บรรเจิด ชลวิจารณ์ เพิ่งทำบุญวันเกิด 72 ปีเกือบอย่างเงียบ ๆ ไปเมื่อวันที่
29 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหมาด ๆ ณ บ้านพักบนเนื้อที่ 20 ไร่ ในซอยอัฐมิตรหลังสำนักงานสหธนาคาร
สาขาบางเขน สำหรับบรรเจิดแล้วแม้ว่าวัย 72 ปีของเขาสมควรจะพักผ่อน แต่เขาก็ไม่อาจจะละมือจากงานได้
เพราะความเป็นห่วงอย่างมากประสาคนที่คลุกกับงานมาตลอดชีวิต
บรรเจิดยังดูแข็งแรง ตีกอล์ฟกับลูกชาย-ลูกเขยอย่างมีความสุขในวันสุดสัปดาห์มิเคยขาด
แววตาของเขายังดูว่าเป็นคนไม่ยอมคนง่าย ๆ แต่ภายในโรคร้ายไม่เคยละเว้น ทุกปีบรรเจิดต้องเดินทางไปผ่าตัดเนื้องอกที่คอยจะยึดพื้นที่ในกระเพาะอาหารเสมอที่โรงพยาบาลลอนดอนคลินิก
ประเทศอังกฤษ
แม้ว่าห้วงชีวิตที่ยาวนานของเขาจะมีผู้คนห้อมล้อมในฐานะผู้นำธุรกิจภาคเอกชนคนเดียวซึ่งเคยกำกับบททั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
สมาคมอุตสาหกรรมไทย และสมาคมธนาคารไทย แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาค่อนข้างเหงา
คนที่รู้ใจมีไม่มากนัก
คุณหญิงสวลี คู่ชีวิตซึ่งร่วมหอลงโลงกันมา 40 ปีเต็ม ย่อมเป็นคนหนึ่งที่รู้ใจ
คุณหญิงสวลี นามสกุลเดิม จำปามณี เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2464 เป็นชาวเชียงใหม่
พบรักกับบรรเจิดที่โรงเรียนแอตเวนตีสฯ ในขณะที่สวลีเป็นครูสาว บรรเจิดเป็นครูใหญ่หนุ่ม
พอเกิดสงครามโลกครอบครัวคุณหญิงต้องอพยพไปตั้งหลักที่บ้านเกิดเชียงใหม่ ต่อมาบรรเจิดก็ได้ย้ายตัวเองตามไปเป็นสมุห์บัญชีบริษัทไทยนิยมพาณิชย์ที่ลำปาง
ความรักจึงเพาะได้ที่และแต่งงานกันเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2488 เป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลงพอดี
บรรเจิด-คุณหญิงสวลี มีบุตร-ธิดาด้วยกัน 4 คน คนแรกปิยะบุตร ชลวิจารณ์
กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการสหธนาคาร ณรงค์ฤทธิ์ ชลวิจารณ์ ผู้ช่วยผู้จัดการสหธนาคารสาขาติวานนท์
ศศิบุษบา สืบแสง (ภรรยารังสิน สืบแสง ผู้ช่วยผู้จัดการสหธนาคาร) อาจารย์จุฬาฯ
และลาลีวรรณ กาญจนจารี (ภรรยาพรเสก กาญจนจารี แห่งซิว-เนชั่นแนล) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสินเชื่อและหลักทรัพย์สหธนาคารเช่นกัน
เรียกได้ว่าครอบครัวบรรเจิด ชลวิจารณ์ ปักหลักปักฐานทั้งชีวิตไว้ที่สหธนาคารเลยทีเดียว
!?
แม้แต่คฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ซอยอัฐมิตร ถนนพหลโยธิน ของเขาก็สร้างบนที่ดินอันเป็นสมบัติของสหธนาคารที่จัดสรรให้!?
นอกจากคนภายในครอบครัวแล้ว บรรเจิดยังมีคนสนิทรู้ใจอีก 2 คน
คนแรก เฉลียว รักตะประจิต อดีตเลขานุการส่วนตัว ผู้ได้รับบำเหน็จความดีที่รับใช้บรรเจิดด้วยความซื่อสัตย์มากว่า 30 ปี เป็นผู้อำนวยการสำนักกรรมการผู้จัดการอันเป็นตำแหน่งสูงสุด และเกษียณอายุเมื่อ
65 ปี ตุลาคมปีที่แล้ว ปัจจุบันยังเป็นที่ปรึกษาธนาคาร เจ้าตัวบอกว่าขอช่วยงานอีกสัก
1 ปี
“ผมหอบแฟ้มกว่า 30 บริษัทที่ท่านได้รับมอบหมายจากจอมพลสฤษดิ์นั่งหน้ารถไปกับท่าน”
เฉลียวเปิดภูมิหลังในฐานะเลขาฯ ประจำตัวใกล้ชิดบรรเจิดให้ “ผู้จัดการ”
ฟัง
“ตอนเช้าเจ้าหน้าที่บริษัทต่าง ๆ และสมาคมที่ท่านรับผิดชอบจะต้องมารอให้ท่านเซ็นหนังสือที่บ้านก่อนท่านจะตื่นนอนด้วยซ้ำ
บ้านของท่านที่สะพานควาย” เจ้าหน้าที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยผู้เคยหอบแฟ้มไปรอบรรเจิดลงนามบ่อยเป็นพิเศษฟื้นความหลังกับ
“ผู้จัดการ”
ปัจจุบันบ้านเก่าของบรรเจิดที่สี่แยกสะพานควาย ริมถนนพหลโยธินใกล้วัดไผ่ตันได้เปลี่ยนสภาพเป็นตึกแถวทำการค้าไปแล้ว
“ท่านไม่ได้ขาย ท่านไม่ใช่คนที่ชอบขายสมบัติเก่ากิน ให้เขาเช่า อยู่ไม่ไหวหรอกคุณ พอความเจริญมาถึง มีตลาดขึ้น
เครื่องขยายเสียงดังรบกวนเช้าเย็น ท่านจึงย้ายมาซอยอัฐมิตร ประมาณ 10 ปีแล้วเห็นจะได้”
เฉลียวบอก
“ท่านรับผิดชอบกิจการบริษัทตั้งมากมายเช่นนั้น เวลาประชุมทำอย่างไร”
เป็นคำถามที่ “ผู้จัดการ” ตั้งขึ้นอย่างง่าย ๆ “ไม่มีอะไรตายตัว
ผมจะเป็นคนจัดตารางตามลำดับก่อนหลังให้ท่าน หากประชุมยืดออกไป อาจจะต้องข้ามรายการที่
2 ไป แต่ส่วนใหญ่เขาจะต้องรอท่าน...ตอนนั้นท่านเป็นคนสำคัญของประเทศ หลายคนต้องรับฟัง”
เฉลียวไขปัญหา
“แน่นอนถ้าคุณบรรเจิดมาประชุมด้วยมักไม่มีปัญหาโต้เถียง ท่านว่าอะไรทุกคนต้องว่าตาม
เพราะความเห็นของท่านทุกคนทราบว่าผู้ใหญ่ในรัฐบาลเห็นชอบแล้ว” เจ้าหน้าที่อาวุโสสภาหอการค้าฯ
เล่า และบอกต่อว่า บรรเจิดเป็นกรรมการหอการค้าเพียงปีเดียวก็ข้ามมาควบตำแหน่งประธานสภาหอการค้า
“ท่านเป็นคนเดียวที่มาเร็วที่สุด”
เท่าที่สอบถามพ่อค้ารุ่นเก่า ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า บรรเจิดคือประธานสภาหอการค้าฯ
ที่เขากลัวที่สุด !
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยอมรับกันว่าผลงานของบรรเจิด ชลวิจารณ์ ที่ฝากไว้ที่สภาหอการค้าฯ
นั้นไม่น้อย ตั้งแต่หาเงินสร้างตึกสำนักงานของตนเองมูลค่า 3 ล้านบาท โดยจอมพลสฤษดิ์
ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานเปิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2506 นอกจากนี้บรรเจิดยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสาทการวิทยาลัยหอการค้าด้วย
“ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมชื่นชมผลงานของท่านที่เดินทางไปขายข้าวที่อินโดนีเซียสำเร็จ”
เฉลียว เลขาฯ คู่ใจเชื่อเช่นนั้นพร้อมเปิดเผยว่าเขาคือ 1 ใน 3 คนสำคัญในการเดินทางครั้งนั้น
นอกจากบรรเจิดแล้วก็มีนาม พูนวัตถุ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศขณะนั้น
“เป็นการเปิดตลาดครั้งแรกที่อินโดฯ ซื้อข้าวไทยถึง 1 แสนตัน ยุคของท่านส่งข้าวออกได้มากเป็นประวัติการณ์”
บรรเจิดเองก็กล่าวได้อย่างภาคภูมิใจในคำขวัญเนื่องในโอกาส 25 ปี สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยถึงผลงานครั้งนั้นว่า
“ความสำเร็จจากการขยายตลาดการค้าพืชไร่ของไทย (ในช่วงที่บรรเจิดเป็นประธานสภาหอการค้าฯ
- เน้นโดยผู้เขียน) ทำให้ดุลการค้าซึ่งในปี 2501 ต้องขาดดุลการค้าถึง 3,500
ล้านบาท ได้ลดลงเหลือเพียงขาดดุล 300 ล้านบาทเท่านั้นในปี 2504”
เฉลียวพูดถึงอุปนิสัยของบรรเจิดตอนหนึ่งว่า “ท่านแป็นคนโมโหร้าย แต่ไม่มีอะไรขอให้ได้โพล่งเท่านั้น
คนอื่นไม่เข้าใจก็อยู่กันไม่ได้ ผมอยู่กับท่านมานานเกินกว่าจะเข้าใจท่านผิด
เพียงท่านมอง ผมก็รู้ทันทีว่าท่านจะเอาอะไร ตอนหลัง ๆ เราก็ชราด้วยกัน เวลายาวนานที่ผ่านมาความรู้สึกจึงเป็นแบบเพื่อนกันมากกว่า”
นอกจากเฉลียว รักตะประจิต แล้วก็มี ศรีบุตร อุประ ผู้ติดตามมาเกือบ 30
ปี ร่างเขาสูง บึกบึน ใคร ๆ จึงเรียกว่าเป็น “มือปืน” ประจำตัวบรรเจิด
ปัจจุบันแม้จะมีตำแหน่งหัวหน้าส่วนบริการ แต่ศรีบุตรยังพกปืนรักษาการณ์อยู่บริเวณหน้าห้องกรรมการผู้จัดการบนชั้นที่
17 สำนักงานใหญ่สหธนาคาร
มีเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าทำให้รู้จักบรรเจิดมากขึ้น-บรรเจิด ชลวิจารณ์เป็นคนค่อนข้างเชื่อเรื่องโชคลางและไสยศาสตร์
ถึงขั้นมีหมอดูประจำตัวคือ ถาวร นิสัยสรการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายธุรการสหธนาคารปัจจุบัน
“คุณถาวรเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของสมเด็จพระสังฆราช วัดสระเกศ ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
นอกจากจะมีความรู้เรื่องก่อสร้าง คนแบงก์เชื่อกันนักหนาว่าเป็นหมอดูที่แม่นราวกับตาเห็น”
พนักงานเก่าแก่สหธนาคารคนหนึ่งเล่าให้ฟัง
“คุณบรรเจิดชอบผูกดวงของท่านกับดวงของธนาคาร และให้ความสำคัญมากเกี่ยวกับวันเวลาเปิดสำนักงานแบงก์”
ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งกล่าว
บรรเจิดวันนี้ไม่มีงานรับผิดชอบมากมายเหมือนเมื่อ 5-10 ปีก่อนแทบจะเรียกได้ว่า
บั้นปลายชีวิตของเขาอยู่ที่สหธนาคารแห่งนี้เท่านั้น
“ผมสร้างแบงก์นี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง จนมั่นคงอยู่อย่างเดี๋ยวนี้ เมื่อขยับขยายใหญ่โตขึ้นมาแล้ว
ผมจะทิ้งไป ผมก็เป็นห่วง ตราบใดที่ผมยังไม่ตาย ผมยังคุมแบงก์ตลอดไป..”
เขาเคยประกาศเมื่อต้นปี 2528
สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตบางทีก็เหลือเดา บทเรียนที่บรรเจิดประสบมาด้วยตัวเองที่บริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลแห่งประเทศไทย
(อ่านล้อมกรอบ “ปี 2525 แห่งความเจ็บปวด ฟ้าผ่าบรรเจิดกระเด็นออกจากวงการน้ำตาล-ไม้ขีดไฟ”)
เรื่องนี้ “ผู้จัดการ” เชื่อว่าถาวร นิสัยสรการ จะเป็นผู้บอกบรรเจิดได้ดีกว่าใคร
ๆ
สุดท้ายขอแนะนำ หากบรรเจิดมีเวลาน่าจะไปหาวิดีโอ-ภาพยนต์ทีวีชุดสุดฮิตในอเมริกาเรื่อง
KANE & EBLE ซึ่งพอจะหาได้แถวถนนสีลม มาชมเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในห้วงเวลานี้
บางทีอาจมีแง่คิดในทางสร้างสรรค์ก็เป็นได้
ขอให้โชคดี....