สุนทร อรุณานนท์ชัย ลำพังตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สินเอเซีย
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยก็หาเวลาว่างให้กับตัวเองไม่ค่อยได้อยู่แล้ว
ก็เลยทำให้ใครต่อใครถามเจ้าตัวด้วยความห่วงอยู่เสมอ เมื่อปรากฏว่าเขาต้องไปรับตำแหน่งนายกสมาคมสมาชิกตลาดหลักทรัพย์
ควบกับนายกสมาคมเงินทุน (ตั้งขึ้นมาแทนสมาคมไทยเงินทุนและตลาดหลักทรัพย์ที่ตายซากไปแล้ว)
แล้วไหนจะต้องเสียเวลากับการจัดระบบบริหารให้กับโรงงานน้ำตาลราชบุรี ที่เป็นธุรกิจส่วนตัวซึ่งเปรียบเสมือนเผือกเผาที่ร้อนระอุมือ
ที่เป็นห่วงก็คือจะเอาเวลาที่ไหนมาทำงาน เพราะตำแหน่งแต่ละแห่งไม่ใช่แค่ตำแหน่งทางสังคมอย่างเดียวมีงานที่ต้องทำมากมาย
"มีบางคนเขาก็บอกว่าผมไปทำอะไรตั้ง 2-3 สมาคม แหม…แล้วผมอยากจะเป็นที่ไหนกันล่ะ
เพื่อนฝูงบอกว่ายังไงก็ต้องเป็น ผมรับปากแต่บอกเขาว่ายังไง ๆ ต้องรีบหาคนมาแทน
โธ่…ถ้าคุณเข้าใจผม ตำแหน่งพวกนี้เหมือนเก้าอี้ดนตรี แล้วเราไม่เป็นดีกว่าเป็น
ถ้าไม่เป็นนายกสมาคมอะไร ใครมาขอความร่วมมือเราให้ได้หมด…ผมชอบตายเลย แต่เมื่อเป็นเราต้องยึดระเบียบของสมาคม
อย่างนี้อึดอัดจะตายไป คุณว่าผมเป็นแล้วดีขึ้นหรือเปล่า" สุนทรระบายกับ
"ผู้จัดการ" ยาวเหยียดก่อนจะจบประโยคด้วยคำถาม
กลางเดือนกุมภาพันธ์ต่อไปจนถึงเดือนมีนาคม สุนทร อรุณานนท์ชัย ยังต้องมีภาระเพิ่มอีกอย่างหนึ่งคือเนื่องจากดุษฏี
สวัสดิ-ชูโต ประธานกรรมการและ ดร. มารวย ผดุงสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องเดินทางไปประชุมที่ต่างประเทศ
สุนทรในฐานะรองประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ก็เลยต้องรักษาการแทนทั้งประธานและผู้จัดการโดยแบ่งเวลาไปนั่งทำงานที่ห้อง
ดร. มารวย ผดุงสิทธ์ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า "ตายแน่"
เช่นเดียวกับผู้บริหารทั่วไปที่ไม่ว่างานหนักแค่ไหนจะต้องหาเวลาด้วยกีฬาประเภทต่าง
ๆ เดิมทีสุนทรชอบตีแบดมินตันเป็นชีวิตจิตใจ มาระยะหลังที่ออกจากทิสโก้จึงเปลี่ยนมาเล่นเทนนิส
และเพิ่งเลิกราไปเมื่อต้นปี 2528
"เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้ออกกำลังอะไรเลย…ภรรยาผมบ่น เมื่อก่อนนี้ผมตีเทนนิสประจำกับเพื่อนสนิทของผมคือคุณบุญยิ่ง
นันทาภิวัฒน์ ก็ตีที่สนามหน้าบ้านเพราะคุณบุญยิ่งเขาขยันมาเรียกผมทุกเช้า
ต่อมาคุณบุญยิ่งเสียชีวิตผมก็เลยแทบไม่ได้เล่นอีก คุณบุญยิ่งเสียชีวิตไปเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว
วันที่ 19…ผมจำได้แม่นทีเดียว สุนทรเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงซึมเศร้า
สิ่งเดียวที่เขาถือว่าเป็นการพักผ่อนและเป็นนิสัยติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ก็คือการอ่านหนังสือ
ที่ได้จัดอยู่ในขั้น "หนอนหนังสือ" คนหนึ่ง และไม่เพียงแต่อ่านเท่านั้นในเรื่องงานที่เขียนเขาก็ชอบ
รายงานที่เกี่ยวกับงานที่สินเอเซียหลายต่อหลายชิ้นสุนทรจะร่างขึ้นเองโดยอาศัยข้อมูลมาจากลูกน้อง
แม้กระทั้งบทความบางชิ้นที่นิตยสารบางฉบับมาขอไปลงอย่าง พ.ร.ก. ธนาคารพาณิชย์ฉบับอื้อฉาว
สุนทรก็ยังอุตส่าห์เจียดเวลานั่งเขียนด้วยตนเอง
จะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม ความรู้สึกของ "ผู้จัดการ" ที่มีโอกาสพบและสัมภาษณ์
สุนทร อรุณานนท์ชัยถึง 2 ครั้ง ก่อนที่จะเขียนรายงานชิ้นนี้ รู้สึกว่าแม้สุนทรจะรักและอยากที่จะอยู่กับสินเอเซียต่อไป
แต่ก็เป็นความรักที่เนือยจนผิดสังเกต อย่างหลาย ๆ ประการที่พอจะสะท้อนความรู้สึกที่ว่านี้
"อย่างที่ผมบอกแล้วว่าตำแหน่งมันเหมือนเก้าอี้ดนตรี อย่างผมนั่งอยู่ที่สินเอเซีย
ถ้าผมไม่มีอะไรทำผมก็คงหางานใหม่ได้…มันไม่ฉิบหายอะไร คนเราไม่ต้องไปผูกกับตอแจ….มันไม่ใช่
ผมจะมีความสุขที่สุดถ้าผมเป็นกรรมการเฉย ๆ แบบที่ไม่ต้องมานั่งทำงานทุกวัน
คุณคิดว่าผมไม่อยากจะเล่นกอลฟ์บ้างหรือ คิดว่าผมไม่อยากตีเทนนิสเหรอ ผมมีเวลาไหม
…ตีเทนนิสไม่ต้องใช้สมองเลย ดูแต่ลูกเท่านั้น หวดให้เจอลูกก็แล้วกัน…มันไม่ดีกว่าเหรอ"
อีกเรื่องหนึ่งที่ทำความหงุดหงิดให้กับสุนทร อรุณานนท์ชัยมาก ก็คือการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อมวลชน
โดยเฉพาะล่าสุดที่เป็นบทความที่เขียนโดยคอลัมนิสต์ชื่อดังในนิตยสารรายเดือนฉบับหนึ่งที่ระบุว่า
เขามีบ้านหรูหราปานราชวังอยู่ที่จังหวัดระยอง และเป็นคนที่ได้ดีเพราะฝีปากมากกว่าฝีมือ
"คุณรู้จักกับเขาไหม" คำถามที่ถามกับ "ผู้จัดการ"
อย่างฉุนเฉียวและพูดต่อว่า
"ผมเองไม่เคยพบกับเขาเลย เมื่อเห็นเรื่องนี้ไม่รู้ว่าเขาเอาข้อมูลมาจากไหนเขียนผิดหมดเลยจนผมประหลาดใจ
ผมอยากให้เขาไปดูเองว่าบ้านหลังนิดเดียวที่ต่างจังหวัดที่ผมสร้างในวงเงิน
4-5 แสนบาทจะเป็นวังได้ยังไง…มันเกินไป เขียนอย่างนี้เขาเองจะเสียไม่ใช่ผม
แหม…คุณดูกระต๊อบแล้วบอกว่าเป็นวัง ที่นั่นบอกผมบอกราคาให้ก็ได้ผมซื้อที่แค่
70,000 บาท…ซื้อที่ 70,000 บาทไปสร้างวัง (หัวเราะขื่น ๆ)"
สุนทร อรุณานนท์ชัยพูดย้ำในตอนท้าย ๆ ของการสัมภาษณ์ว่า โดยตัวเขาเองรังเกียจการวิ่งเต้นที่สุดใครมาหาถ้าคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ได้ก็จะทำให้เลยไม่ต้องมาวิ่งเต้น
และปฏิเสธอย่างหนักแน่นต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาเป็นคนชอบเข้าหาผู้ใหญ่เพื่อหวังผลประโยชน์
"ผมไม่เคยไปเยี่ยมผู้ใหญ่ตอนปีใหม่เพราะผมถือเรื่องนี้ และการที่เราไปพบใครก็ไม่ใช่ว่าเราต้องไปขอ…มีแต่เราให้คนอื่น…มันก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
บางคนบอกว่าผมต้องไปขออะไร
ผู้ใหญ่…มันไม่ต้อง…ผมไม่มี อะไรต้องขอ คุณเข้าใจไหม หรือแม้แต่กับทางการผมไม่ได้ทำอะไรผิด
ผมต้องไปขออะไร" สุนทร อรุณานนท์ชัย พูดอย่างอัดอั้นตันใจเป็นประโยคสุดท้ายกับ
"ผู้จัดการ"