ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2528 ที่ผ่านมา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 72 ปี ของการก่อตั้งคณะ ซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็นการครบรอบวาระ
72 ปีของการเผยแพร่วิชาการด้านวิศวกรรมในประเทศไทยก็ได้
ถ้าเราลองหันมาดูรอบตัวเราแล้ว
จะเห็นได้ว่าชีวิตของเราคงหนีไม่พ้นที่จะเกี่ยวข้องกับ “วิศวกร”
ทำไมเราไม่ลองมาสนใจว่า วิศวกรเหล่านี้มีบทบาทอย่างไรกับสังคม และวิศวกรเองก็น่าที่จะสนใจมาทบทวนบทบาทของตน
ว่ามีสิ่งใดหรือเปล่าที่จะช่วยกันเพื่อพัฒนาสังคม และประเทศชาติโดยส่วนรวมโดยมากกว่านี้
ท่านทราบไหมว่า ขณะนี้ประเทศไทยเรามีวิศวกรสักกี่คน คำตอบที่ได้อาจจะทำให้ท่านรู้สึกแปลกใจ
เพราะขณะนี้เรามีคนที่ร่ำเรียนมาด้านนี้มากกว่าหมื่นคนทีเดียว แล้วบุคคลเหล่านี้ไปหลบหน้าหลบตาอยู่ที่ไหน
ทำให้หลายๆ คนยังไม่เคยพบหรือรู้จักบทบาทที่แท้จริงของวิศวกรกันเลย
สาเหตุที่สำคัญอันหนึ่งก็คือ วิศวกรหลาย ๆ ท่านไม่ได้ทำงานด้านนี้โดยตรง แต่ที่จริงท่านจะเคยได้สัมผัสหรือพูดคุยกับบุคคลเหล่านี้ไม่น้อยทีเดียว
ตัวอย่างอันหนึ่งก็คงจะได้จากผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีผู้สมัครที่เป็นตัวเก็งถึง 2 ท่านที่ร่ำเรียนมาด้านวิศวกรรม
คือ คุณมงคล สิมะโรจน์ และ พล.ต.ต. ม.ร.ว. เจตจันทร์ ประวิตร หรือนักการเมืองระดับรัฐมนตรีในหลายๆ
รัฐบาลที่ผ่านมาก็ล้วนแล้วแต่มาจากค่ายวิศวกร
ที่ดูเหมือนจะขาดอยู่ก็คงเป็นแต่นายกรัฐมนตรี ที่ส่วนมากจะมาจากสายทหาร
แต่เราก็ยังน่าภูมิใจที่อย่างน้อย ตัวเก็งนายกฯ สมัยหนึ่งก็เป็นวิศวกรและอาจจะถือได้ว่าเป็นวิศวกรอาวุโสของประเทศทีเดียวคือ
ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์
เมื่อเราเริ่มเห็นตัวอย่างวิศวกรผู้มีชื่อเสียงทางด้านวงการอื่นๆ ที่มิใช่สาขาที่ท่านเหล่านี้ได้เรียนมาโดยตรงแล้ว
ลองหันมาดูท่านผู้บริหารระดับสูงของวงการราชการและเอกชนที่ยังคงต้องรับผิดชอบงานด้านนี้ดูบ้าง
ถ้าจะให้บรรยายชื่อเสียงของบุคคลเหล่านี้ เนื้อที่ของบทความนี้ก็คงจะไม่เพียงพอเป็นแน่
คงจะพอยกตัวอย่างบุคคลที่เป็นที่รู้จักสัก 2-3 คน
คุณเกษม จาติกวนิช อดีตผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่าผลิตแห่งประเทศไทย
ดร.ทองฉัตร หงลดารมภ์ ผู้ว่าการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้จัดการใหญ่บริษัทปูนซิเมนต์ไทย ที่เป็นเครืออุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ
จากบทบาทของท่านเหล่านี้ท่านคงจะเห็นแล้วว่า วิศวกรนั้นเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอยู่เสาหนึ่งทีเดียว
จากนี้เราควรที่จะมองในรายละเอียดว่า วิศวกรนั้นเข้าไปมีบทบาททางใดบ้างในแง่ของสังคมส่วนรวม
ก่อนอื่นคงต้องแยกแนวทางพิจารณาออกเป็น 3 ทางด้วยกันคือ
การเกษตร
อุตสาหกรรม
คมนาคม
เมื่อพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจของบ้านเรา ก็คงไม่อาจมองข้าม การเกษตรและอุตสาหกรรมไปได้
ในแง่ของการเกษตร การชลประทานคงเป็นหัวใจสำคัญของการเกษตรบ้านเรา เพราะน้ำเป็นเหมือนเลือดที่ใช้หล่อเลี้ยงร่างกาย
เกษตรกรถ้าขาดน้ำก็คงเหมือนคนเราขาดเลือด วิศวกรรมชลประทานถือได้ว่าเป็นวิชาการสาขาหนึ่งที่มีการเรียนการสอนในบ้านเรานานกว่า
40 ปีเข้าไปแล้ว โดยเริ่มจากโรงเรียนชลประทาน และต่อมาก็ขยับขยายออกมาเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์
ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เขื่อนและฝายต่าง ๆ คงจะเป็นผลงานที่พิสูจน์ความพยายามของวิศวกรที่มีต่อการเกษตรของประเทศได้อย่างดี
นอกเหนือจากงานด้านชลประทานแล้ว ยังมีอีกหลายสถาบันที่ได้มีการสอนด้านวิศวกรรมการเกษตร
หลายคนคงจะไม่เข้าใจนักว่าวิศวะจะเข้าไปยุ่งอะไรกับการเกษตรได้ เพราะงานไม่น่าจะสอดคล้องกันเลย
แต่ผลงานหลักของวิศวกรการเกษตรนั้นก็คือ การคิดค้นหาเครื่องไม้เครื่องมือเพื่อช่วยทุ่นแรงด้านการเกษตรเป็นส่วนใหญ่
คราวนี้ลองมาดูงานด้านอุตสาหกรรมดูบ้างว่าวิศวกรเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องขนาดไหน
ในแง่ของอุตสาหกรรมนั้น วิศวกรมากมายหลายสาขาได้เข้ามามีบทบาทอย่างสูง อาทิ
วิศวกรไฟฟ้า วิศวกรโยธา วิศวกรเครื่องกล วิศวกรอุตสาหกรรม วิศวกรเคมี วิศวกรเหมืองแร่
หรือแม้แต่สาขาวิชาใหม่ เช่น วิศวกรรมความปลอดภัย วิศวกรรมการควบคุม วิศวกรรมคอมพิวเตอร์
เหล่านี้เป็นต้น งานของเขาเหล่านี้จะเป็นงานหลักของชาววิศวะทีเดียว เพราะมากกว่า
70% ของวิศวกรที่ทำงานอยู่ปัจจุบัน ต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับงานด้านอุตสาหกรรม
ไม่ว่าเป็นภาคราชการ อาทิ การไฟฟ้า การปิโตรเลียม กรมทรัพยากรธรณี หรือภาคเอกชน
ดังเช่นโรงงานอุตสาหกรรมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
ยิ่งรัฐบาลต้องการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจบ้านเราเท่าใด
บทบาทของวิศวกรยิ่งต้องมีมากขึ้นเท่านั้น เขาเหล่านี้จะกระจายอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ
ที่มีหน้าที่นำวัตถุดิบมาแปรรูปให้เป็นสินค้า เขาจะต้องควบคุมการทำงานของเครื่องจักร
ซ่อมแซมเมื่อเจ้าเครื่องยนต์กลไกเหล่านี้ทำงานไม่ได้ เขายังมีหน้าที่ดูแลและควบคุมคุณภาพของสินค้าที่ออกมาจากการผลิตให้ได้มาตรฐาน
หรืออาจกล่าวได้ว่า ในทุกกลไกของการทำงานในองค์กรด้านอุตสาหกรรมนั้น
จะต้องมีบุคคลที่เราเรียกว่า “นายช่าง” หรือวิศวกรเข้าไปมีส่วนอยู่ทุกขณะจิต
การคมนาคมนั้นเปรียบเสมือนหัวใจของการพัฒนาประเทศ ถ้าโรงงานผลิตสินค้าเสร็จแล้วไม่มีถนนหนทางที่ดีในการที่จะนำสินค้าออกสู่มือประชาชน
หรือการติดต่อธุรกิจถ้าขาดปัจจัยในการสื่อสาร อาทิ โทรศัพท์ โทรเลข แล้วไซร้
ก็คงจะไม่มีการพัฒนาด้านอื่น ๆ เกิดขึ้นแน่
ถ้าเรามองเห็นความสำคัญของการคมนาคมแล้ว ทำไมเราไม่ลองดูว่า วิศวกรนั้นไปมีบทบาทอย่างไรกับการคมนาคม
ท่านเคยได้ยินชื่อ “โรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ” มั้ย ท่านลองผ่านไปตรงทางแยกลาดพร้าว
ข้างๆ สวนจตุจักรดู ท่านจะเห็นป้ายชื่อสถาบันดังกล่าวตั้งเด่นอยู่ นั่นแหละครับคือสถาบันที่สร้างช่างทางด้านการคมนาคมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศทีเดียว
นอกเหนือจากรถไฟที่เป็นการขนส่งวิธีหนึ่งแล้ว วิศวกรรมการบิน วิศวกรรมด้านการขนส่งก็ยังคงเป็นงานอีกด้านที่วิศวกรได้มีโอกาสรับใช้สังคมด้านการคมนาคม
การสื่อสารซึ่งจัดว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของการคมนาคมนั้นเล่า ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์
โทรเลข หรือแม้แต่โทรสาร ที่เป็นวิทยาการใหม่ล่าสุดสำหรับเมืองไทย ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้นของวิศวกร
จนถึงบัดนี้แม้แต่การควบคุมการซ่อมบำรุงต่าง ๆ ก็คงต้องอาศัยบุคคลเหล่านี้ดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด
ปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวล้ำหน้าเราไปมาก ทำให้เกิดสาขาวิชาวิศวกรรมใหม่ ๆ
เกิดขึ้นไม่น้อยทีเดียว อาทิ วิศวกรรมชีวภาพ วิศวกรรมแหล่งน้ำ วิศวกรรมพลังงาน
และอื่น ๆ อีกมาก
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นภาพโดยรวมของวิศวกรที่มีบทบาทอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
และเป็นอาชีพที่ได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างสูง ดูได้จากเป้าหมายการเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียนนั้น
คณะวิศวะเป็นคณะแรก ๆ ที่หนุ่มสาวใฝ่ฝันอยากเข้ามาอยู่ แต่ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงที่วิศวกรพึงมีต่ออาชีพของตน
แต่ที่จริงแล้วเขาเหล่านั้นยังมีความรับผิดชอบอีกส่วนหนึ่งในฐานะที่เป็นผู้นำหรือผู้ที่มีบทบาทชี้นำบุคคลชนชั้นต่าง ๆ
จำนวนไม่น้อย
“วิศวกร” มีฐานะเป็นผู้นำของบรรดาช่างฝีมือ เขาต้องมีความสำนึกในความปลอดภัยของพนักงานใต้บังคับบัญชาของเขาด้วยนอกเหนือไปจากหน้าที่ประจำ
และเหนือสิ่งอื่นใดเขายังต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการควบคุมขบวนการผลิตให้ได้มาซึ่งสินค้าที่มีคุณภาพ
ดูแลไม่ให้เกิดมลภาวะ ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ถึงแม้ว่าเรายังมีสถาบันที่คอยสอดส่องดูแลความเป็นไปของวิศวกรอยู่หลายหน่วยงาน
อาทิ วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท) คณะกรรมการควบคุมวิชาชีพวิศวกรรม (กว.)
แต่หน่วยงานเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถควบคุมวิศวกรจำนวนนับหมื่นได้อย่างทั่วถึง
ทำให้บางครั้งเกิดข่าวที่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของวิศวกรอยู่หลายครั้ง ดังเช่นเมื่อเกิดตึกหรืออาคารถล่มลงมา
บุคคลแรกที่จะถูกโจมตีก็คือวิศวกรที่ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ที่ละเลยหน้าที่ที่พึงกระทำ
เหตุการณ์เหล่านี้ใครควรจะเป็นผู้รับผิดชอบ?
ในเมื่อมันเกิดจากน้ำมือของพวกท่านกันเอง ถึงแม้จะไม่ใช่ท่านโดยตรง แต่ท่านก็ยังคงต้องร่วมกันรับผิดชอบอยู่ดี
ท่านอาจจะช่วยกันผดุงภาพลักษณ์ที่ดีได้โดยการทำงานตามหน้าที่ด้วยหลักวิชาการที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมา
อย่าเห็นแก่เงินหรือค่าจ้างที่จะโน้มน้าวท่านไปในทางที่ไม่ถูก นอกจากนี้ท่านยังต้องช่วยกันสอดส่องดูแลเพื่อนๆ
ชาววิศวกรด้วยกันเอง ไม่ให้เกิดพวกนอกคอกที่จะนำความเสื่อมเสียมาสู่สถาบันวิศวกร
สถาบันการศึกษาก็คืออีกหน่วยงานหนึ่งที่จะต้องมีบทบาทอย่างมากต่อกรณีนี้
เพราะหน้าที่ของสถาบันการศึกษานั้น มิใช่เพียงแต่สอนความรู้ด้านวิศวกรรมเท่านั้น
แต่ครูบาอาจารย์ทุกท่านยังต้องสร้างความสำนึกให้เกิดแก่นักศึกษาวิศวกรรมทุกคนถึงจรรยาบรรณของวิศวกร
และความรับผิดชอบที่พึงมีต่อส่วนรวม
ถ้ามีใครสักคนลองสำรวจภาพพจน์ของวิศวกร ตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบันดู ก็คงจะได้เห็นสิ่งแปลกอยู่หลายอย่างทีเดียว
ภาพลักษณ์ของวิศวกรรุ่นพี่หรือรุ่นพ่อเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา คงจะเสมือนหนุ่มใหญ่ผู้เคร่งขรึม
ดูน่าเชื่อถือ เป็นผู้นำ
แต่ภาพลักษณ์ของวิศวกรขณะนี้จะคืออะไร คงไม่มีใครตอบได้ดีกว่าตัววิศวกรเองแหละ
ลองถามคนรอบข้างดูก็ได้
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราหวังว่าภาพลักษณ์ของวิศวกรในอนาคตคงจะต้องดีขึ้นถ้าพวกเราทุกคนมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น