สหธนาคารเป็นธนาคารที่เหลือไม่กี่แห่งที่บริหารงานโดย GENERATION เดียว
เหตุผลหนึ่งที่น่ากล่าวถึง คือ บรรเจิด ชลวิจารณ์ และชำนาญ เพ็ญชาติ ผู้ถือหุ้นใหญ่
(ที่มีเหตุผลชอบธรรม) บริหารธนาคารนี้ปัจจุบันทายาทของตระกูลอายุน้อยเกินไป
ขณะที่บรรเจิดอายุ 72 ปี บุตรชายคนแรก-ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ เพิ่งอายุ 36
ปี ชำนาญก็เช่นกันอายุเกือบ 60 ปี แต่เศรณี เพ็ญชาติ ลูกชาย เพิ่งมีอายุประมาณ
30 ปีเท่านั้น
ที่เป็นกฎอันหนึ่งของธุรกิจในประเทศด้อยพัฒนาอย่างประเทศเราต้องเผชิญปัญหาการต่อเนื่องการบริหารงาน
ยิ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่นิยม PROFESSIONAL MANAGER ด้วยแล้ว ก็จะเป็นอย่างที่เห็นและเป็นอยู่
สหธนาคารมีข้อน่าจะยกไว้นิดหนึ่ง ที่บรรเจิดยังทรงพลังแรงงานและสมองบริหารธนาคารอย่างน่ายกย่องทีเดียวในช่วงที่ผ่านมา
แต่ทุกวันนี้ย่อมคิดถึงปัญหานี้เหมือนกัน
“ผู้จัดการ” ขอละออกจากวังวนความขัดแย้งระหว่างชลวิจารณ์-เพ็ญชาติ
และอัศวินวิจิตรออกไป โดยกล้าคาดการณ์ว่า ผู้บริหารธนาคารแห่งนี้ต่อจากนี้น่าจะได้แก่
ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ เศรณี เพ็ญชาติ และกรพจน์ อัศวินวิจิตร ในฐานะตัวแทนกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุด
3 กลุ่มแรก
ปิยะบุตร ชลวิจารณ์ บุตรชายคนโตของบรรเจิด ชลวิจารณ์ ดูจะได้เปรียบคนอื่น
ๆ ตรงที่มีประสบการณ์ทำงานที่ธนาคารนี้มานาน ปัจจุบันเป็นคนหนุ่มคนเดียวของธนาคารนี้ที่ก้าวเป็นผู้บริหารระดับสูง
ปิยะบุตรจบการศึกษาปริญญาตรีและโททางเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซินและโคลัมเบีย
สหรัฐอเมริกา ตามลำดับ เมื่อเขามาทำงานที่สหธนาคาร ซึ่งบิดาเป็นผู้บริหารสูงสุด
โดยใช้เวลาเพียง 8 ปีเท่านั้น (เช่นเดียวกับแบงก์ลักษณะครอบครัวอยู่ทั่วไป)
ก็ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยผู้จัดการ และผู้อำนวยการกิจการสาขาพร้อมทั้งดูแลกิจการด้านสินเชื่อและหลักทรัพย์ด้วย
งานที่ปิยะบุตรรับผิดชอบถือเป็นหัวใจของธนาคารทีเดียว!
จากครอบครัวที่มีระเบียบวินัยประกอบกับการทำงานที่บิดา-บรรเจิด ชลวิจารณ์
ดูแลอย่างใกล้ชิด ปิยะบุตรจึงค่อนข้าง “ถอดแบบ” จากบิดา “เขาเป็นคนรอบคอบ
สุขุมเกินวัย มีปัญหาอะไรก็วิ่งถึงพ่อทันที” พนักงานสหธนาคารกล่าวถึงสไตล์การทำงานของปิยะบุตร
ปิยะบุตรเป็นคนเรียบ ๆ ไม่หวือหวา “คุณบรรเจิดฝึกลูกชายคนนี้ดีมาก
ผมว่าเขาเหมาะนะ ทำงานด้านสินเชื่อและกิจการสาขาในยุคปัจจุบัน รอบคอบ ละเอียด
เป็นงาน ถือเป็นมืออาชีพคนหนึ่ง” นายธนาคารคนหนึ่งกล่าว
เศรณี เพ็ญชาติ บุตรชายคนโตของชำนาญ เพ็ญชาติ การศึกษาไม่น้อยหน้าปิยะบุตร
จนปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์การเงิน มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น สหรัฐฯ ไปเป็นทหารเสียหลายปี
พอได้ยศร้อยเอกก็ลาออกมา เข้าทำงานที่สหธนาคารตามคำขอร้องของบิดา
ทำงานครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2526 ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ
ว่ากันว่าพอเศรณีเข้ามา เค้าของความขัดแย้งก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ห้วงเวลาที่ความขัดแย้งประทุขึ้นบางกระแสข่าวระบุว่า ที่มาคือ “ความไม่พอใจของเศรณี”
พอควันจางสหธนาคารก็ตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมา สำนักบริหารการเงิน โดยที่เศรณีเข้าสวมตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักนี้ทันทีเมื่อเดือนตุลาคม
2528
พูดกันทีเล่นทีจริงว่า ตำแหน่งที่เศรณีได้มาเพราะแสดงฝีมือให้เห็นโดยยืมเวทีที่ธนาคารแหลมทอง
เศรณีเป็นตัวแทนซุมม่ากรุ๊ฟแห่งอินโดนีเซียในประเทศไทยอย่างไม่เป็นทางการ
ในช่วงเวลาที่สุระ-สมบูรณ์ระเบิดศึกแย่งหุ้นในธนาคารแหลมทองนั้น เศรณีก็เข้าพบ
สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการจัดการธนาคารนั้นเพื่อเจรจาขอซื้อหุ้นในนามของซุมม่ากรุ๊ฟ
จนสามารถซื้อได้จำนวนหนึ่ง
“เรื่องมาแดงทีหลังว่า คุณเศรณีเป็นตัวแทนของสุระนั่นเอง”
แหล่งข่าวบางกระแสระบุว่า เศรณีก็คือกุนซือของสุระ จันทร์ศรีชวาลานั่นเอง
พอดีช่วงนั้นศึกที่สหธนาคารพักรบชั่วคราว เศรณีคงจะเหงาจึงมาฝึกวิทยายุทธ์ที่ธนาคารแหลมทอง
ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารการเงิน และในอนาคตเขาก็น่าจะได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศด้วย
กรพจน์ อัศวินวิจิตร ลูกชายคนที่สองของอวยชัย อัศวินวิจิตร กรรมการสหธนาคารคนล่าสุด
เขาเป็นพ่อค้าเต็มตัวตั้งแต่เรียนเศรษฐศาสตร์ (ภาคค่ำ) ที่ธรรมศาสตร์ ประสบการณ์ทางการค้าต่างประเทศของเขายากที่จะหาคนหนุ่มรุ่นเดียวกันทาบได้
“ในบรรดา YOUNG GENERATION ของผู้ส่งออกข้าวนั้น ลูกชายคุณอวยชัยนี่เก่งมากคนหนึ่ง”
ผู้ส่งออกข้าวคร่ำหวอดคนหนึ่งบอก “ผู้จัดการ” และอรรถาธิบายต่อไปว่า
“วงการส่งออกข้าวมีปัญหาผู้สืบทอดกิจการมากทีเดียว หลายรายลดบทบาทหรือแทบจะเลิกกิจการค้าไปเลยเพราะไม่มีทายาท
แต่คุณอวยชัยเขาเก่ง”
ครั้นเมื่อกรพจน์ข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษา MBA ที่ SOUTHERN CALIFORNIA
UNIVERSITY เวลา 3 ปี ทำให้เขาเปลี่ยนแนวคิดพอสมควร อาจจะเป็นได้ว่าสาขาการเงินการคลังที่ร่ำเรียนมาครอบครัว
“อัศวินวิจิตร” จึงจัดวางบทบาทของเขาต่อมาและในอนาคตว่ากรพจน์จะเป็น
“หัวหอก” ที่คุมกิจการด้าน FINANCE และ INSURANCE ของอัศวินวิจิตร
ที่พุ่งเป้า DIVERSIFIED อย่างเต็มตัว ขณะที่เขากำลังฝึกวิทยายุทธ์ที่บริษัทไทยเศรษฐกิจประกันชีวิต
หากในอนาคตอันใกล้กรพจน์เข้ามามีตำแหน่งในสหธนาคาร ผู้อำนวยการฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับด้านการตลาด
ด้าน TRADE FINANCING น่าจะเป็นของเขา
“ผู้จัดการ” ขอสรุปไว้ตอนนี้ว่าหาก 3 แรงแข็งขันนี้ผนึกกันได้
ในอนาคตสหธนาคารน่าจะสดใสกว่าตอนนี้
ทว่าการ “จับแพะชนแกะ” ครั้งนี้ “ผู้จัดการ” เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้
ไม่มีพื้นฐานความเป็นจริงรองรับ ว่ากันว่า “ความขัดแย้ง” ที่แท้ของสหธนาคารที่คุกรุ่นเวลานี้ก็เกิดจาก
NEW GENERATION นี่เอง
ก็นับว่าเป็นความ “โชคร้าย” ของสหธนาคาร!