Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2528








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2528
"เราจะต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้กันใหม่ก่อนที่ธุรกิจจะพังพินาศมากกว่านี้"             
 


   
search resources

Economics




ในระยะ 30-40 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจของประเทศไทยมีการขยายตัวสูงอยู่ทุกปี ธุรกิจการค้าก็มีการขยายตัวและมีการเจริญเติบโตในอัตราสูง

ตัวนักธุรกิจเองก็มีการขยายกิจการ ทั้งกิจการหลักที่ตัวเองทำอยู่ หรือในกิจการอื่นๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน ในแง่ของสถาบันการเงินเมื่อเห็นว่าธุรกิจขยายตัวไปข้างหน้าแล้ว ประสบความสำเร็จ มีรายได้มีกำไรดี ก็ขยายสินเชื่อเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้เร็วขึ้น

การกำหนดนโยบายต่างๆ นานาของราชการ ก็อยู่ใต้สมมุติฐานว่าความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ หรือการขยายตัวที่มีสูงจะเป็นอยู่ต่อไป!

ในช่วงที่เศรษฐกิจมีการขยายตัวสูง หรือ "บูม" ก็ไม่ได้มีความระมัดระวังในแง่ผู้กู้หรือธุรกิจ และผู้ที่ให้กู้เป็นสถาบันการเงินทั่วๆ ไป

โครงสร้างที่ถูกต้องของภาระหนี้สินนั้นควรจะเป็นไปในลักษณะที่เป็นการกู้ยืมระยะยาวพอที่จะใช้ในการ FINANCE เครื่องจักรอุปกรณ์ที่เป็นทรัพย์สินถาวร ไม่ใช่กู้ระยะสั้นในรูปของเงินเบิกเกินบัญชี (โอดี) หรือเงินกู้เดือนต่อเดือนไป FINANCE เครื่องจักรอุตสาหกรรม ซึ่งมีระยะเวลาให้ดอกให้ผลคุ้มทุนเป็น 10 ปี 15 ปี ในช่วงที่ทำมาค้าขายคล่อง ทำอะไรก็ขายได้ มีราคาดี ปริมาณธุรกิจที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีมีอัตราสูง ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่มีปัญหาเรื่องเงินกู้ระยะสั้น พอครบกำหนดก็กู้ใหม่ได้ และในเมื่อธุรกิจรุ่งเรืองดีสถาบันการเงินก็ยินดีให้กู้ต่อ เพราะฉะนั้นก็มองไม่เห็นว่าจะเกิดปัญหา

นอกจากนั้นธุรกิจเมืองไทยใช้เงินกู้มาก เงินกู้ระยะสั้น หรือเงินกู้รวมก็มากเมื่อเทียบกับทุน ตราบใดที่ธุรกิจรุ่งเรืองดี อัตราการเจริญเติบโตหรือยอดขายสูงก็ดูเป็นของดี กู้เท่าไหร่ก็มีเงินจ่ายแล้วยังเหลือกำไรให้กับผู้ถือหุ้น

แต่ไม่ได้นึกว่าถ้าหากภาวะเศรษฐกิจของโลก ภาวะธุรกิจของประเทศไทยชะลอตัวลง แทนที่จะเพิ่มปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ กลับไม่เพิ่มเลยหรือลดลง จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายดอกเบี้ย!

เมื่อเริ่มชำระดอกเบี้ยไม่ได้ เพราะว่ามีหนี้มากเกินไป เจ้าหนี้ก็เริ่มรู้สึกว่ากิจการนี้ไม่ค่อยดีแล้ว เมื่อเห็นว่ากิจการไม่ดีเพราะมีทุนน้อยและมีเงินกู้มาก ก็เริ่มคิดดึงเงินกลับ

และสิ่งที่ธุรกิจทำผิดเป็นอย่างที่สองก็คือเงินกู้ที่ตนมีอยู่มากนั้นเป็นเงินกู้ระยะสั้น ทางสถาบันการเงินก็สามารถเรียกคืนได้

ถ้าหากเตรียมตัวไว้แต่แรก โดยกู้ระยะยาว 3 ปี หรือ 5 ปี เมื่อยังไม่ครบกำหนดสถาบันการเงินก็เรียกเงินคืนไม่ได้ ก็สามารถประคองตัวไปได้แม้ว่าการจ่ายดอกเบี้ยอาจจะไม่เพียงพอก็เจอปัญหาเดียวคือจ่ายดอกเบี้ยไม่ค่อยได้ แต่ไม่ถูกเรียกเงินต้นคืน

แต่สถานการณ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันคือ พอจ่ายดอกเบี้ยไม่ค่อยได้ก็โดนเรียกเงินกู้ระยะสั้นคืน แทนที่จะล้มช้าหน่อยกลับล้มเร็ว

เหล่านี้เป็นปัญหาพื้นฐานของธุรกิจ ของการจัดโครงสร้างด้านหนี้สินไม่สอดคล้องกับโครงสร้างด้านทรัพย์สินและไม่สอดคล้องกับภาวะธุรกิจที่อาจจะบูมหรือหดตัวได้

ปัญหาพวกนี้เป็นปัญหาของประเทศในอาเซียนหลายประเทศ แม้กระทั่งประเทศสิงคโปร์ที่เคยบูมทุกปีก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอปีนี้เศรษฐกิจชะลอตัวลง ธุรกิจกลุ่มใหญ่ของเขาก็ล้มไปหลายกลุ่ม ไต้หวันก็เหมือนกัน หรือเกาหลีก็มีลักษณะในทำนองเดียวกัน เพราะประเทศในอาเซียนเราเคยชินกับสภาพเศรษฐกิจที่บูมอยู่ตลอดเวลา ก็เลยลืมวางแผนการเงินระยะยาวสำหรับภาวะเศรษฐกิจชะงักงันที่อาจเกิดขึ้นได้

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีการพัฒนาตลาดทุน ตลาดเงินที่เหมาะสม เช่น อเมริกา ธุรกิจของเขาจะใช้เงินกู้ไม่มากเมื่อเปรียบกับทุน เขาจะกู้เป็นสองเท่าหรือสามเท่าของทุนเท่านั้น แต่เมืองไทยจะกู้เป็น 5 เท่า 10 เท่าของทุน และการกู้เงินของเขาจะเป็น LONG TERM FUND จากเหล่าเงินที่ในอเมริกาอาจจะมีมากหน่อย เช่น บริษัทประกันชีวิต หรือ LONG TERM CREDIT BANK อย่างในญี่ปุ่น

รัฐบาลของเขาทราบปัญหา เขาจึงสร้างสถาบันการเงิน สร้างกลไก ทั้งด้านผู้ให้กู้และผู้กู้ให้เข้าใจแล้วจัดโครงสร้างด้านหนี้สินและเงินกู้ให้ดี การประสบปัญหาของเขาจึงน้อยและมักจะล้มเมื่อหมดหวังจริงๆ หรือผิดพลาดในหลายๆ เรื่อง

แต่ในเมืองไทยมีหลายกรณีที่กิจการต้องล้มไปเพราะจัดการเรื่องหนี้ไม่ดี ทั้งๆ ที่ความสามารถในการผลิตของเขาอาจจะยังดีและมีอยู่ เพียงแต่ปีนี้หรือปีต่อไปตลาดซบเซา ของขายไม่ได้

กรณีเช่นนี้ธุรกิจที่พัฒนาแล้ว มีเงิน FINANCE ระยาว หรือทุนมากจะไม่ล้ม เพียงแต่ไม่มีเงินจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น สามารถอยู่ผ่านช่วงวิกฤตการณ์ปีสองปี พอเศรษฐกิจบูมขึ้นมาใหม่ก็ขยายตัวใหม่ สามารถเปิดประตูโรงงานรับคนงานเข้าไปแล้วทำงานขายของออกไปได้

ปัญหาของเมืองไทยที่ผมเป็นห่วงมากก็คือว่า จะไม่มีโอกาสเปิดประตูโรงงานอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะมีกำลังผลิต มีเครื่องจักร มีคนที่มีความรู้ความสามารถในการผลิต มีการจัดการที่ดีแต่เรื่องเงินกู้ถูกกระหน่ำซ้ำเป็น 2 เท่า ก็ต้องถูกบังคับให้ปิดกิจการไปซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย เพราะกว่าจะสร้างความสามารถในการผลิตต่างๆ ของเอกชนในเมืองไทย ต้องใช้เวลาไม่น้อย

ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาของทั้งผู้ให้กู้ คือ สถาบันการเงิน และปัญหาของผู้กู้ คือ ธุรกิจ รวมทั้งเป็นปัญหาของรัฐบาลที่ไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง การปรับปรุงโครงสร้างจะทำได้ในช่วงที่เศรษฐกิจบูม เพราะทำอะไรไม่ค่อยมีผลสะเทือน

ควรจะปรับปรุงตราสารทางการเงินระยะยาว ควรจะปรับปรุงตลาดทุน (ตลาดหลักทรัพย์) เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายทุนโดยนำหุ้นออกขาย ควรจะปรับปรุงรูปแบบต่างๆ รวมทั้งสิทธิประโยชน์จูงใจที่จะกระตุ้นให้เกิดการกู้ระยะยาวมากขึ้น

สิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยได้ทำกันในช่วงที่สามารถทำได้ อาจจะเป็นเพราะยังไม่เห็นปัญหาก็เลยไม่ทำ คนส่วนใหญ่ก็มักไม่ได้มองการณ์ไกลที่จะเห็นปัญหา หรือกั้นคอกก่อนที่วัวจะหาย มักเป็นกรณีที่วัวหายแล้วคิดกั้นคอก ที่ผมไม่อยากเห็นก็คือ เมื่อวัวหายก็ยังไม่ยอมสร้างคอก มันก็หาย 2 ตัว 3 ตัว เพิ่มขึ้นไปจนอาจจะเป็น 20-30 ตัว

ที่ผมคิดว่าทำได้และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ก็คือว่าทางผู้รับผิดชอบนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือนายก จะต้องมาพูดถึงเรื่องนี้ให้ประชาชนได้ยินเป็นเรื่องเป็นราว และประกาศว่าเป็นปัญหาที่สำคัญ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหาในประเด็นเหล่านี้

เป้าหมายที่ประกาศออกมาง่ายๆ อยู่ 2 อย่าง คือ เปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นระยะยาว และเปลี่ยนจากหนี้เป็นทุน เน้นออกมาว่าเป้าหมายของประเทศ 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ!

มาตรการที่จะชักจูงหรือบังคับให้หนี้ระยะสั้นกลายเป็นหนี้ระยะยาวก็มีอยู่หลายอย่าง สำหรับธุรกิจรายที่เป็นปัญหาโผล่มาแล้วอย่างไรเสียก็ต้องทำ สถานการณ์บังคับบีบรัดให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งรัฐบาลต้องเปลี่ยนโครงสร้างไปในแนวทางที่ว่านี้ (กรณีปัญหาบริษัทน้ำตาลบ้านโป่ง)

เช่นเปลี่ยนหนี้ทั้งหมดให้เป็นหนี้ระยะยาว ต้องมีการเพิ่มทุนในธุรกิจ และในที่สุดก็ต้องมีการเปลี่ยนหนี้ของสถาบันการเงินให้เป็นหุ้นในธุรกิจ แต่กว่าจะเกิดขึ้นได้ก็เกือบหงายหลังกันหมดแล้วถึงมาทำกัน

ซึ่งถ้าเราปล่อยให้เป็นเช่นนี้ทุกกรณีไป ปัญหาก็อาจเกิดขึ้นทุกสัปดาห์จนกระทั่งเราไม่มีคนและไม่มีเวลาพอที่จะแก้ไขทุกปัญหา

พวกธุรกิจที่ตอนนี้ไม่มีปัญหา ก็แล้วแต่ว่าผู้บริหารธุรกิจเขามีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้หรือเปล่า ผู้บริหารที่เป็นมืออาชีพส่วนใหญ่เขาจะมีความยินดีมาก ถ้าบริษัทเขามีทุนมากและมีหนี้น้อย

ธุรกิจประเภทนี้มีความต้องการที่จะขยายทุนแต่ก็มีอุปสรรคในการที่จะดึงดูดให้คนมาซื้อหุ้น ปัญหาหลักที่ทำให้ธุรกิจเมืองไทยไม่อยากจะเพิ่มทุน ไม่อยากจะขายหุ้นถ้ากฎหมายไม่บังคับ ก็มีอยู่เรื่องเดียว คือ COST OF CAPITAL

ต้นทุนพวกนี้รูปกรณีที่เงินเข้ามาในรูปทุนก็คือ "เงินปันผล" ซึ่งปัจจุบันเงินปันผลรวมกับภาษีเป็นต้นทุนที่แพงมาก!

สาเหตุประการแรกเพราะอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินและผลตอบแทนทั่วไปของตราสารการเงินอื่น รวมทั้งตราสารที่ไม่มีความเสี่ยงอะไรเลยอยู่ในอัตราที่สูง

ประการที่สอง ประเทศไทย การหักภาษีเพื่อเพื่อเสียภาษีอยู่ในลักษณะ "ลงโทษ" การจ่ายผลตอบแทนในเรื่องเงินปันผล ในขณะเดียวกันไปสนับสนุนการจ่ายผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย

หมายความว่าธุรกิจเวลากู้เงินมาแล้วต้องเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน แต่ดอกเบี้ยที่ต้องเสียนั้นสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ก่อนที่จะไปเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับรัฐบาล

ส่วนเงินปันผลหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนประเมินภาษีไม่ได้!

ดังนั้น ธุรกิจจึงมักจะใช้เงินกู้เพราะคำนวณดูแล้วต้นทุนต่ำกว่ากรณีที่ต้องจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น ทำให้เกิดความโน้มเอียงในรูปที่ว่าไม่ได้มองการณ์ไกล ในแง่ที่ว่าหากภาวะเศรษฐกิจซบเซา กิจการของตัวเองจะเป็นอย่างไรหากต้องใช้เงินกู้มากๆ

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาก็คือ กรณีที่ธุรกิจมีกำไรแล้วจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น เงินก็จะออกจากบริษัทไปยังผู้ถือหุ้นซึ่งก็ต้องไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราที่เขาต้องจ่าย สิ่งที่จะช่วยเก็บเงินกำไรเอาไว้ในบริษัทและเพิ่มฐานของทุนสามารถทำได้โดยการจ่ายในรูปของ STOCK DIVIDEND หรือจ่ายเงินปันผลในรูปของการออกหุ้นใหม่ให้กับผู้ถือหุ้น

กฎหมายเมืองไทยถือว่าจะให้เงินสดหรือใบกระดาษหุ้นก็เป็นรายได้ของผู้ถือหุ้น ต้องนำไปเสียภาษีรายได้ทั้งสิ้น

ฉะนั้น ถ้าอยากส่งเสริมให้มีการเก็บกำไรไว้ในธุรกิจเพื่อสร้างกองทุนให้สูง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ก็ควรจะกำหนดว่าในกรณีที่จ่ายเป็น STOCK DIVIDEND ผู้ถือหุ้นสามารถได้สิทธิประโยชน์ในการเสียภาษีที่ต่ำกว่าในรูปแบบที่ได้รับเป็นเงินสด หรือไม่ต้องเสียเลย

อีกปัญหาหนึ่งก็คือตราสารที่เข้ามาแข่งกับผลตอบแทนในการลงทุนเรื่องหุ้น ตราบใดที่รัฐบาลยังจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล โดยที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่สูงถึง 11.15 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเปรียบเทียบหลังหักภาษีแล้วได้เท่ากับพันธบัตรรัฐบาล

แต่การถือหุ้นเสี่ยงกว่าการถือพันธบัตรรัฐบาลมากมาย เพราะฉะนั้นธุรกิจจริงๆ แล้วจะต้องจ่าย 17-19 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะใกล้เคียงกับผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล!

เพราะฉะนั้นถ้ามีการปรับดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลให้ต่ำลง ก็จะมีผลในการดึงโครงสร้างดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ให้ต่ำลง รวมทั้งต้นทุนของเงินทุนของธุรกิจ ซึ่งก็จะช่วยให้มีการระดมเงินออมจากประชาชนเข้ามาลงทุนในหุ้นของกิจการต่างๆ มากขึ้น

ทั้งหมดนี้สามารถทำเป็น PACKAGE ที่จะช่วยให้เกิดผลตามเป้าหมาย 2 ประการดังที่พูดข้างต้น คือ ทำให้เงินกู้ระยะสั้นเป็นเงินกู้ระยะยาว และเปลี่ยนหนี้ให้เป็นทุน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us