Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2529
ยีสต์ 100,000 ล้านบาท การค้นพบเพื่อปฏิวัติวงการอาหารและเครื่องดื่มของโลก             
โดย เรืองยศ จันทรคีรี
 


   
search resources

Food and Beverage




"ยีสต์นั้นเป็นจุลินทรีย์ที่รู้จักกันดี มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นคาร์บอนไดออกไซด์และแอลกอฮอล์ มันจึงเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มของโลก ...แต่ยีสต์ในสายพันธุ์ที่ถูกค้นพบในเมืองไทยครั้งนี้มีจุดเด่นหลายอย่างทั้งที่ทนอยู่ได้ในอุณหภูมิสูง 40 องศาเซลเซียส สามารถที่จะตกตะกอนได้ดีเมื่อสิ้นสุดขบวนการการหมัก ...คุณประโยชน์มหาศาลของมันยังมีอีกมากมายและหากเชื้อยีสต์นี้ได้รับการเอาไปใช้อย่างเหมาะสมแล้ว มันสามารถที่จะพลิกโฉมหน้าของวงการเหล้า, อาหารและน้ำตาลได้เกือบจะหน้ามือเป็นหลังมือ...เช่นนี้เองจึงทำให้ญี่ปุ่นขวนขวายทุกวิถีทางที่จะได้สูตรลับอันนี้ไปครอบครองไว้..."

"ยีสต์" จุลินทรีย์ความยาวเพียง "ไมครอน" แต่คุณค่ามหาศาล...

เรารับทราบเพียงสั้น ๆ ว่า "นักวิทยาศาสตร์ไทยผู้หนึ่งสามารถค้นคว้าจนพบยีสต์สายพันธุ์ชนิดหนึ่งขึ้นมา มีคุณสมบัติที่น่าสนใจยิ่งกว่ายีสต์หลายชนิดในโลกนี้อีกทั้งหากถูกนำเอาไปใช้อย่างเหมาะสมแล้วก็จะพลิกวงการอาหารและเครื่องดื่มของโลกกันเลยทีเดียว..." ข้อมูลอันนี้ได้รับการเปิดเผยจากชาคริต จุลกะเสวี ประธานอนุกรรมการ ปชส. ของคณะกรรมการร่วมภาครัฐบาล และเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ...ซึ่งเป็นผู้ที่สนใจความคืบหน้าในวงการวิทยาศาสตร์ของไทยเราอย่างดีอีกผู้หนึ่ง

หลังจากนั้นแล้ว "ผู้จัดการ" ก็เริ่มเข้าห้องสมุดเพื่อค้นคว้าเรื่องยีสต์เป็นการใหญ่ เอาไว้เป็นต้นทุนในการบุกเจาะข่าวสารชิ้นต่อไป

เราเริ่มต้นศึกษาเรื่องยีสต์เกือบจะพร้อม ๆ กันกับอรรนพ ศรีรัตน์ หัวหน้าศูนย์บริการเบียร์สดของบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด ซึ่งเพิ่งเข้ารับงานในบริษัทของเขาสด ๆ ร้อน ๆ

เพื่อให้คุณ ๆ ผู้อ่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของเจ้ายีสต์นี้ มันเป็นอย่างไรและมีความสำคัญสักแค่ไหนจน "ผู้จัดการ" ต้องเอามานำเสนออย่างจริงจัง เราจึงต้องปูพื้นฐานและความรู้โดยทั่วไปเกี่ยวกับมันเสียก่อน...ยีสต์นั้นเป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่มีความยาวเพียง 2-3 ไมครอน แต่ก็มียีสต์บางชนิดที่อาจมีความยาวระหว่าง 20-50 ไมครอน เรียกว่าต้องใช้กล้องจุลทรรศน์เล็งกันดู

พูดถึงจุลินทรีย์กันแล้วนั้น นักชีววิทยาเขาถือว่าสาหร่ายนั้นจะเป็นจุลินทรีย์อย่างแรกที่มนุษย์ได้รู้จักกับมัน นับตั้งแต่โบราณที่คนในญี่ปุ่น, จีน, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และอินเดีย ได้รู้จักกับสาหร่ายแดงหรือที่เรียกว่า "จีฉ่าย" เอามันมาประกอบเป็นแกงจืดในรายการอาหาร ไทยเราในภาคเหนือและอีสานนั้น ก็ใช้ "เทาน้ำ" มาปรุงประกอบอาหาร มันล้วนเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางด้านอาหารสูง

จุลินทรีย์ที่เป็นประเภท "แบคทีเรีย" บางชนิดนั้นก็มีประโยชน์ต่อมนุษย์เราเช่นกันดังจะเห็นจากการผลิต "บูทานัล" ซึ่งเป็นประโยชน์ในอุตสาหกรรมยางสังเคราะห์, สีทาวัสดุและอุตสาหกรรมพลาสติก

ทีนี้มาถึงจุลินทรีย์ที่เป็น "ยีสต์" มันสามารถที่จะผลิตเอธิลแอลกอฮอล์ เอามาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มต่าง ๆ ทั้งไวน์, เบียร์, วิสกี้ เป็นต้น...โดยมันจะให้คุณสมบัติแตกต่างกันออกไปจามสายพันธ์ของยีสต์นั้น ๆ

ปกตินั้นเขาจะเอายีสต์ไปเลี้ยงอาหารจำพวกน้ำผลไม้หรือเมล็ดธัญพืช แล้วมันก็จะเปลี่ยนน้ำตาลในพืชนั้นให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งนักเคมีก็เขียนสูตรออกมาดังนี้-

C6H12O6-2C2H5OH+2CO2

เจ้าสมการนี้เองแหละที่เป็นต้นตอนำไปสู่ผลสำเร็จในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลก...

ว่ากันว่าถึงยีสต์ที่ถูกเอามาใช้ประโยชน์ในงานอุตสาหกรรม กล่าวกันว่านักชีวะที่มีชื่อว่า ล็อดเดอร์ เขาได้แบ่งยีสต์ออกทั้งหมดเป็น 39 จีนัสและ 349 สปีชีส์...แม้ว่ายีสต์จะมีเป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเราเปรียบเทียบกับแบคทีเรียทั่วไป แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังค้นพบว่ายีสต์นั้นอาศัยอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งในสภาพธรรมชาติ มันมีเซลล์เดียว มีนิวเคลียสเคลื่อนไหวไม่ได้ รูปร่างมักจะเป็นรูปไข่แต่ก็มียีสต์หลายชนิดที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เช่น ยีสต์ที่ทำขนมปัง, ทำเบียร์ เพราะมันจะมีการสร้างแอสโคสปอร์สำหรับขยายพันธุ์

ปูมตำราเครื่องดื่มของโลกบอกไว้ว่า แอนโทนี เวน ลิวแวนฮุค เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่ามียีสต์อยู่ในเครื่องดื่มที่ได้รับจากการหมัก ต่อจากนั้นทั้งแค็กเน็ร์ด เดอลาตอร์, คู๊ทซิง,ชูวานน์ ก็ได้ศึกษาและรายงานว่ายีสต์นั้นมีรูปร่างอยู่หลายแบบ...ยีสต์ที่มีรูปร่างคล้ายผลมะนาว คือ Hanseniaspora และ Kloekera เราจะพบในการหมักผลไม้ตามธรรมชาติ มันจะให้กลิ่นเฉพาะที่แปลก การเจริญเติบโตของยีสต์นั้นจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของแต่ละชนิด จำนวนยีสต์ ความชื้น หรือปริมาณของน้ำที่เป็นประโยชน์ ความเข้มข้นของน้ำตาลและส่วนประกอบอาหาร ความเป็นกรดและด่าง ปริมาณของออกซิเจน เวลาและอุณหภูมิ....สรุปแล้วก็คือเรื่องของยีสต์นั้นเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งและมากมาย

ทั้งหมดข้างต้นที่กล่าวถึงนั้น เป็นความรู้โดยทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับยีสต์ หากจะมาว่ากันในรายละเอียดเสียทุกสปีชีส์เราก็คงได้ตำราทางชีววิทยาอย่างดีเสียสองเล่มโต ๆ เท่านั้นเอง คุณลักษณะของยีสต์แต่ละสายพันธุ์นั้น มันจะมีข้อดีและข้อด้อยผิดแผกกันออกไปอีก เช่น แม้ยีสต์ส่วนมากจะมีไขมันอยู่น้อย แต่ก็มีบางชนิดที่กลับมีไขมันมาก ได้แก่ Rhodotorula glutinin,Lipomyces starkeyi,Candida pulcherrima เป็นต้น และจากคุณสมบัติเหล่านี้ก็จะกลายเป็นตัวกำหนดที่จะเอายีสต์แต่ละอย่างไปใช้ประโยชน์ในงานที่ไม่เหมือนกัน เช่น Saccharomyces เป็นยีสต์ที่มีปริมาณของไขมันเล็กน้อย จึงมีประโยชน์ในการผลิตขนมปัง

หรือว่ายีสต์บางชนิดก็มีสารที่เป็นเกราะหุ้มเซลล์หรือเรียกว่าแคปซูล มีลักษณะเป็นเมือก สารที่เป็นแคปซูลนั้นจะประกอบไปด้วย ฟอสโฟแมนแนน,เฮทเทอโรโพลีเซคคาไรด์ และสปิงโกลิปิด โดยยีสต์ที่จะสร้างสารเหล่านี้ก็ได้แก่ยีสต์ชนิด Hansemula, Pichia,Pachysolen ส่วนยีสต์จำพวก Cryptococus และ Lipomyces ก็กลับสร้างเมือกชนิดอื่น ๆ ขึ้นมา ซึ่งจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลที่มีคาร์บอน 5-6 อะตอม บางกรณีก็อาจจะมีกรดกลูโคยูโรนิกอยู่ด้วย จะเห็นว่าในทางชีววิทยานั้นคุณสมบัติของยีสต์จะมีลักษณะเฉพาะของมัน... แม้ในการใช้ยีสต์จะมีลักษณะเฉพาะของมัน..แม้ในการใช้ยีสต์เพื่อผลิตเครื่องดื่มที่มีเอทิลแอลกอฮอล์เขาก็จะคำนึงถึงกลิ่นรสของเครื่องดื่มนั้น ๆ จึงทำให้มีการใช้ยีสต์ที่แตกต่างกันออกไป เบียร์นั้นจะใช้ Saccharomyces Cervisiae หรือ S.Carlsbergensis ส่วนที่เป็นเหล้ารัมก็จะใช้ S.Cerevisiae วิสกี้ใช้ยีสต์ S.Cervisiae และกรณีของไวน์ก็เป็น Saccharomyces ellipsoides

เมื่อเราต่างรับทราบถึงคุณค่าและลักษณะทางธรรมชาติทั่วไปของยีสต์พอเป็นสังเขป...ก็คงเกิดความอยากรู้ขึ้นมาทันทีทันควันว่า ก็แล้วไอ้ยีสต์ที่เขาค้นคว้าขึ้นมาในเมืองไทยนั้นมันมีอะไรเด่นนักหนากันหรือ?

ครับ...รับรองว่ามีแน่ ๆ ขอเชิญคุณผู้อ่านติดตามกันต่อไป!….

มันคือเจ้า "candida kursei" ไอ้ยีสต์แสนล้านบาท

จากการเปิดเผยของ ดร. จรูญ คำนวนตา บุรุษผู้ค้นพบยีสต์ตัวนี้ ได้กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ในเรื่องของสปีชีส์นั้นมันคงเดิมแต่มันเป็นยีสต์สายพันธุ์ใหม่ที่เราได้ค้นพบขึ้น...ข้อดีของยีสต์นี้ก็คือความสามารถที่ทนอยู่ได้ในอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส แล้วเชื้อนี้ยังสามารถตกตะกอนได้เมื่อสิ้นสุดการหมัก" เชื้อยีสต์นี้มีชื่อในทางชีวะว่า "camdida krusei' มันเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่สามารถหมักแอลกอฮอล์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเรานั้นก็มีการใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบด้วย มันเป็นเชื้อที่มีความเหมาะสมกับการหมักในระบบต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการหมักในลักษณะสมัยใหม่ (มีถังหมักเป็นแบบหอคอยยาว ๆ) ดร. จรูญย้ำถึงวิธีทำงานของตัวเองซึ่งมุ่งถึงการหมักในแนวใหม่อันนี้ การหมักในวิธีการใหม่ตามที่ "ผู้จัดการ" กล่าวมายังสามารถที่จะทำให้มีเซลล์ยีสต์มากเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าของการหมักในแบบธรรมดา...จากคุณสมบัติของยีสต์สายพันธุ์ที่ค้นพบเมื่อเอามาใช้กับการหมักในวิธีค้นคว้าดังกล่าว ดร. จรูญยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า "เมื่อสิ้นสุดการหมักแล้วสามารถทิ้งให้ตกตะกอน จากนั้นก็แยกยีสต์ออกมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ ซึ่งจะมีโปรตีนสูงถึง 40-50 เปอร์เซ็นต์"

จากคุณสมบัติดังกล่าวและจากสภาพข้อเท็จจริงของเมืองไทยเรากากน้ำตาลมันราคาถูกมากเหลือเกินประมาณกันว่าตกกิโลกรัมละ 1 บาทซึ่งถ้านำเอามาเลี้ยงยีสต์ตัวนี้ เราก็จะสามารถผลิตอาหารสัตว์ได้อย่างคุ้มค่าทีเดียว....อันนี้เป็นคุณสมบัติที่เด่นชัดอีกประการของเจ้ายีสต์ตัวนี้...

"วิธีการแยกยีสต์นั้นค่อนข้างจะทำได้ง่าย มีความเป็นไปได้สูงที่จะทำงานนี้ขึ้นมา ผมลองคิดดูว่า ถ้าเราเลี้ยงยีสต์ 1 กิโลกรัม ใช้กากน้ำตาล 3 กิโลกรัม โดยคิดในระดับที่ว่าเรายังไม่มีเทคโนโลยีมากอย่างที่เรามีอยู่ในประเทศขณะนี้ ต้นทุนรวมของขบวนการผลิตน่าจะตกกิโลละ 5 บาท ซึ่งน่าจะผลิตได้ไม่ต่ำกว่า 40% แต่ถ้าการผลิตของเรามีประสิทธิภาพสูง เราก็ยังสามารถลดต้นทุนได้มากกว่านี้ แล้วเมื่อคำนึงว่าเราได้สั่งกากถั่วเหลืองเข้ามาเป็นอาหารสัตว์ ต้นทุนขนาดที่ผมคิดให้สูง ๆ นี้ มันยังคุ้มกว่า น่าจะทดแทนกากถั่วเหลืองเหล่านั้นได้ดี...สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ของใหม่อะไรหรอกที่จะสร้างอาหารสัตว์จากยีสต์ทั้งในไต้หวัน, สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น หรือยุโรปนั้นเขาก็เลี้ยงยีสต์กันอย่างนี้แหละ..." ดร. จรูญกล่าวถึงอีกหนทางหนึ่งที่จะใช้ประโยชน์จากยีสต์ ซึ่งย่อมแน่นอนว่าเมื่อเป็นเชื้อยีสต์ชนิดนี้ บวกเข้ากับการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการผลิตให้สูงขึ้น ก็ยิ่งกดต้นทุนสร้างอาหารสัตว์ด้วยกรรมวิธีให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

แต่ก็นั่นแหละ...เป็นที่น่าเสียดายเพราะเรายังไม่มีการพัฒนาเรื่องนี้ไปถึงไหนเลย คงต้องก้มหน้าก้มตาสั่งเข้ากากถั่วเหลืองอยู่เป็นประจำทุก ๆ ปี

แม้กระทั่งปลาป่นที่เอามาใช้เป็นอาหารสัตว์ โปรตีนจากยีสต์นี้ยังคงดีกว่าและต้นทุนต่ำกว่ามากด้วย อีกนั่นแหละ...เมื่อการค้นพบนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยและโดยคนไทย มันก็ย่อมไม่มีอะไรอีกเช่นเคย...

"ผมยังมองไปอีกว่า แทนที่เราจะใช้กากน้ำตาลล้วน ๆ เอามาหมัก ถ้าสมมุติเราใช้จากโรงเหล้า ซึ่งจะมีน้ำตาลอยู่ส่วนหนึ่งแล้วเติมน้ำตาลลงไปเพิ่มอีกเล็กน้อย มันจะยิ่งเป็นเรื่องที่คุ้มค่าเหลือเกินที่จะผลิตอาหารของสัตว์ขึ้นมา..." ดร.จรูญชี้แจง

ยีสต์โดยทั่วไปนั้นอันที่จริงก็สามารถที่จะเอามาผลิตอาหารสัตว์ได้ แต่มันจะต้องเอาเซลล์มาแยก ซึ่งจะต้องใช้เทคโนโลยีที่ราคาแพงมาก ผิดกับยีสต์สายพันธุ์ใหม่ที่ ดร. จรูญค้นพบ "เพราะการตกตะกอนที่เป็นคุณสมบัตินั้น เท่ากับเป็นการลดค่าเทคโนโลยีกันเลย อย่างยีสต์ที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้วจากโรงเหล้า มันหมักเสร็จมันก็ลอยกันอยู่ แยกออกไม่ได้ เราก็ทิ้งไปปี ๆ หนึ่งมหาศาลทีเดียว มูลค่านับเป็นร้อยล้าน มันเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล กิจการโรงเหล้าปี ๆ หนึ่งเราทิ้งไปเท่าใด หนำซ้ำยังก่อสภาพของมลพิษอีกด้วย ไอ้ตัวยีสต์นั้นภาษาเดิมเราเรียกกันว่าส่า..."

ยีสต์ตัวนี้ตามความเป็นจริงแล้วมันยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกมากมาย แต่สำหรับเฉพาะทดลองวิจัยของ ดร. จรูญและทีมของเขานั้น เท่าที่ผ่านมาเพิ่งจะทำการทดสอบอย่างจริงจังเฉพาะในเรื่องของการสร้างโปรตีน อย่างเราจะเห็นชัดเจนว่าประเทศญี่ปุ่นที่ได้เอาเชื้อยีสต์นี้ไปก็เอาไปใช้ในการหมักแอลกอฮอล์ สามารถสร้างธุรกิจเหล้าได้นับเป็นมูลค่าหมื่น ๆ ล้านบาท

ทีมงานวิจัยใน "เซ็นทรัลแล็บ" ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเจ้ายีสต์ตัวนี้ (ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม) ได้เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" เช่นกันว่า "จุลินทรีย์ที่ค้นพบนั้นช่วยในการหมักแอลกอฮอล์ที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นยีสต์ที่เราทดลองโดยมี ดร. จรูญ คำนวนตา เป็นหัวหน้าโครงการก็ได้มันออกมาประมาณ 3-4 เบอร์ เบอร์ที่ดีที่สุดนั้นเราก็มีสูตรของเรา ในส่วนที่ญี่ปุ่นเขาขอไปนั้น เราได้ให้เบอร์ที่รอง ๆ ลงไป เพราะอันนี้หัวหน้าโครงการเขาเป็นผู้ตัดสินใจ เราให้เบอร์ 2, 3 ไป... เข้าใจว่าเขาเอาไปใช้มากในการสร้างธุรกิจเหล้า.."

ถ้าหากมีการส่งเสริมและพัฒนาการวิจัยไปให้มากกว่านี้ สิ่งหนึ่งที่จะก่อประโยชน์ติดตามมาจากเชื้อยีสต์ดังกล่าวนี้ก็คือ อุตสาหกรรมส่งออกแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังมีอนาคตอยู่ในโลกเราทุกวันนี้ ดร. จรูญฯ ได้เคยศึกษาเกี่ยวกับอนาคตของเจ้าสิ่งนี้มาก่อนเขาให้ความคิดเห็นว่า "ปัจจุบันอุตสาหกรรมส่งออกแอลกอฮอล์มันยังมีลู่ทางแจ่มใสอยู่ แอลกอฮอล์นั้นจะมีการใช้กันมากทีเดียว ทั้งในด้านเภสัชกรรมและด้านอื่น ๆ อีกมาก หลายประเทศยังมีความต้องการซื้อถ้าหากเรามีฝ่ายขายที่ดี เรายังสามารถขยายตลาดด้านนี้ไปอีกกว้างขวาง อันนี้ผมพิจารณาจากแนวโน้มของการส่งออกที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่เท่าที่ดูต้นทุนของการผลิตในทุกวันนี้มันยังสูงอยู่ ความจริงแล้วต้นทุนผลิตอันนี้เราสามารถลดลงได้อีกมากนัก ทุกวันมันทำอุตสาหกรรมเพียงในระดับพอไปได้ เท่าที่ผมทราบอุตสาหกรรมหมักแอลกอฮอล์นั้นจะทำกันในครอบครัว, เหล้า, อาหารสัตว์แล้ว คุณประโยชน์ของยีสต์ยังใช้ได้ดีในการทำอาหารประเภทหมักดอง โดยบวกเข้าไปกับแบคทีเรีย มันจำเป็นที่จะต้องใช้ยีสต์เหมือนกัน ที่เราเห็นง่าย ๆ ก็เป็นการทำขนมปัง ขนมตาล ข้าวหมาก ฯลฯ ยิ่งเป็นบางประเทศที่มีแหล่งผลิตอาหารจากโปรตีนจำกัดเขายิ่งมีการผลิตยีสต์กันเป็นอาหารมากขึ้น เช่น ประเทศโซเวียตรัสเซียนั้นนับว่ามีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้มาก บางแห่งยังมีการลงทุนผลิตเป็นรูปของวิตามินเอาไว้ขาย

หัวข้อของการศึกษาเพื่อพัฒนาเอายีสต์นี้ไปใช้ประโยชน์มันยังมีอีกมากมายจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงถ้าเราจะกล่าวว่า "เจ้ายีสต์นี้มีมูลค่านับเป็นแสน ๆ ล้านบาท…ดร. จรูญผู้ค้นพบเชื้อนี้ก็เคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ที่คุณว่ามันมีค่าแสนล้านบาทนั้น ความจริงมันก็มีความเป็นไปได้มากทีเดียว เป็นเรื่องที่ไม่เกินจริงหรอกหากเราพัฒนาหยิบเอาประโยชน์ของมันมาใช้ให้ถูกต้อง!..."

ครับ...ความจริงเป็นกันเช่นนั้น แต่ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่มันไม่ได้แปรออกมาเป็นประโยชน์อะไรเลยสำหรับเมืองไทยเราไม่ได้แปรออกมาเป็นสตางค์แม้เพียง "บาทเดียว"

เมืองไทยใกล้เกลือกินด่าง....ต่างประเทศวิ่งขอเชื้อวุ่น..

จากการค้นพบในเรื่องนี้ก็เข้าทำนอง "ใกล้เกลือกินด่าง" เริ่มต้นนั้นก็สืบเนื่องมาจาก "เซ็นทรัลแล็บ" หรือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน นั้นได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นในรูปของเงินให้เปล่า โดยเฉพาะในหน่วยงานของ "กองบริการและเผยแพร่วิชาการแก่ชุมชน" โครงงานนี้ได้รับเงินโดยตรงจากญี่ปุ่นเมื่อปี 2521 เป็นเงินทั้งสิ้น 130 ล้านบาท เรื่องเหล่านี้มันเป็นบุญคุณพื้นฐานเดิมกันอยู่เป็นการลงทุนเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือให้เกือบทั้งหมด

แหล่งข่าวใน "เซ็นทรัลแล็บ" ท่านหนึ่งก็ได้เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า.. "ในส่วนที่ญี่ปุ่นเขาสนใจนั้นเพราะเรามีข้อแลกเปลี่ยนกับเขาในเรื่องของงานวิจัย งานวิจัยทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นของหมักดอง ญี่ปุ่นเขาก็พยายามที่จะแยกเชื้อกลับประเทศของเขาให้ได้ เราไม่มีมาตรการอะไรที่จะควบคุมญี่ปุ่นในการที่เขาจะเอา แต่อย่างเรื่องยีสต์นี้ เราได้แยกเชื้อเบอร์หนึ่งของเราเก็บเอาไว้.." ในเรื่องของเทคโนโลยีนั้นจะเห็นว่านานาอารยประเทศเขาล้วนส่งเสริมกันอย่างจริงจัง เหมือนญี่ปุ่นนั้นถึงกับต้องทุ่มเทเงินทองมาเพื่องานวิจัยและค้นคว้าด้านเทคโนโลยีจนนอกขอบเขตประเทศของตัว..ใคร ๆ เขาก็ล้วนทุ่มเทและให้ความสนใจกันทั้งสิ้น มันเป็นเหตุผลที่จะไปสู่ความมั่งคั่งของประเทศชาติ...

แต่...ไม่ใช่เมืองไทยเราหรอก...

ดร. จรูญได้เปิดเผยในเรื่องที่ญี่ปุ่นให้ความสนใจต่อเชื้อยีสต์นี้ว่า "เราได้ทำงานร่วมกับญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นเชื้อนี้ก็ทราบว่าญี่ปุ่นเขานำไปใช้ในบางโรงงานแล้ว มีหลายประเทศที่ติดต่อมาหาเรา เท่าที่ติดต่อมาก็มี สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, อังกฤษ เขาขอเข้ามาแต่เรายังไม่ได้ให้ เพราะเขาไม่ได้ให้อะไรเราเลย ขอกันมาเฉย ๆ เราไม่ได้มีการเจรจาอะไรกัน โดยความตั้งใจจริงแล้วเราอยากจะเอาเชื้อยีสต์นี้ใช้กันในเมืองไทยของเราเองมากกว่า ... มันไม่เชิงว่าเป็นเรื่องลับสุดยอดอะไรเสียเลยทีเดียว แต่กว่าที่เราจะค้นพบได้นั้นก็ต้องเสียเวลาและเสียเงินไปหลายแสนบาท ถ้าจะให้ง่ายๆ ด้วยการมาขอนักวิชาการมันก็กระไรอยู่ เชื้อพวกนี้ถ้าเขาค้นพบแล้วเราไปขอเขาๆ ก็คงไม่ให้เราเหมือนกัน..."

ในวงการของนักวิจัยทางเคมีและชีววิทยาในบ้านเรา ต่างกล่าวกันเป็นเสียงเดียวกันว่า "เรื่องยีสต์นั้นอาจารย์จรูญในฐานะผู้ค้นพบและ"เซ็นทรัลแล็บ" ซึ่งเป็นเจ้าของเรื่อง ก็อยู่ในฐานะที่อึดอัดใจมาก เพราะญี่ปุ่นนั้นก็ช่วยในงานมาร่วมร้อยกว่าล้านบาทที่กำแพงแสนนี้ จะไปกีดไปกันอะไรนักก็คงไม่ได้"

ดร.จรูญบอกในประเด็นนี้กับ "ผู้จัดการ" ว่า ... "เพราะฉะนั้นผมก็ไม่มีทางที่จะกันอะไรเขาได้ เขาส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ร่วมกับเรา เราก็ต้องให้เขาไป ผมคิดว่าในตอนนี้เขาได้รู้พอ ๆ กับเราแล้ว.."

แหล่งข่าวบางท่านในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยังบอกกับ "ผู้จัดการ" จนถึงขั้นว่า "เรื่องนี้จะพูดกันมากนักก็ไม่ได้ เงินที่ญี่ปุ่นช่วยเหลือเรามันค้ำคอกันอยู่ หากจะโทษก็ต้องโทษรัฐบาลไทยเราเองที่ไม่ได้เล็งเห็นคุณค่ามันสมองของนักวิทยาศาสตร์ไทย แล้วรัฐบาลเองก็ยังไม่เคยคิดจริงจังที่จะหาทางออกในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ ด้วยการเน้นและเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี.." นักวิชาการท่านนั้นปฏิเสธที่จะให้เปิดเผยนามจริง ทั้งนี้เพราะ "ยังติดงานวิจัยที่ค้างอยู่กับญี่ปุ่นอีกหนึ่งโครงการ..."

ด้านความพยายามของญี่ปุ่น แม้ว่า "เซ็นทรัลแล็บ" จะมอบยีสต์เบอร์2 และเบอร์ 3 ให้ไปแล้ว "วงใน" ที่เคยทำงานร่วมกับ ดร. จรูญยังบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า "เราคิดว่าเขาพยายามที่จะเอาเชื้อยีสต์เบอร์ 1 ไปให้ได้ ไม่ใช่ผมจะระแวงอะไรนะครับ เขาลงทุนถึงกับใช้นักวิจัยสตรีสาว ๆ มาประกบคนของเรา พูดได้ว่ามีความพยายามทุกรูปแบบที่จะล้วงตับไปกินเอาให้ได้ แล้วเรื่องนี้ทางเราก็ไหวตัวทัน แต่ไม่มีใครโวยอะไรหรอกฮะ .. มันเป็นเรื่องลูกกระเดือกที่หลายคนกลืนไม่เข้าและคายไม่ออก..."

เรื่องยีสต์นี้... มันอาจจะสำคัญกว่าที่ "ผู้จัดการ" ได้เขียนถึงในข้างต้นเสียอีก...เพราะมิฉะนั้นแล้วคงไม่ต้องถึงกับมี "แผนล้วงตับสีชมพูกันหรอก...

ความสำคัญนั้นญี่ปุ่นคงจะรู้ดี...แต่ไม่ใช่รัฐบาลไทยรู้เด็ดขาด... ไม่มีผู้สนับสนุน...นอกจากต่างชาติเท่านั้นที่เห็น "ความสำคัญ"

การขึ้นหัวเรื่องในวรรคท่อนนี้ ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่รู้สึกเจ็บปวดลึก ๆ กันจริงเจียว ..แต่มันก็เป็นข้อเท็จจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ "เรื่องของมันสมองไหล.." จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นในเมืองไทยยากยิ่ง เราไม่อาจที่จะลงโทษนักวิชาการหรือนักวิจัยได้โดยตรง ใคร ๆ ก็ย่อมต้องการผลงานและความก้าวหน้าในวิชาชีพของตน โดยเฉพาะสถาบันที่มีหน้าที่ในการส่งเสริมงานวิจัยของบ้านเรา ยังมีขอบเขตที่จำกัดมากจึงยังเป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าด้านนี้

จากการค้นพบเชื้อยีสต์ตัวนี้ จะเห็นว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นได้นำเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวางแล้ว แม้กระทั่งในการสร้างธุรกิจเหล้า แต่สำหรับทีมงานวิจัยพันธุ์แท้ลูกหม้อแท้ ๆ ยังไม่ได้มีโอกาสที่จะทำการทดลองเพื่อเอายีสต์ตัวนี้มาใช้ประโยชน์ให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งสาเหตุนั้นเนื่องมาจาก "ขาดการสนับสนุน และไม่ได้รับความสนใจเพียงพอ.."

"เรายังไม่ได้ทดสอบคุณภาพของยีสต์ในเรื่องแอลกอฮอล์เพื่อเอามาเป็นเครื่องดื่ม มันจะต้องใช้ทุนวิจัยอีกมากนักเป็นการยากที่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยจะได้ทุนวิจัยมา 2-4 ล้านบาท ไม่มีใครเขาสนใจให้หรอกครับ ครั้นขอไปได้มาเพียง 2-3 แสน เราก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ งบวิจัยนั้นสูงมาก เพราะเราจะต้องนำผลออกมาให้ได้ว่ามันจะทำได้หรือไม่ได้เพียงไหน ถ้าเราทำเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ผลิตยีสต์ออกมาสักกิโลฯ หรือครึ่งกิโลฯ ดูท่าว่าไม่มีวันวิเคราะห์ออกมาถูกต้องแน่นอนแต่พอจะทำเป็นสากลที่จะให้พอเลี้ยงสัตว์ได้ สัตว์เป็นอย่างไรให้เน้นลงไปมันก็ต้องใช้เงินมากพอสมควร ไม่มีใครอยากให้..." ดร.จรูญผู้พบเจออุปสรรคด้วยตนเองที่จะทำงานให้ได้ต่อเนื่องให้ความเห็น

แม้กระทั่งด้านสภาวิจัยฯ นั้นก็เป็นที่รับทราบกันดีแล้วในวงการของนักวิจัยว่า "มีงบประมาณที่จำกัดมากทีเดียว เคยให้งบวิจัยครั้งละแสนหรือสองแสนบาท ไม่มีโครงการใหญ่ ๆ ที่จะใช้เงินกันเป็นล้านบาท…"

เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้ ... สภาพของปัญหามันเป็นกันเช่นนี้ จึงไม่มีทางออกใด ๆ ที่จะดีกว่าการยอมรับเงื่อนไขของต่างชาติที่ยินดีสนับสนุนในโครงงานการวิจัยใด ๆ ของนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ชาวไทย ...ในรูปแบบที่เปิดเผยของเขานั้นก็คือ "การให้เปล่า.." แต่อีกด้านของข้อเท็จจริง เขาก็เล็งเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า "มันเป็นเรื่องคุ้มค่าพอต่อการลงทุน"

คนไทยมีสมองที่ชาญฉลาดพอ เมื่อรัฐบาลไทยเองไม่เคยใช้ ต่างชาติเหล่านั้นจึงถือโอกาสเป็นช่องว่างแทรกเข้ามา เรื่องราวเหล่านี้เราจะไปโทษเขาก็ไม่ได้ทั้งสิ้น

นักวิชาการเองก็ไม่อยากให้ภูมิความรู้หรือวิทยาการของตนต้องเฉาตายไปเหมือนกัน มันเป็นการทำหน้าที่ค้นคว้าและวิจัยตามภาระของเขาเองที่ถูกต้องและเท่าที่เงื่อนไขจะเอื้ออำนวยให้!…

เป็นเรื่องที่พูดยากสำหรับประเทศด้อยพัฒนา!….

เมื่อเราหันกลับมามอง "ความหวัง" ที่เกิดจากธุรกิจการลงทุนของฝ่ายเอกชนซึ่งอาจจะเป็นตัวที่รับรองและสนับสนุนได้ เงื่อนไขประการนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ภายในประเทศ ทั้งนี้และทั้งนั้นคงต้องหยิบเอาคำพูดของ พรเสก กาญจนจารี มาอ้างถึง "เมืองไทยเรานั้นส่วนมากแล้วเรายังไม่มีงานอุตสาหกรรมกันเลย สิ่งที่เรามีอยู่นั้นมันเป็นเพียงธุรกิจอุตสาหกรรมเท่านั้นเอง" ธุรกิจอุตสาหกรรมจึงไม่ค่อยเห็นถึงความสำคัญในการวิจัย และค้นคว้าเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองให้ดีขึ้น...เพราะพวกเหล่านี้เขาล้วนใช้เทคโนโลยีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งสิ้น มันเป็นเพียงมีโรงงานอุตสาหกรรมที่ก้มหน้าก้มตาสร้างผลผลิตเพื่อขายลูกเดียว แต่ไม่เคยมีการวางรากฐานที่จะยืนบนแข้งขาของตัวเองในด้านของเทคโนโลยี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเกิดปัญหาที่จะมาต่อกันติดกับบรรดานักวิชาการและนักวิจัยทั้งหลาย

ดร. จรูญให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจว่า "ผมเองนั้นมองว่า มันมีช่องว่างระหว่างนักวิชาการกับนักลงทุนส่วนใหญ่ในประเทศ อย่างนักวิชาการนั้นเขาจะค้นคว้าหรือศึกษาเรื่องใด ๆ เขาก็จะต้องมองความเจริญก้าวหน้าในต่างประเทศเสียก่อนเป็นหลักสำคัญ มองไปว่าของต่างประเทศก้าวหน้าอย่างไร ก็จะพยายามทำให้มันเหมาะสมกับบ้านเรา... แต่นักลงทุนต่าง ๆ นั้น เขาพอใจที่จะซื้อทุกสิ่งมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น แล้วเมืองนอกนั้นนักวิชาการก็ค่อนข้างจะมากเสียด้วย จึงเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่เขาจะมาสนใจเราเหมือนอย่างสมัยก่อนโน้น เราสามารถเข้าไปได้เพียงโรงเหล้าในต่างจังหวัดเล็ก ๆ ที่เขาไม่มีผู้เชี่ยวชาญไม่มีนักวิชาการ แต่อย่างในกรุงเทพฯ เขาไม่สนเราหรอก..."

มันก็เป็นเรื่อง "แปลกดีนะ.." ที่เจ้ายีสต์ตัวดังกล่าวเริ่มเข้าไปมีอิทธิพลต่อวงการธุรกิจเหล้าของญี่ปุ่น "งานวิจัยของผมเป็นที่ยอมรับกันมากในญี่ปุ่น เป็นที่ฮือฮาของพวกเขา โดยเฉพาะในหมู่ที่ทำเหล้าแอลกอฮอล์และทำเชื้อยีสต์นี่ เขารู้จักผมดี..." ดร.จรูญชายผู้มีหน้าตาและท่าทางสงบเสงี่ยม คงไม่ได้มีเจตนารมณ์อะไรที่จะคุยฝอยยกเมฆหรือยกตัวเอง หากแต่เป็นการพูดข้อเท็จจริงออกมาอย่างขื่น ๆ ระคนน้อยใจกับ "ผู้จัดการ" ...มันเป็น "เรื่องแปลกดีนะ" สำหรับบ้านเราที่การค้นพบดังกล่าวไม่ได้รับความสนใจแต่อย่างใดจากฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งคงเป็นด้วยเหตุผลหลายประการทีเดียว งานที่ดำเนินมาจนถึงจุดนี้จึงเหมือนยังอยู่ในจุดที่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ "การทำงานที่ผ่านมานั้นมันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ แต่จริง ๆ แล้วเรายังต้องการผู้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องทางวิศวกรพวกนี้จะต้องเข้ามาดูด้วย เพราะฉะนั้นการวิจัยมันต้องเป็นทีมใหญ่ ไม่ใช่เพียงคนหรือสองคน แต่ส่วนที่เราทำมามันก็เป็นขั้นตอนหนึ่งของความสำเร็จ ยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์ที่จะเอาไปใช้ลงทุนทำออกมา ความต้องการข้อมูลวิจัยคงมีอีกพอสมควรแล้ว" ดอกเตอร์หนุ่มใหญ่ชี้แจงถึงเหตุผลของความต้องการเงินทุนวิจัย เพื่อที่จะผลักดันการค้นคว้าใช้ประโยชน์จากยีสต์ดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จ...

แต่มันคงจะยากพอสมควร!….

แล้วใครจะรู้บ้างเล่าว่า "เพียงได้เชื้อยีสต์ไปนั้น.." ฝ่ายญี่ปุ่นเขาก็คงทำการทดลองต่อไปแล้วชนิดที่ทะลุปรุโปร่ง ...ดร. จรูญเองก็อาจจะไม่รู้เหมือนกัน!..

ดร. จรูญ คำนวนตา/เขาเป็นใครมาจากไหน?…

ชื่อและนามสกุลนี้คงจะเป็นที่ไม่มักคุ้นในวงนอกทั่วไป แต่สำหรับในแวดวงของนักวิทยาศาสตร์เมืองไทยนั้น หรืออาจจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ครึ่งค่อนโลกก็ได้ต่างยอมรับในฝีมือและรู้จักกับเขาดี..จรูญ เป็นเพียงไม่กี่คนในเมืองไทยที่มีความเชี่ยวชาญกับเรื่องของจุลินทรีย์อย่างดีเยี่ยม

หนุ่มใหญ่วัยย่างเข้า 44 ปีผู้นี้เป็นคนแม่ฮ่องสอนโดยกำเนิด เขาเป็นเด็กเรียนหนังสือเก่งมาโดยตลอดตั้งแต่เมื่อยู่บ้านนอกแล้ว เพียงศึกษาในชั้น ม.7-ม.8 (ในสมัยนั้น) จรูญฯก็ได้รับทุนของมูลนิธิฟุลไบรท์เข้าเรียนจนสำเร็จโรงเรียนปรินสรอยแยลส์ที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วศึกษาจนสำเร็จปริญญาตรีด้านจุลชีววิทยา คณะกสิกรรมและสัตวบาล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จากนั้นไปสำเร็จปริญญาเอกด้านเกษตรจากประเทศกรีก เรื่องที่ทำให้เขาได้ปริญญาเอกนั้นเป็นเรื่องของยีสต์และไวน์ล้วน ๆ!

ในปี 2517 เขาเคยเข้าฝึกงานเกี่ยวกับแบคทีเรียของเมล็ดพันธุ์ที่ประเทศเดนมาร์ก จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โคเปนเฮเกน ซึ่งเราถือว่าเป็นอีกแห่งหนึ่งของโลกที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องอาหารและการเกษตรเป็นอย่างดี ...ประสบการณ์ที่เขาได้รับรู้ในเรื่องยีสต์โดยตรงเกิดขึ้นเมื่อมีโอกาสได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยโตเกียวเพื่อทำการอบรมวิจัยในเรื่องยีสต์

จะเห็นว่า "ความเชื่อมือ" ที่ญี่ปุ่นมีต่อนักวิชาการท่านนี้เป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว เพราะผลงานของเขานั่นเอง จนกระทั่งต่อมาได้เป็นผู้ประสานงานตามโครงการวิจัยร่วมกับญี่ปุ่นถึง 3 โครงการใหญ่ด้วยกันคือโครงการวิจัยและพัฒนาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากญี่ปุ่นถึง 50 ล้านบาท, โครงการความร่วมมือด้านการวิจัย ร่วมกับสถาบันการวิจัยของประเทศญี่ปุ่นและโครงการความร่วมมือด้านการวิจัยร่วมกับสถาบันวิจัยและค้นคว้าเรื่องอาหารของประเทศญี่ปุ่น...โครงงานต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเรื่องของแอลกอฮอล์และยีสต์ทั้งสิ้น

ถ้าเราจะกล่าวในฝ่ายญี่ปุ่นนั้นได้เฝ้ามอง ดร. จรูญมาโดยตลอด ก็คงเป็นเรื่องที่กล่าวไม่ผิดความจริงสักเท่าใดนัก เขาจึงเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากสถาบันการศึกษาหลายแห่งของเมืองญี่ปุ่น และเมื่อไปรื้อดูปูมหลังเกี่ยวกับงานวิจัยของเขาเท่าที่เคยทำมานั้น เราจะยิ่งเห็นชัดเจนถึงพื้นฐานที่แน่นหนาอย่างดียิ่งในเรื่องของ "ยีสต์" ผลงานวิจัยของเขาในหัวข้อของ "ยีสต์" มีไม่น้อยกว่า 30 โครงงานเลยทีเดียว...

หนึ่งในงานวิจัยที่ถือเป็น "ไฮไลต์" นั้นคงจะได้แก่เรื่องที่ "ผู้จัดการ" ได้กล่าวถึงมาโดยละเอียดแล้วนั่นเอง งานวิจัยชิ้นนี้ถือว่าสามารถนำออกมาเผยแพร่จนถึงขั้นนำไปปฏิบัติ ซึ่งสรุปก็คือเป็นผลงานด้านการหมักแอลกอฮอล์ โดยเป็นการค้นพบยีสต์สายพันธุ์ใหม่ที่เหมาะสมสำหรับการหมักแอลกอฮอล์ในด้านอุตสาหกรรม ทำให้สามารถหมักแอลกอฮอล์ได้สูงขึ้น หมักได้เร็วขึ้น อีกทั้งทนต่ออุณหภูมิที่สูงได้ มีสภาพที่ทนต่อความเป็นกรด ซึ่งยีสต์ส่วนมากจะทนในลักษณะเช่นนี้ไม่ได้

นอกจากนั้นแล้วงานที่สำคัญอื่น ๆ ก็มี เช่น ได้นำระบบการหมุนเวียนน้ำส่าโดยใช้แรงดันอากาศเอาไปใช้ในโรงงานสุราทำให้เป็นการลดต้นทุนด้านพลังงานและทำให้ผลของการหมักดีขึ้น ...ผลงานในเรื่องการปรับปรุงระบบการหมักโดยใช้การหมักแบบเป็นขั้นเป็นตอนก็เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจ มันทำให้ได้รับแอลกอฮอล์ในน้ำส่าสูงขึ้น อีกทั้งเป็นการลดปัญหาของแบคทีเรียที่จะทำให้เกิดการสูญเสีย....ผลงานแนะนำให้ใช้รำข้าวแทนน้ำยากำจัดฟองที่ต้องสั่งซื้อมาจากต่างประเทศ ฯลฯ

และงานวิจัยอีกชิ้นที่ถือว่า "จะเป็นลู่ทางนำไปใช้ขั้นอุตสาหกรรมในอนาคตถ้าหากได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ" ซึ่งได้แก่ "การใช้ประโยชน์จากน้ำส่าเหล้าที่ทิ้งอย่างสูญเปล่า ให้เอามาเป็นอาหารของยีสต์เพื่อที่จะสร้างโปรตีนให้เป็นอาหารของสัตว์เลี้ยง.." ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นก็สามารถคัดเลือกพันธุ์ยีสต์ให้เจริญเติบโตในน้ำส่านั้นได้

มันก็คือไอ้ยีสต์แสนล้านเบอร์ 1 ที่เขา "ยังไม่ยอมให้ญี่ปุ่นไป.."

พูดถึงงานวิจัยและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยีสต์ของนักวิชาการผู้นี้ "ผู้จัดการ" คงไม่สามารถนำเสนอได้ในรายละเอียด..เอาเป็นว่า "เขาเก่งมากก็แล้วกัน.." เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องยีสต์ที่คงหาคนมาจับตัวได้ยาก ไม่เท่าแต่จะเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้นในขอบเขตที่ขยายออกไปทั่วโลก ชื่อ ๆ นี้ยังเป็นที่รู้จักไม่น้อยอยู่เช่นเดียวกัน

ดร. จรูญ คำนวนตา เป็นผู้ผลักดันให้เกิดการจัดตั้ง "ชมรมผู้หมักแอลกอฮอล์แห่งประเทศไทย" ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแกนสำคัญที่จะเผยแพร่ความรู้ทางด้านการหมักให้แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตของโรงงานสุราทั่วประเทศ ปัจจุบันเขาก็เป็นประธานฯ ของชมรมแห่งนี้อยู่

จากการทำงานวิจัยพร้อม ๆ กับเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าศูนย์คนแรกของศูนย์ปฏิบัติการวิจัยและเรือนปลูกพืชทดลองวิทยาเขตกำแพงแสน ซึ่งแน่นอนต้องเป็นเงินจากประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนอีกตามเคย จนตำแหน่งสุดท้ายของเขาคือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์...แต่แล้วในที่สุด ดร. จรูญก็อำลารั้วมหาวิทยาลัยไปเมื่อไม่นานมานี้

เหตุผลจริง ๆ ของเขาที่ลาออกอาจจะมีสาเหตุมาจากความอึดอัดใจหลายอย่าง แม้กระทั่งเรื่องยีสต์ตัวสำคัญดังกล่าวที่คงจะเป็นปัจจัยหนึ่งด้วย ...ในเรื่องนี้ไม่มีแหล่งข่าวใดกล้าจะยืนยัน เจ้าตัวเองก็ปฏิเสธที่จะพูดถึงมันเหมือนกัน แต่ว่ากันว่าสาเหตุอีกอย่างนั้นได้แก่ "ความเหม็นเบื่อบรรยากาศในมหาวิทยาลัย ซึ่งครูบาอาจารย์ล้วนขวักไขว่ที่จะแย่งชิงตำแหน่งต่าง ๆ ขอขั้นเป็นศาสตราจารย์และรองศาสตราจารย์กันให้เกลื่อน ปัดแข้งปัดขากันแทนที่จะหันไปสนใจและลุ่มลึกในผลงานทางวิชาการ..."

บรรยากาศในมหาวิทยาลัยของบ้านเรามันยังเป็นอุปสรรคที่นักวิชาการจะทนอยู่ได้ กลับกลายเป็นบรรยากาศที่เกิดปัญหาต่อการสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการ...

ทุกวันนี้ ดร. จรูญ คำนวนตา จึงลาออกจากมหาวิทยาลัย หันมาเป็นผู้ชำนาญการด้านวิทยาศาสตร์ ประจำสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย มีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบงานเกี่ยวกับเงินทุนอุดหนุนวิจัยสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เขายังพยายามดิ้นรนและต่อสู้บนหนทางของตัวเองในเรื่องราวทางวิชาการเท่าที่มันจะเป็นไปได้... คนดีนั้นโลกยังต้องการอีกกว้างขวาง

แต่สำหรับประเทศไทยเรานั้นไม่สู้แน่ใจสักเท่าไหร่หรอก!!..

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำเป็นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย "เพียงใด!."

หัวข้อดังกล่าวนี้เห็นที "จะต้องกลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงอย่างหนัก โดยเฉพาะในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 6 ที่จะถูกร่างออกมาใช้.." กรณีของ ดร. จรูญ คำนวนตา เป็นเพียงกรณีเล็ก ๆ เท่านั้นที่ "ผู้จัดการ" ได้นำเสนอออกมาแง่มุมของเรื่องนี้สะท้อนให้เราได้รับทราบว่าแท้จริงแล้วความสามารถของนักวิทยาศาสตร์เมืองไทยก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใครที่ไหนอื่น แต่เนื่องจากระบบและกลไกที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการทำงาน จึงทำให้ผู้คนเหล่านั้นไม่อาจจะใช้ความรู้และความสามารถของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ดร. โกศล เพ็ชร์สุวรรณ์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ข้อคิดเห็นในเรื่องนี้กับ "ผู้จัดการ" ว่า "เมืองไทยเรานั้นตามสถาบันการศึกษาเรามีการศึกษาและงานวิจัยน้อยมากเหมือนกัน เมื่อเปรียบเทียบกับทางญี่ปุ่น อาจจะน้อยกว่านับเป็นร้อย ๆ เท่า สิ่งเหล่านี้มันส่งผลทำให้พัฒนาการในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยต้องล้าหลังเขาอยู่เรื่อยไป รัฐบาลยังไม่ได้มองเห็นถึงความสำคัญของงานด้านนี้เท่าที่ควร" รองอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้ต่อสู้ในเรื่องนี้มาโดยตลอดกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

"ประเทศไทยเรานั้นปัจจุบันสินค้าทางการเกษตรมีปัญหาในเรื่องตลาด เราขายแข่งขันกับเขาไม่ได้ มันถึงช่วงเวลาเสียแล้วที่เราจะต้องพิจารณานำเอาเทคโนโลยีใส่เข้าไปในสินค้าการเกษตร ลดต้นทุนให้ต่ำลงหรืออย่างน้อยในการส่งออกเราก็ต้องแปรเปลี่ยนรูปไป ไม่ใช่ส่งสินค้าการเกษตรออกไปเป็นดุ้น ๆ อย่างนั้น มันไม่มีอะไรที่ดีกว่าการยอมรับเรื่องเทคโนโลยี เราจะต้องพัฒนาในเรื่องนี้อย่างจริงเสียที.." นั่นเป็นข้อคิดเห็นที่น่ารับฟังของ ดร. โกศล เพ็ชร์สุวรรณ์ อีกเช่นกัน

แหล่งข่าวในวงการเทคโนโลยีของเมืองไทยท่านหนึ่งปฏิเสธจะเปิดเผยชื่อเสียงได้ให้ข้อมูลกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ความคิดระหว่างค่ายนักเศรษฐศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่สวนทางกันมาโดยตลอด กลุ่มนักวิทยาศาสตร์เราเหมือนจะถูกกีดกันให้อยู่ในวงนอกมาตลอดในการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง นักเศรษฐศาสตร์นั้นผูกขาดความคิดที่จะพัฒนาประเทศอย่าง ดร. โกศล เพ็ชร์สุวรรณ์นั้นเป็นคนหนึ่งที่ต่อสู้ในแนวความคิดอันนี้มาอย่างต่อเนื่อง เราพูดได้ว่าแกเป็นหัวหอกของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่จะสู้ให้รัฐบาลยอมรับแนวความคิดที่จะใช้เทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศ.."

ในขณะนี้มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์หนุ่ม ๆ เริ่มรวมตัวกันขึ้นมาบ้างแล้ว "ผู้จัดการ" ได้สัมผัสกับคนกลุ่มนี้มาบ้าง พวกเขาต่างพูดถึงปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศและทางออกที่ยังตันอยู่ ข้อสรุปส่วนหนึ่งของกลุ่มก็คือ "จะต้องหาทางผลักดันแนวความคิดเรื่องการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยอมรับให้ได้.." พวกเขาไปไกลจนถึงขั้นว่า "ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ปฏิเสธด้านเทคโนโลยีแล้วสามารถร่ำรวยกันขึ้นมากได้ เมื่อเราเป็นสังคมที่อาศัยการเกษตรเป็นพื้นฐาน ก็จำเป็นต้องผลักดันการใช้เทคโนโลยีในเรื่องการเกษตรให้เกิดขึ้นให้มากที่สุด"

พวกเขาเชื่อว่า เมื่อไทยเราได้ใช้แรงงานในการผลิตภาคเกษตรมากจนเกิดไปแต่ผลที่ได้นั้นกลับไม่คุ้มค่า จึงจำเป็นจะต้องหาทางผลักดันเทคโนโลยีเข้าไปเพื่อที่จะทำให้ "เกิดการใช้แรงงานในภาคเกษตรน้อยลง" เพื่อที่แรงงานส่วนที่เหลือจะได้ไปใช้ประโยชน์สำหรับการผลิตในภาคอื่น ๆ

แนวความคิดเช่นนี้กำลังดำเนินไปและต่อสู้กันอย่างเงียบ ๆ

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จะไม่ยินยอมอีกแล้ว "ที่จะให้ฝ่ายเศรษฐศาสตร์มาขีดเส้นในการวางแผนพัฒนาประเทศอย่างจำกัดจำเขี่ย" พวกเขาสรุปกันว่า สาเหตุที่ถูกตีให้ตกกรอบสนามความคิดมาตลอดเวลานั้นเนื่องมาจากฝ่ายนักวิทยาศาสตร์ขาดการรวมตัว และที่สำคัญสุดนั้นสืบเนื่องมาจาก "เศรษฐศาสตร์หรือทางรัฐศาสตร์นั้น เป็นศาสตร์แห่งการใช้อำนาจ จึงทำให้มีพื้นฐานอำนาจของฝ่ายรัฐบาลได้มากกว่า มีความสนิทสนมและแนบแน่นมากกว่า ก็เลยเป็นผลไปสู่การผูกขาดชี้นำทางความคิด ทำให้การตัดสินใจใด ๆ ของฝ่ายรัฐบาลมีโอกาสคล้อยตามความคิดของนักเศรษฐศาสตร์สูงเป็นธรรมดา"

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการล้อมคอกจำขังนักวิทยาศาสตร์ไทย ดังเราจะตั้งข้อสังเกตเห็นชัดเจนว่าเมื่อคราวใดที่คำถามนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาถามฝ่ายนักเศรษฐศาสตร์ คนเหล่านั้นจะตอบคล้ายกับบิดเบนประเด็นไปคือพวกเขาจะบอกว่า "ไม่เห็นด้วยกับเรื่องของไฮ-เทคโนโลยีต่อการพัฒนาประเทศเพราะเมืองไทยจะต้องนำเข้าสิ่งเหล่านี้อีกมากมาย" คำตอบเช่นนี้จึงเป็นคนละเรื่องกันกับที่ฝ่ายนักวิทยาศาสตร์กำลังต้องการต่อสู้ เพราะว่าฝ่ายวิทยาศาสตร์นั้นหมายถึง "การใช้วิทยาศาสตร์ในระดับที่เป็นไปได้สำหรับการพัฒนาประเทศ อีกทั้งไม่ใช่เป็นการนำเข้าเทคโนโลยีอย่างที่เข้าใจกันไม่ หากแต่เป็นการสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเอง" สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเบื้องหลังที่มีความซับซ้อนและมีความเข้มข้นของการต่อสู้กันอยู่

ฉะนั้นจากผลงานที่ค้นพบขึ้นมาของ ดร. จรูญ คำนวนตา ที่ไม่ได้รับความเอาใจใส่ก็หาใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด ในเมื่อมันเป็นผลงานที่สร้างขึ้นมากลางวังวนแห่งความขัดแย้งก็ต้องเป็นเช่นนี้แหละ....มันเป็นเรื่องที่คงจบสิ้นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมายาวนานแล้ว แนวความคิดของหน่วยงานรัฐที่จะผลักดันเทคโนโลยีในการพัฒนาประเทศแม้ว่าจะเป็นข้อสรุปในรายงานของการประชุมทุกครั้ง แต่สำหรับหนทางปฏิบัติคงเป็นเรื่องที่ต้องซักฟอกกันต่อไป

แนวความคิดในเรื่องเทคโนโลยีของเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลระดับสูงก็ยังเข้าใจกันไปคนละทิศคนละทาง "แม้กระทั่ง ดร. เสนาะ อูนากูล ก็เพิ่งจะเข้าใจอย่างจริงจังบ้างเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง.." แหล่งข่าวสายนักวิทยาศาสตร์ในสภาพัฒน์ฯ ท่านหนึ่งให้ข้อสังเกตกับ "ผู้จัดการ"

นอกไปจากนั้นยังคงมีปัญหาเรื่องการแบ่งแยกแคมป์แบ่งแยกค่ายกันระหว่างจุฬาฯ กับสายเกษตรฯ และสายเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ... ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นผลทำให้กลุ่มก้อนและความคิดของนักวิทยาศาสตร์มีลักษณะกระจัดกระจาย

ชาคริต จุลกะเสวี เคยกล่าวติดตลกกับ "ผู้จัดการ" ว่า "แนวความคิดเรื่องเทคโนโลยีนั้นดูยังมีคนไม่เข้าใจอีกมาก แม้ว่าทุกวันนี้จะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนก็ตาม มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเกี่ยวกับมันสำปะหลังได้รับฟังการบรรยายทางวิชาการเกี่ยวกับปัญหาด้านเทคโนโลยีกับการลดต้นทุนผลิตแป้ง เมื่อบรรยายเสร็จสิ้นท่านรัฐมนตรีรายนั้นก็มีคำถามว่า "เอ๊ะ..เทคโนโลยีนี่มันกิโลกรัมละกี่บาทกัน" เล่นเอากลุ่มนักวิทยาศาสตร์ผู้บรรยายถึงกับยืนเซ่อไปเลย.." สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงว่า จนกระทั่งระดับบริหารประเทศนั้นยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ดีพอ..

แล้วมันยังต้องพูดอะไรไปให้มากมายอีกหรือ?

เรื่องยีสต์ราคาแสนล้านหรือล้าน ๆ ๆ บาทแค่ไหนก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในหมู่ผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย!!!….

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us