ปุ๋ยแห่งชาติเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำโครงการใหญ่ระดับหมื่นล้านบาทตามแผนพัฒนาชายฝั่งตะวันออกหรือที่เรียกกันว่า
อีสเทิร์นซีบอร์ด" เพื่อส่งผ่านความ "โชติช่วงชัชวาล" จากการค้นพบแก๊สธรรมชาติ
ไปยังชาวไร่ชาวนาในรูปแบบปุ๋ยเคมีราคายุติธรรมในปริมาณที่ทำให้หมดความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศอีกต่อไป
โครงการปุ๋ยแห่งชาติเป็นโครงการที่มีอุปสรรคอยู่หลายเรื่องมาโดยตลอด ซึ่งประเด็นที่ถกเถียงกันในเฉพาะหน้านี้ก็คือ
ควรจะทำโครงการนี้ต่อไปหรือจะหยุด ท่ามกลางกระแสที่สะท้อนถึงความลังเลนี้เอง
การทุจริตโดยผู้บริหารบางคนก็เกิดขึ้นในบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ เป็นการทุจริตที่ทำให้เกิดความเสียหายหลายล้านบาทกับบริษัทที่รัฐบาลที่นำเงินภาษีอากรของประชาชนเข้าไปร่วมถือหุ้นอยู่ถึง
40 เปอร์เซ็นต์
เรื่องของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นไปได้ทางธุรกิจของโครงการที่ลงทุนกันเป็นเงินนับหมื่นล้านบาทโครงการนี้
ไม่ใช่เรื่องอุปสรรคที่เกิดจากความเห็นที่ขัดแย้งกันในกลุ่มผู้ถือหุ้น
จนเป็นเหตุให้ยังเพิ่มทุนจดทะเบียนไม่ได้
และก็ไม่ใช่หลาย ๆ เรื่องที่มีการพูดถึงหรือเขียนถึงทั้งในทางสนับสนุนหรือคัดค้านตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
นับตั้งแต่มีจัดตั้งบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ
เรื่องของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันในวงแคบ ๆ
อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายพยายามรูดซิปปากเอาไว้แน่นสนิท!
คล้ายจะให้เรื่องทุกอย่างจบลงอย่างเงียบ ๆ เหมือนกับลมร้อนที่พัดผ่านมาแล้วก็พัดผ่านไปโดยไม่มีใครรู้สึก
ซึ่งก็อาจจะปล่อยให้เลยผ่านไปได้!!
ถ้าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมฉ้อโกงของผู้บริหารรายหนึ่งของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ
โดยอาศัยความหละหลวมของโครงสร้างการบริหารภายใน เตรียมยักยอกเงินที่บริษัทปุ๋ยแห่งชาติกู้จากต่างประเทศจำนวน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 79 ล้านบาท เข้ากระเป๋าตัวเอง ซึ่งเผอิญยังโชคดีที่มีการไหวตัวทันเสียก่อน
จึงเสียหายไปเบาะ ๆ เพียง 3,640,000 บาท พร้อม ๆ กับผู้บริหารรายนี้ก็หายตัวเข้ากลีบเมฆไปตามฟอร์ม
คงปล่อยให้คนที่อยู่ข้างหลังแก้ปัญหาเพื่อรักษาหน้าและชื่อเสียงกันต่อไป!
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ สำนักงานตัวแทนของธนาคารไตโยโกเบในกรุงเทพฯ
ธนาคารอินโดสุเอซสาขาประเทศไทยและธนาคารกสิกรไทย สาขาจารุรัตน์ ซึ่งถูกทีเด็ดของผู้บริหารบริษัทปุ๋ยแห่งชาติคนนี้หลอกเอาจนหัวปั่น
ก็เห็นจะเปิดตัวกันแล้วว่าผู้บริหารจอมโกงคนนี้มีนามว่า นายโสภณ จียะพันธ์
ตำแหน่งในบริษัทปุ๋ยแห่งชาติก็เป็น ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชี
ซึ่งอำนาจจริง ๆ เทียบเท่าผู้จัดการฝ่ายการเงินทุกประการ เพราะการจัดตั้งบริษัทปุ๋ยแห่งชาติขึ้นมานั้น
ในช่วงที่ยังไม่ได้มีการลงมือก่อสร้างโรงปุ๋ย และมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนเต็มตามเป้าคือ
2,250 ล้านบาท (ปุ๋ยแห่งชาติเริ่มต้นด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท รัฐบาลถือหุ้น
40% อีก 60% เป็นภาคเอกชน ประกอบด้วย สถาบันการเงินและบริษัทผลิตและจำหน่ายปุ๋ยเคมีรายใหญ่ของประเทศ
ปัจจุบันการเพิ่มทุนยังไม่ขยับไปจากทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท) ฐานะของบริษัทฯ
จะเป็นฐานะที่เรียกกันว่า "บริษัทนำร่อง" PILOT COMPANY ตำแหน่งบริหารที่สำคัญหลายตำแหน่งจึงยังไม่มีการบรรจุแต่งตั้ง อย่างเช่นตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชีนี้เป็นต้น
อำนาจด้านการเงินของโสภณ จียะพันธ์ ก็เลยดูจะมากกว่าผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายทั่ว
ๆ ไป
โสภณ จียะพันธ์ นั้นอายุ 32 ปี จบการศึกษาชั้นสูงสุดปริญญาตรีด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยทำงานมาแล้ว 2-3 แห่ง และก่อนหน้าที่จะเข้ามาทำงานที่บริษัทปุ๋ยแห่งชาติ
โสภณ จียะพันธ์ เคยทำงานด้านสินเชื่อและฝ่ายต่างประเทศกับธนาคารไทยพาณิชย์
พูดกันเบา ๆ ว่าเบื้องหลังการเข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชีของโสภณ
มีที่มาจากความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติคนหนึ่ง
ซึ่งมาจากภาคราชการ และก็มีหลายคนที่บอกว่า ผู้บริหารระดับสูงคนนี้ไว้เนื้อเชื่อใจในฝีมือและความซื่อตรงของโสภณมาก ๆ
จึงเสียอกเสียใจอย่างยิ่งที่ตนเอง "ตาถั่ว" ไปถนัด
"แต่อาจจะโล่งอกก็ได้นะ เพราะโสภณเกิดโลภมากรีบออกลวดลายเอาขณะที่เงินกู้เพิ่งจะมีเข้ามาเป็นก้อนเล็ก ๆ ก้อนใหญ่ ๆ เป็นหมื่นล้านบาทยังไม่มา แหม...ถ้าลงมือช่วงเงินเยอะ ๆ ผมว่าคงมีคนเต้นเป็นลิงอีกหลายคนทีเดียว..."
แหล่งข่าวระดับวงในคนหนึ่งให้ความเห็น
และถ้าจะว่าไปลวดลายการยักยอกเงินเข้ากระเป๋าของโสภณก็ทำกันง่าย ๆ ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากนัก
ถ้าเป็นองค์กรที่ไม่เกิดความหละหลวมอย่างหนักแล้ว ก็รับรองได้ว่าการใช้ยุทธวิธีแบบโสภณนี้ไม่มีทางได้เงินไปสักบาท
อีกทั้งยังจะต้องติดคุกอย่างแน่นอนที่สุดด้วย
ลวดลายการฉ้อโกงเงินของโสภณ จียะพันธ์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่เชื่อมโยงมาจากการกู้ยืมเงินแบบ
"OFF SHORE" ของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติจากบริษัทไตโยโกเบ สาขาสิงคโปร์
ซึ่งธนาคารมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่โตเกียวประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้ก็ด้วยการติดต่อผ่านสำนักงานตัวแทนที่กรุงเทพฯ
และได้มีการทำสัญญากู้ยืมไว้ 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2528 เรียกว่าสัญญากู้เงินงวด
เอ. และสัญญากู้เงินงวด บี. วงเงินกู้ยืมฉบับละ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ
ผู้ลงนามกู้ยืมก็ได้แก่ ดร.จักรกฤษณ์ บูรณะสัมฤทธิ์ กับ ประวิทย์ โรจนเพียรสถิต
กรรมการบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ
เงินกู้งวดแรกตามสัญญากู้ยืมที่ระบว่าเป็นงวด เอ. นั้น ธนาคารไตโยโกเบ สาขาสิงคโปร์ได้จัดการโอนมาเข้าบัญชีของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติที่ธนาคารกสิกรไทย
สำนักงานใหญ่เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2528 เรียบร้อยด้วยดี โดยกรรมการบริษัทปุ๋ยแห่งชาติได้มอบหมายให้โสภณ จียะพันธ์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการเงินผู้รักษาการเป็นผู้จัดการฝ่ายการเงินอยู่
เป็นผู้โทรศัพท์ไปติดต่อขอให้มีการโอนเงินเข้ามากับสำนักงานตัวแทนของธนาคารไตโยโกเบ
ที่อาคารธนิยะ ถนนสีลม และเมื่อเงินจำนวน 3 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราดอกเบี้ย
8 เศษ 1 ส่วน 8 เปอร์เซ็นต์ ระยะเวลากู้ยืม 3 เดือนได้มีการโอนเข้ามาที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่
โดยแตกเป็นเงินบาทเรียบร้อยแล้วในวันเดียวกันนั้นเอง ก็มีการถอนเงินทั้งหมดออกไปฝากกับสถาบันการเงิน
8 แห่ง ด้วยการซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินอายุ 3 เดือน อัตราดอกเบี้ย 18 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งสถาบันการเงินทั้ง 8 แห่งที่ว่านี้ก็คือ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเซีย
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บีซีซี บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ศรีมิตร บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไอทีเอฟ
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาติ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินอุตสาหกรรม
และบริษัทเงินทุนยิบอินซอยเงินทุน ตามลำดับ
ซึ่งก็โสภณ จียะพันธ์ คนเดิมอีกนั่นแหละที่เป็นผู้อนุมัติดำเนินการดังกล่าว
"ก็กำไรส่วนต่างจากดอกเบี้ยไปเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์สบาย ๆ ส่วนผู้กำเงินไปฝากอย่างโสภณจะมีอะไรติดไม้ติดมือเป็นพิเศษหรือไม่ก็ลองเดากันดูเองก็แล้วกัน..."
แหล่งข่าวผู้มีอาชีพเกี่ยวข้องกับเงิน ๆ ทอง ๆ ระหว่างประเทศให้ข้อคิด
สรุปแล้วเงินกู้งวดแรกก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อยและราบรื่น ไม่มีใครติดใจสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น
ไม่ติดใจสงสัยแม้กระทั่งว่าโสภณ จียะพันธ์ ผู้ติดต่อประสานงานเรื่องเงินกู้ก้อนนี้กำลังคิดอะไรอยู่เงียบ ๆ
จะเป็นเพราะกรรมการทั้งหลายล้วนมีภารกิจประจำรัดตัวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ?!
"ผมว่าถ้าใครอยู่ในฐานะโสภณก็อาจจะคิดอะไรบางอย่างที่โสภณคิดนะ คือโครงการที่ทำท่าคึกคักตอนแรก ๆ ก็ทำท่าไม่รู้จะออกหัวหรือก้อยในระยะหลัง ๆ จะได้ทำงานต่อไปหรืออาจจะถูกโละทิ้งหรือเปล่าก็ไม่แน่นอน
กรรมการบริษัททั้งหลายก็ไม่ค่อยโผล่หน้ามา เพราะแต่ละท่านก็มีการงานประจำทั้งทางด้านภาครัฐบาลและภาคเอกชน
อย่างเรื่องเงินกู้นี่ก็โสภณคนเดียวจริง ๆ ที่ทำงานทุกขั้นตอน ตั้งแต่ติดต่อให้โอนเงินเข้ามาไปจนถึงการเอาเงินออกไปแยกฝากตามที่ต่าง ๆ ทั้ง 8 แห่ง กรรมการทั้งหลายท่านก็เพียงรับรู้และคอยอนุมัติเท่านั้น..."
แหล่งข่าวท่านหนึ่งเล่ากับ "ผู้จัดการ"
โสภณ จียะพันธ์ ก็เลยคิดถ้าเขาจะเอาเงินกู้พวกนี้มาใช้เป็นการส่วนตัวบ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนัก
ช่วงปลายปี 2528 ขั้นตอนการทุจริตจึงถูกกำหนดเป็นขั้น ๆ
เริ่มต้นจากการใช้ "หน้าตา" และ "ชื่อเสียง" ในฐานะผู้บริหารคนหนึ่งของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติปลอมแปลงเอกสารไปเปิดบัญชีกระแสรายวันในนามห้างหุ้นส่วนจำกัด
สหมิตรไทยกับธนาคารกสิกรไทยสาขาจารุรัตน์แถว ๆ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มีจงศิลป์
หวังสงวนกิจ เป็นผู้จัดการสาขา ซึ่งโสภณระบุว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดสหมิตรไทยนี้มีตนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
(จากการตรวจสอบของ "ผู้จัดการ" พบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดนี้มีการจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์จริง
คือ จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อปี 2510 มี นายสุรเดช เอื้อพงษ์พันธ์ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
ตรวจสอบต่อมาพบว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับโสภณ จียะพันธ์ แต่ประการใด)
ด้วย "หน้าตา" และ "ชื่อเสียง" ที่ผู้บริหารสาขายอมรับ
การเปิดบัญชีกับธนาคารก็ผ่านไปด้วยความราบรื่น อย่างที่ไม่ต้องตรวจสอบอะไรกันให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน
ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าถ้าเผอิญเป็น นาย ก. นาย ข. แล้วจะได้รับบริการที่ราบรื่นเช่นนี้บ้างหรือไม่?
ครั้นเมื่อขั้นตอนแรกผ่านไป ขั้นต่อมาก็คือการปลอมแปลงเอกสารและลายเซ็นกรรมการเปิดบัญชีในนามบริษัทปุ๋ยแห่งชาติกับธนาคารอินโดสุเอซ
"เขาก็ปลอมลายเซ็นของ ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล ประธานกรรมการบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ
กับลายเซ็นของ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล กรรมการ ในคำขอเปิดบัญชีโดยระบุผู้มีอำนาจสั่งจ่ายคือ
ม.ร.ว. จัตุมงคล ลงนามร่วมกับโสภณเองพร้อมกับประทับตราบริษัท ซึ่งตราบริษัทก็ไม่ใช่เรื่องยากมันเก็บอยู่ที่โสภณอยู่แล้ว..."
ผู้ที่ทราบเรื่องเล่าให้ฟัง
ตระเตรียมช่องทางทั้ง 2 ขั้นตอนแล้ว โสภณ จียะพันธ์ ก็ยกหูโทรศัพท์ไปบอกกับผู้ช่วยผู้จัดการสำนักงานตัวแทนของธนาคารไตโยโกเบประจำกรุงเทพฯ
ที่ชื่อ พิสมร บุญประคอง ให้จัดการโอนเงินจำนวน 3 ล้านเหรียญตามสัญญาเงินกู้งวด
บี. เข้ามา เหมือนกับที่เคยทำเมื่อครั้งมีการโอนเงินตามสัญญางวดแรกทุกอย่าง
เพียงแต่แทนที่จะโอนไปเข้าบัญชีที่ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ ก็ให้โอนมาเข้าบัญชีที่ธนาคารอินโดสุเอซเสีย
และเมื่อธนาคารไตโยโกเบเทเล็กซ์มาถึงบริษัทปุ๋ยแห่งชาติขอให้ยืนยันเรื่องการโอนเงินเข้ามาตามสัญญากู้เงินงวด
บี. ตามวิธีการที่เคยปฏิบัติมา โสภณก็เทเล็กซ์ตอบยืนยันไปอย่างหน้าตาเฉย!
เงินจำนวน 3 ล้านเหรียญ หรือ 79,329,000 บาทของธนาคารไตโยโกเบ ก็เลยโอมาเข้าบัญชี
(ปลอม) ของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติที่ธนาคารอินโดสุเอซ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน
2529 โดยไม่มีใครในบริษัทปุ๋ยแห่งชาติได้มีโอกาสรับทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
แปลกและก็เหลือเชื่อมาก!
เพราะแม้แต่เทเล็กซ์ของธนาคารไตโยโกเบที่ส่งมาให้บริษัทปุ๋ยแห่งชาติขอให้ยืนยันเรื่องการโอนเงินก็ไม่มีใครเห็นเลย
(จนเกิดเรื่องแล้วจึงเห็น)
ส่วนข้างฝ่ายธนาคารอินโดสุเอซ ก็ไม่น่าจะขาดความรอบคอบขนาดนั้น
เงินจำนวน 79,329,000 บาท เมื่อนำเข้าบัญชีปลอมที่ธนาคารอินโดสุเอซแล้ว
ก็ถูกยักย้ายถ่ายเทอย่างรวบรัดทันที
"ระหว่างวันที่ 1-4 พฤศจิกายนเพียง 4 วันเท่านั้น โสภณก็ออกเช็คที่ปลอมลายเซ็นหม่อมเต่า
(ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล) กับลายเซ็นของโสภณเอาเงินจำนวน 3 ล้านบาทออกมาจากธนาคารอินโดสุเอซแล้วก็ออกเช็คเอาเงินไปเข้าบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดสหมิตรไทยที่ธนาคารกสิกรไทย
สาขาจาตุรัตน์ซึ่งเขานำหลักฐานปลอมแอบไปเปิดเอาไว้ แล้วให้ธนาคารอินโดสุเอซออกแคชเชียร์ออร์เดอร์
4 ฉบับ ฉบับละ 10 ล้านบาทให้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ รวมก็
40 ล้านบาท จากนั้นก็ให้ธนาคารอินโดสุเอซออกแคชเชียร์ออร์เดอร์สั่งจ่าย บริษัท
เคมี-กสิกรรมไทยอีกฉบับหนึ่งเป็นเงิน 5,838,500 บาท..." แหล่งข่าวระดับสูงผู้หนึ่งเปิดเผย
ซึ่งกรณีบริษัทเคมี-กสิกรรมไทยนั้น "ผู้จัดการ" ตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีตัวตนอยู่ในรายชื่อบริษัทจดทะเบียนของกระทรวงพาณิชย์แม้แต่น้อย
เมื่อคิดคำนวณเบ็ดเสร็จแล้ว ภายในระยะเวลาเพียง 4 วันโสภณ จียะพันธ์ ก็ได้พยายามเคลื่อนย้ายเงินออกมาด้วยเจตนาทุจริตเป็นเงิน
76,593,900 บาท จากยอดทั้งหมด 79,329,000 บาท ซึ่งถ้าแยกแยะเป็นรายการรายการก็คือ
- ออกเช็ค (ปลอม) เอาเงินสดออกมาเก็บไว้ส่วนตัว 3 ล้านบาท
- ออกแคชเชียร์ออร์เดอร์ 5 ฉบับสั่งจ่ายบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ
4 ฉบับเป็นเงิน 40 ล้านบาท และสั่งจ่ายบริษัท เคมี-กสิกรรมไทย (ซึ่งไม่มีตัวตนอยู่จริง)
อีก 5,838,500 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 45,838,500 บาท
- และออกเช็คปลอมเอาเงินไปเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทยสาขาจารุรัตน์ ในบัญชีห้างหุ้นส่วนจำกัดสหมิตรไทยเป็นเงิน
30,755,400 บาท (เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้วก็ออกเช็คส่วนตัวเอาเงินจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสหมิตรไทยจำนวน
640,000 บาทออกมาเป็นเงินสด)
นับว่าเป็นการยักย้ายถ่ายเทเงินที่สำหรับโสภณแล้วก็คงจะมันมือมาก
อาจจะมันมือจนโสภณลืมไปว่าการโอนเงินจำนวนมาก ๆ ถึงกว่า 30 ล้านบาท ไปเข้าธนาคารกสิกรไทยสาขาจารุรัตน์นั้น
มันไม่ใช่เรื่องปกติ หากแต่เป็นเรื่องที่สะดุดใจผู้บริหารมาก ๆ!
และเมื่อสะดุดใจก็เลยทำให้เรื่องต้องไปเข้าหูกรรมการบริษัทปุ๋ยแห่งชาติที่ชื่อ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ซึ่งก็เผอิญมีตำแหน่งบริหารใหญ่โตอยู่ในกสิกรไทย
มีการสอบถามไปที่โสภณ จียะพันธ์เกี่ยวกับความเป็นมาของเงินก้อนใหญ่ก้อนนี้
โสภณพยายามพูดจาบ่ายเบี่ยง แต่ภายหลังการสอบถามครั้งนี้แล้ว ก็ไม่มีใครในบริษัทปุ๋ยแห่งชาติได้เห็นแม้กระทั่งเงาของโสภณอีกต่อไป
การทุจริตของโสภณจึงได้ถูกเปิดเผยออกมาอย่างโล่งโจ้งทุกขั้นตอน
พร้อม ๆ กับคำถามที่ติดตามมาก็คือใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น?
บริษัทปุ๋ยแห่งชาตินั้น ก็พยายามบอกว่าการโอนเงินเข้ามาคณะกรรมการทุกคนไม่รู้เรื่อง
เช่นเดียวกับการปลอมแปลงเอกสารและลายเซ็นมอบอำนาจไปเปิดบัญชีในนามบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ
ที่ธนาคารอินโดสุเอซบริษัทปุ๋ยแห่งชาติก็ไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย
ธนาคารไตโยโกเบก็ยืนยันว่าตนได้ดำเนินการถูกต้องรัดกุมแล้วทุกขั้นตอน
หลักฐานก็มีอยู่พร้อม โดยเฉพาะเทเล็กซ์ยืนยันการโอนเงิน
ส่วนธนาคารอินโดสุเอซทันทีที่รับทราบเรื่องก็ส่งตัวแทนเข้าร้องทุกข์กับตำรวจกองปราบพร้อมกับระงับการจ่ายเงินตามแคชเชียร์ออเดอร์
4 ฉบับที่สั่งจ่ายบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ (สำหรับแคชเชียร์ออเดอร์ที่สั่งจ่าย
บริษัทเคมี-กสิกรรมไทย ยังไม่มีการนำไปเบิกเงินกับธนาคาร)
ซึ่งเมื่อมีการร้องทุกข์แล้วตำรวจกองปราบก็จัดการอายัดเงินทั้งหมดในบัญชีกระแสรายวันของห้างหุ้นส่วนจำกัดสหมิตรไทย
ที่ธนาคารกสิกรไทยสาขาจาตุรัตน์ทันทีทันควันเหมือนกัน
ที่เสียหายจริง ๆ จึงเป็นเงิน 3,640,000 บาทถ้วน ๆ
"ก็มีการโยนความรับผิดชอบไปมาอยู่พักใหญ่ ๆ เพราะก็ไม่มีผู้เกี่ยวข้องที่โดนลูกเล่นของโสภณฝ่ายไหนที่ยินดีออกมาแบกหน้ารับความเสียหาย..."
ผู้ที่ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นรายงานให้ฟัง
ผลสุดท้ายด้วยเหตุผลหลายประการประกอบกัน บริษัทปุ๋ยแห่งชาติก็เลยต้องรักษาหน้ายอมแบกรับไปผู้เดียว
โดยก็จะยินยอมว่าเงินกู้งวด บี. ที่โอนมาแล้วก็ให้ถือว่าบริษัทปุ๋ยแห่งชาติเป็นผู้ขอให้โอน
และเงินที่อยู่ในธนาคารอินโดสุเอซ (ตามบัญชีที่โสภณแอบไปเปิด) เป็นเงินของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ
หรือพูดกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็ให้ถือเสียว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่พนักงานคนหนึ่งของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติ
ได้ยักยอกเงินของบริษัทฯ ไปเท่านั้น
คนอื่น ๆ ไม่เกี่ยว
รายงานล่าสุดที่ได้รับ ก็ปรากฏว่าบริษัทปุ๋ยแห่งชาติได้ส่งตัวแทนไปร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบแล้ว
ก็คงจะมีการติดตามจับกุมตัวผู้บริหารยอดแสบรายนี้กันต่อไป