมู่พ่อแม่ที่ว่า “ประถมดีที่สุดต้องสาธิตจุฬาฯ มัธยมต้องสาธิตปทุมวัน ม.4 ต้องเตรียมอุดม”
หรือการสร้างมาตรฐานการเรียนการสอนอย่างมีคุณธรรมของโรงเรียนนานาชาติเดอะรีเจนท์ การผสมผสานระหว่าง Good Head กับ Good Heart เก่งแล้วต้องมีคุณธรรม
การศึกษาไทยกำลังเป็นไปอย่างไร
นี่น่าจะเป็นกรณีตัวอย่างที่สะท้อนปัญหาที่รอการปฏิรูปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
|