Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา ตุลาคม 2554
Land bridge Landslide?!             
โดย ปิยะโชติ อินทรนิวาส
 

   
related stories

จิ๊กซอว์ต่อภาพอนาคต 'สงขลา-สตูล'
“โลจิสติกส์” หรือ “อุตสาหกรรม”?!
ถามคนสงขลา?!

   
search resources

เซาท์เทิร์นซีบอร์ด
สมยศ โต๊ะหลัง
คณะทำงานหยุดการพัฒนาสงขลา-สตูล สู่การเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมหนัก
สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ, นพ.




ความตื่นตัวถึงทิศทางการพัฒนาของเครือข่ายภาคประชาชนบนแผ่นดินด้ามขวานเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น เข้มแข็ง และคึกคักยิ่งเวลานี้ โดยเฉพาะคนภาคใต้ตอนล่างพื้นที่เป้าหมายสร้าง Land bridge เชื่อมทะเลอ่าวไทยและอันดามัน ได้หยิบแนวคิด Southern Seaboard ไปพินิจพิเคราะห์จนได้ข้อสรุปว่า รัฐกำลังเร่งผลักดันให้ “สงขลา-สตูล” ก้าวไปสู่ “จังหวัดอุตสาหกรรมหนัก” ซึ่งจินตนาการได้ถึงการยกเอา “มาบตาพุด-สมุทรปราการ-แม่เมาะ” ไปรวมกันไว้ที่นั่น... แล้วอนาคตของลูกหลานจะเป็นอย่างไร?!

พร้อมๆ กับการกลับมายึดกุมอำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้งของระบอบทักษิณ ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่พรรค เพื่อไทยได้เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลและมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศชื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งก็คือน้องสาวคนสุดท้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง ภาพในจินตนาการของคนบนแผ่นดินด้ามขวานก็ผุดพรายไปด้วยโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ต่างๆ ที่จะถูกหว่านกระจายไปทั่วพื้นที่

เนื่องเพราะระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายว่าจะหว่านบรรดาเมกะโปรเจ็กต์ให้ลงหลักปักฐานในแผ่นดินด้ามขวานไว้มาก มายหลากหลายโครงการ

เริ่มตั้งแต่บริเวณคอขวานที่อ่าว ก.ไก่ ด้านบนของอ่าวไทย รัฐบาลมีแผนจะถมทะเลสร้างเมืองใหม่ขนาดประมาณ 2 แสนไร่ ใช้เงินลงทุนมหาศาลราว 1.8 ล้านล้านบาท อันเป็นโครงการที่ถูกผลักดัน ขึ้นมาใหม่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยจำลองมาจากเมืองดูไบ ที่ต้องระหกระเหินหนีโทษทัณฑ์ไปอยู่ที่นั่น

ถัดจากนั้นลงไปเรื่อยๆ ตลอดแนวด้ามขวาน ไม่ว่าบนบกหรือในทะเลก็จะมีเมกะโปรเจ็กต์กระจายอยู่เต็มไปหมด อาทิ โรงถลุงเหล็ก โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ โรงไฟฟ้า ถ่านหิน โรงไฟฟ้าพลังงานร่วมที่เน้นใช้ก๊าซ จากอ่าวไทย โครงการผันน้ำตาปี-พุมดวง เขื่อนขนาดใหญ่ เขื่อนกั้นทะเลสาบสงขลา มอเตอร์เวย์ข้ามชาติ เหมืองถ่านหิน การขุดเจาะอุโมงค์ลอดเขา การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมัน ท่อส่งน้ำมันข้ามคาบสมุทร อุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ นานาอีกมากมายที่กระจายตัวอยู่ถ้วนทั่ว

แต่ที่ถูกเทน้ำหนักให้อย่างเป็นพิเศษ ก็คือเมกะโปรเจ็กต์ตามแผนงานโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) ซึ่งจะมีการก่อสร้างสะพานเศรษฐกิจ (Land bridge) เชื่อม 2 ฟากทะเลในภาคใต้ตอนล่าง ระหว่างจังหวัดสงขลาในฝั่งอ่าวไทยกับจังหวัดสตูลในฝั่งอันดามัน ซึ่งจะประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานหลักๆ ได้แก่ การสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 ฝั่ง โดยเชื่อมต่อกันด้วยถนนมอเตอร์เวย์ เส้นทางรถไฟ และระบบท่อน้ำมัน-ท่อก๊าซ เป็นต้น

ทั้งนี้ “แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล” นี่แหละที่เครือข่ายภาคประชาชนเชื่อกันว่า รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้ปีกโอบของระบอบทักษิณจะให้ความสำคัญกับการเร่งด่วนผลักดันให้เกิดเป็นจริงโดยเร็ว

เนื่องจากแลนด์บริดจ์จะเป็นตัวทะลุทะลวงให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเมกะโปรเจกต์อื่นๆ ตามมามากมายทั่วทั้งแผ่นดินด้ามขวาน อันเป็นการสร้างภาพการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่จะเป็นตัวช่วยเจาะฐานคะแนนเสียงของคนใต้ให้กับพรรคเพื่อไทยได้มีโอกาสตีตื้นพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาบ้าง หลังจากที่ในสนามเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มาแทบไม่สามารถลงหลักปักหมุดให้ได้เสียง ส.ส.ในพื้นที่

มีสิ่งที่เชื่อว่ารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยจะให้ความสำคัญมากที่สุดกับการเดินหน้าก่อสร้างแลนด์บริดจ์ในอัตราเร่งก็คือ เมื่อนำเมกะโปรเจกต์นี้ไปผนวกรวมกับนโยบายที่หาเสียงไว้ระหว่างเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งได้ประกาศไว้ว่าจะแจ้งเกิด “นครปัตตานี” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

สิ่งนี้ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่า แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูลจะเป็นเครื่องมือเสริม ที่สำคัญมากในการใช้ดับ “ไฟใต้” ที่เป็นเหมือนหอกข้างแคร่คอยทิ่มแทงระบอบทักษิณมานมนานหลายปีแล้วได้อีกด้วย

ดังนั้น เพียงแค่ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพิ่งจะก่อรูปเป็นตัวเป็นตน ยังแทบจะตั้งไข่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เครือข่ายภาคประชาชนบนดินแดนด้ามขวานต่างๆ นับเนื่องตั้งแต่จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ล่องเลยต่อเนื่องลงมายัง 14 จังหวัดภาคใต้ก็ได้นัดแนะ และกำหนดทำกิจกรรมร่วมกันอย่างยิ่งใหญ่ภายใต้แผนปฏิบัติการ “เพชรเกษม 41”

เป็นการออกมาประกาศชัดของเครือข่ายภาคประชาชน ถึงการต่อต้านการพัฒนาที่มากมายไปด้วยการลงทุนทำเมกะโปรเจ็กต์ อันจะนำมาซึ่งการพลิกผันให้ผืนแผ่นดินด้ามขวานกลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมขนาดมหึมาแหล่งใหม่

ตามแผนปฏิบัติการเพชรเกษม 41 ได้ให้แต่ละเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ต่างๆ คิดกิจกรรมและเคลื่อนไหวกันเองก่อน จากนั้นจึงให้นำไปสู่การรวมตัวเคลื่อนไหวพร้อมกันครั้งใหญ่ ณ บริเวณวนอุทยานเขาพาง อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ระหว่างวันที่ 21-22 สิงหาคม 2554 ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวก่อนหน้าที่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้แถลงนโยบายการพัฒนาประเทศต่อรัฐสภาเพียงวันเดียว โดยการแถลงนโยบายของรัฐบาลเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม และไปสิ้นสุดในวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ 2 จังหวัดเป้าหมายสร้างแลนด์บริดจ์สงขลา-สตูลจะมีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคักมากเป็นพิเศษ

สมยศ โต๊ะหลัง ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล บอกเล่าให้ฟังว่า ก่อนถึงช่วงปฏิบัติการใหญ่เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา เครือข่ายฯ สตูลได้จัดกิจกรรมแพลงกิ้ง หรือการแกล้งตายบนชายหาดปากบาราในอำเภอละงู จังหวัดสตูล เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านแลนด์บริดจ์ รวมถึงร่วมกันปกป้องชายหาดไม่ให้มีการสร้างท่าเรือน้ำลึก โดยมีกลุ่มเยาวชนและประชาชนเข้าร่วมนับร้อยคน

อีกทั้งในวันที่ 17 สิงหาคม วันเดียวกันนั้น เครือข่ายฯ สตูลก็ได้เคลื่อนขบวนไปยื่นหนังสือต่อต้านแลนด์บริดจ์ให้วินัย ครุขุนทด ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เพื่อให้นำส่งต่อไปยังนายกรัฐมนตรี ต่อมาวันที่ 18 สิงหาคมเคลื่อนขบวนไปยืนหนังสือต่อธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส.เขต 1 จังหวัดสตูล พรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล จากนั้น วันที่ 20 สิงหาคมเคลื่อนขบวนไปยื่นต่อฮอซาลี ม่าเหร็ม ส.ส.เขต 2 จังหวัดสตูล พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน

ขณะที่สุไรดะห์ โต๊ะหลี ตัวแทนเครือข่ายประชาชนรักษ์สิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา บอกเล่าว่า เครือข่ายฯ สงขลาได้จัดกิจกรรมในลักษณะเดียวกันในวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยได้เคลื่อนขบวนไปยื่นหนังสือคัดค้านการก่อสร้างแลนด์บริดจ์และท่าเรือน้ำลึก สงขลา 2 ต่อพิศาล ทองเลิศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เพื่อให้ส่งต่อไปยังนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

สำหรับกิจกรรมภายใต้แผนปฏิบัติการเพชรเกษม 41 นอกจากจะมีเวทีวิชาการว่าด้วยประชาชนต้องมีส่วนกำหนดแผนพัฒนาภาคใต้อย่างยั่งยืน โดยมี นพ.นิรันดร์ พิทักษ์ วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดร.อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยรังสิต อ.ประสาท มีแต้ม นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญเรื่องพลังงาน และภารณี สวัสดิรักษ์ จากเครือข่ายวางแผนและผังเมืองเพื่อสังคม เป็นวิทยากร นำอภิปรายแล้ว ยังมีการประกาศเจตนารมณ์ของผู้แทนเครือข่ายต่างๆ ที่เข้าร่วมด้วย

แต่ที่ต้องถือว่าเป็นไฮไลต์สำคัญของปฏิบัติการเพชรเกษม 41 ก็คือ การรวมพลังแพลงกิ้งบนท้องถนนด้านหน้าวนอุทยานเขาพางที่จังหวัดชุมพรนั่นเอง โดยมีทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนหลายพันคนที่เข้าร่วมนอนแกล้งตายแบบตัวเหยียดตรงต่อเนื่องกันเป็นทิวแถวยาวสุดตาบนถนน 4 เลนอันเป็นเส้นทางสายหลักลงสู่ภาคใต้ ซึ่งภาพการทำกิจกรรมของภาคประชาชนนี้ได้รับความสนใจนำเสนอทางสื่อมวลชนจำนวนมาก

ภายหลังปฏิบัติการเพชรเกษม 41 ครั้งใหญ่ในครานั้น เครือข่ายภาคประชาชนในจังหวัดและชุมชนต่างๆ ได้พร้อมใจกันปฏิญาณว่าจะขับเคลื่อนกิจกรรมร่วมกันต่อไป พร้อมๆ กับให้แต่ละเครือข่ายกลับไปจัดกิจกรรมที่เป็นอิสระของตนเอง แต่ให้สอดรับกับแนวทางของการเคลื่อนไหวในภาพรวม

อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้ากุมอำนาจการบริหารประเทศได้อย่างเป็นทางการ ภายหลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาได้เพียงประมาณเดือนเดียว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ต้องเผชิญกับการท้าทายแบบร่วมกันของทุกเครือข่ายภาคประชาชนบนแผ่นดินด้ามขวานเป็นหนที่สอง

นั่นคือนับตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนเป็นต้นมาได้มีปฏิบัติการเพชรเกษม 41 ครั้งใหม่ภายใต้หัวข้อ “เดินเท้าปักธงเขียว เกี่ยวก้อยกันบรรเลงเพลง พิทักษ์ปักษ์ใต้”

ทั้งนี้ สิ่งที่เครือข่ายภาคประชาชนกำหนดเป็นกิจกรรมสำคัญร่วมกันอีกคราครั้งก็คือ การรวมตัวกันเดินเท้ารณรงค์ไปทั่วพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ เพื่อประกาศเจตนารมณ์ไม่เอาเมกะโปรเจ็กต์ที่มากมาย ไปด้วยปัญหาและมลภาวะบนแผ่นดินด้ามขวาน แต่ต้องการให้ประชาชนได้เป็นผู้กำหนดอนาคตของตัวเอง

เริ่มออกเดินเท้าก้าวแรกที่อำเภอ ปะทิว จังหวัดชุมพร ซึ่งมีการวางแผนว่าจะให้ขบวนเคลื่อนตัวไปได้วันละประมาณ 30 กิโลเมตร พร้อมกับช่วยกันระดมปักธงเขียวไปตลอดทางจนกว่าจะครอบคลุมทั่วพื้นที่เป้าหมาย แล้วไปสิ้นสุดที่หาดปากบาราจุดก่อสร้างท่าเรือแลนด์บริดจ์ฝั่งทะเลอันดามันที่จังหวัดสตูล

นอกจากนี้ก็จะมีช่วงเวลาแวะพักเป็นระยะ เพื่อให้ศิลปินชื่อดัง อาทิ หงา คาราวาน, แสง ธรรมดา, ซูซู, ตุด นาคอน และเพื่อนพ้องน้องพี่ได้เปิดคอนเสิร์ต รวมถึงให้ศิลปินแขนงอื่นๆ ที่เข้าร่วมเปิดการแสดงเพื่อรณรงค์เรื่องการพิทักษ์รักษาทรัพยากรในแผ่นดินภาคใต้ที่กำลังจะถูกทำลาย

อย่างไรก็ดี สมยศ โต๊ะหลัง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่เครือข่ายภาคประชาชน บนพื้นแผ่นดินด้ามขวานใช้ชื่อปฏิบัติการว่า “เพชรเกษม 41” ก็เพื่อต้องการใช้เส้นทางคมนาคมขนส่งสายหลักและสำคัญที่สุดของพื้นที่ภาคใต้เป็นสัญลักษณ์และสร้างนัยของกิจกรรมขึ้น

เป็นการเอาชื่อถนน 2 สายมาผสมกันคือ “ถนนเพชรเกษม” กับ “ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41” ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นถนน 4 เลนที่เชื่อมต่อกันแบบต่อเนื่อง ถือเป็นแนวเส้นทางสายหลักที่ตรงที่สุดจากกรุงเทพฯ มุ่งตรงสู่แผ่นดินภาคใต้

สำหรับถนนเพชรเกษมมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการอีกชื่อหนึ่งว่า ทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 4 ซึ่งเป็นเส้นทางหลักจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่ภาคใต้ หรือที่มักเรียกกันติดปากว่าถนนสายเอเชียนั่นเอง มีจุดเริ่มต้นที่วงเวียนใหญ่ผ่านจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดนครปฐม จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วเมื่อถึงจังหวัดชุมพรที่สี่แยกปฐมพร เลี้ยวขวาไปทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกเข้าจังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง แล้วเข้าสู่สี่แยกท่ามิหรำที่จังหวัดพัทลุง ก่อนไปสิ้นสุดในเขตแดนไทยที่อำเภอ สะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งถนนสายนี้ยังเชื่อมต่อเข้าไปยังประเทศมาเลเซียและเลยไปถึงได้ประเทศสิงคโปร์

ส่วนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 มีจุดเริ่มที่สี่แยกปฐมพรในจังหวัดชุมพรแล้วล่องลงใต้ผ่านอำเภอสวี ทุ่งตะโก หลังสวน และละแม แล้วเข้าสู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่อำเภอท่าชนะ ผ่านไชยา ท่าฉาง พุนพิน บ้านนาเดิม บ้านนาสาร และเวียงสระ จากนั้นเข้าสู่จังหวัดนครศรีธรรมราชที่อำเภอฉวาง ผ่านไปยังนาบอน ทุ่งสง ร่อนพิบูลย์ จุฬาภรณ์ และชะอวด ก่อนที่จะเข้าสู่จังหวัดพัทลุงที่อำเภอป่าพะยอม ผ่านควนขนุน และไปสิ้นสุดแบบบรรจบกับถนนเพชรเกษมที่สี่แยกท่ามิหรำในอำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง

“เมื่อเพชรเกษม 41 คือเส้นทาง 2 สายที่เชื่อมต่อเป็นถนน 4 เลนสายหลักที่วิ่งตรงที่สุดจากกรุงเทพฯ ล่องลงสู่ภาคใต้ จึงไม่ต่างอะไรจากเส้นทางสายอำนาจจากศูนย์กลางเมืองหลวงที่ทิ้งดิ่งลงสู่ผืนแผ่นดิน ด้ามขวาน จึงถือเป็นถนนสายที่สามารถทำให้คนปักษ์ใต้รู้สึกถึงความรื่นรมย์และชื่นชมก็ได้ หรืออาจจะแปรเปลี่ยนเป็นขมขื่นและอกตรมก็เป็นได้เช่นกัน” สมยศ โต๊ะหลัง กล่าวและเสริมว่า

“หากทิศทางการพัฒนาของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ภายใต้ปีกโอบของระบอบทักษิณจะยังเป็นแบบโถมถมเมกะโปรเจ็กต์ที่ไม่ใช่ความต้องการของคนด้ามขวานลงไปอย่างต่อเนื่อง เครือข่ายภาคประชาชนจึงเชื่อว่าต่อไปถนนสายนี้ก็คงไม่ต่างอะไรจากเส้นทางที่ถูกกลุ่มทุนใหญ่ ทั้งไทยและเทศใช้ช่วงชิงทรัพยากรจากคนในท้องถิ่นนั่นเอง”

ความจริงแล้วการใช้สัญลักษณ์ “เพชรเกษม 41” เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่เดือนมานี้ แต่ต้องนับว่ามีความซับซ้อนและเข้าใจยากกว่า “แลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล” เสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็จะถูกใช้เป็นช่องทางเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์จากท้องถิ่นของทุนใหญ่ในแบบเดียวกัน

เนื่องจากแลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล ถือเป็นเมกะโปรเจ็กต์ที่ประกาศว่าจะรุกก้าวให้ก่อสร้างมาแล้วนับสิบปี และหลายรัฐบาลที่ผ่านๆ มาต่างก็เดินหน้าขับเคลื่อน ด้วยความเข้มข้นมาตลอด

อีกทั้งในส่วนของเครือข่ายภาคประชาชน แวดวงผู้คนในองค์กรพัฒนาเอกชน หรือหน่วยงานภาครัฐเอง รวมถึงบรรดานักวิชาการทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ต่างได้นำโครงการแลนด์บริดจ์นี้ไปถกแถลงกันแล้วอย่างกว้างขวาง จึงถือว่าเป็นที่รับทราบกันแพร่หลาย

นอกจากนี้ เมื่อหลายสิบปีก่อนรัฐเองก็เคยทุ่มเงินหลายหมื่นล้านบาทสร้าง “ถนนแลนด์บริดจ์” เชื่อมระหว่างจังหวัดกระบี่กับอำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งรัฐบาลสมัยนั้นคิดว่าจะให้ เป็นส่วนประกอบของแลนด์บริดจ์ในภาคใต้ตอนกลาง อันเวลานี้ถือเป็นโครงการนำร่องที่ชี้ให้เห็นความไม่คุ้มค่ามาแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจให้ก่อสร้างแลนด์บริดจ์เส้นใหม่ โดยเลื่อนลงมายังพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างอย่างเวลานี้

ทว่า พร้อมๆ กับที่สังคมไทยได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้าวขึ้นกุมบังเหียนอำนาจรัฐ อันถือเป็นนอมินีชุดใหม่ของระบอบทักษิณ ขณะที่เครือข่ายภาคประชาชนบนผืนแผ่นดินด้ามขวานออกมาเคลื่อนไหวด้วยเป็นห่วงทิศทางการพัฒนาประเทศชาตินั้น ก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งในพื้นที่หยิบยกเอาแลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล รวมถึงเมกะโปรเจกต์อื่นๆ ภายใต้แนวคิดโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ดไปพินิจพิจารณาและวิเคราะห์ครั้งใหม่ไว้อย่างเป็นระบบ

โดยแค่ห้วงเวลาเพียงกว่าเดือนมานี้เอง กลุ่มคนกลุ่มนี้ก็ได้ผลิตเอกสารชี้แจง ความจริงเกี่ยวกับแลนด์บริดจ์และเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดสงขลา และจังหวัดสตูลออกแจกจ่ายอย่างแพร่หลาย พร้อมกับชี้ประเด็นแบบชัดเปรี้ยงลงไปตรงๆ เลยว่า...

สงขลา-สตูลกำลังจะก้าวไปสู่จังหวัดอุตสาหกรรมหนัก

ที่จริงกลุ่มคนที่รวมตัวกันศึกษาและ จัดทำเอกสารชี้แจงความจริงเกี่ยวกับแลนด์ บริดจ์สงขลา-สตูล รวมถึงเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ อย่างที่ว่า ก็คือคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 2 จังหวัดเป้าหมายของการก่อสร้างนั่นแหละ

มีทั้งที่เป็นบุคลากรในภาครัฐ ภาคเอกชน เอ็นจีโอ เครือข่ายด้านสุขภาพ เครือข่าย ภาคสังคม และเครือข่ายภาคประชาชน ซึ่งผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืนลงตัวทั้งในรูป ของความร่วมมือทางข้อมูล ด้านงานวิชาการ และที่สำคัญคือการจัดหาแหล่งทุนสนับสนุน โดยตั้งเป็นคณะทำงานขึ้นมาใหม่ใช้ชื่อว่า...”คณะทำงานหยุดการพัฒนาสงขลา-สตูล สู่การเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมหนัก”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา กรรมการชมรมแพทย์ชนบท และคีย์แมนคนสำคัญของเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพจังหวัดสงขลา ให้ข้อมูลกับผู้จัดการ 360 ํ ในฐานะที่เป็น 1 ในคณะทำงานชุดที่ตั้งขึ้นใหม่ชุดนี้ว่า เอกสารชี้แจงความจริง เป็นการรวบรวมข้อมูลเมกะโปรเจ็กต์ ที่รัฐกำลังผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ สามารถกล่าวได้ว่าไม่เคยมีการเปิดเผยในลักษณะนี้ที่ไหนมาก่อน

สำหรับเอกสารชี้แจงความจริงสงขลา-สตูลกำลังจะก้าวไปสู่จังหวัดอุตสาหกรรมหนัก จัดพิมพ์เป็นรูปเล่มสวยงามเห็นแล้วสะดุดตาและน่าตื่นใจไปพร้อมๆ กันด้วยระบบออฟเซ็ต 4 สีบนกระดาษอาร์ตมันอย่างดี โดยมี 2 รูปแบบคือ เล่มบางขนาด A4 เป็น การสรุปโครงการขนาดใหญ่อย่างชี้ประเด็นกระชับ และเล่มหนาหน่อยขนาดพ็อกเก็ตบุ๊กที่ให้ข้อมูลค่อนข้างละเอียด

“จากเอกสารชี้แจงความจริงที่ให้ข้อมูลเมกะโปรเจ็กต์ไว้อย่างเป็นระบบนี้ ทำให้ผมสามารถจินตนาการต่อได้ว่า ต่อไปแผ่นดินของทั้งจังหวัดสงขลาและสตูลจะถูกพัฒนา แบบหยิบยกเอาเมืองหรือแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มารวมกันไว้ ที่เห็นชัดเจนก็มาจาก 3 ที่ ได้แก่ มาบตาพุดที่ระยอง สมุทรปราการ และแม่เมาะที่ลำปาง”

นพ.สุภัทรขยายภาพในจินตนาการให้ฟังว่า อุตสาหกรรมหลักที่รัฐต้องการให้ตาม มากับแลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล ก็คืออุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ซึ่งถูกตั้งขึ้นที่ภาคตะวันออกไปแล้ว 3 เฟส แต่ปัจจุบันไม่สามารถขยายพื้นที่ได้อีก ดังนั้น ตั้งแต่เฟส 4 เป็นต้นไปจะถูกผลักดันให้ลงมาอยู่ที่ภาคใต้ โดย 2 จังหวัดนี้ถือเป็นเป้าหมายหลัก

นั่นจึงไม่ต่างอะไรจากการหยิบยกเอามาบตาพุดเข้ามาไว้

เมื่อโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เอื้ออำนวย อุตสาหกรรมเกษตรที่ลงหลักปักฐานใน 2 จังหวัดนี้อยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเล ยางพารา และปาล์มน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันอยู่กระจัด กระจายไปทั่วพื้นที่ ต่อไปก็ยิ่งจะขยับขยาย แตกฉานซ่านเซ็นมากยิ่งขึ้นไปอีก

นั่นก็จะไม่ต่างอะไรจากการหยิบยก เอาสมุทรปราการเข้ามาเติม

นอกจากนี้แล้ว เมื่อรัฐบาลชุดเร่งเดินหน้าเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ ในภาคใต้ การหาแหล่งพลังงานรองรับจึงเป็นเรื่องสำคัญ แม้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซในภาคใต้ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ จึงต้องเดินหน้าต่อทั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มอีกหลายแห่ง เมื่อไม่กี่ปีมานี้จึงได้เห็นแผนฟื้นการผลักดันให้เปิดเหมือง ถ่านหินที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่นั่น

ซึ่งหากเป็นผลสำเร็จก็จะเหมือนหยิบยกเอาแม่เมาะมาผสมโรงไว้ด้วย

“สิ่งที่ยืนยันว่าอีกไม่กี่ปีสงขลา-สตูลจะเป็นแหล่งอุตสาหกรรมหนัก ดูได้จากพื้นที่อุตสาหกรรมที่มาบตาพุดเริ่มจากราว 4,000 ไร่ เวลานี้ขยายเต็มที่แล้วก็ยังเพียงกว่า 20,000 ไร่ แต่ที่สงขลาโรงแยกก๊าซและโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขอใช้ที่เพิ่มแห่งละเกือบ 1,000 ไร่ โรงถลุงเหล็กจะเอา 8,000 ไร่ โรงกลั่นน้ำมัน 10,000 ไร่ แล้วยังเตรียม ที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมไว้อีกนับหมื่นนับแสนไร่ ส่วนที่สตูลเตรียมไว้ให้น้ำมัน 5,000 ไร่ แถมอีกกว่า 150,000 ไร่เพื่อทำนิคมอุตสาหกรรมด้วย” นพ.สุภัทรกล่าวและว่า

ภาคใต้หรือแม้แต่จังหวัดสงขลา-สตูล ปัจจุบันมีการพัฒนาอยู่บนฐานทรัพยากรของท้องถิ่น ทั้งด้านการเกษตร การค้า การท่องเที่ยวและการบริการ แม้จะมีอุตสาหกรรม บ้างแต่ยังไม่มากนัก การจะพัฒนาให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมหนักนับว่ามีศักยภาพรองรับได้ แต่ควรจะให้เป็นเช่นนั้นหรือไม่ เรื่องนี้ต้องให้คนในพื้นที่มีส่วนตัดสินใจด้วย

หมอที่เป็นหนึ่งในคณะทำงานหยุดการพัฒนาสงขลา-สตูลสู่การเป็นจังหวัดอุตสาหกรรมหนัก กล่าวด้วยว่า 2 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างนี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และสิ่งนี้ไปกันไม่ได้เลยกับการทำให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมหนัก เรื่องนี้มีการพิสูจน์ไว้เป็นที่ประจักษ์แล้ว อีกทั้งการท่องเที่ยวหรือการพัฒนาบนฐานทรัพยากรก็สามารถ พัฒนาได้อย่างยั่งยืนด้วย ขณะที่อุตสาหกรรมหนักอยู่ได้เพียงไม่กี่สิบปี

“อีกอย่างที่รัฐบาลบอกว่าสร้างแลนด์บริดจ์แล้วเศรษฐกิจจะดีขึ้น ที่สำคัญจะเป็น การช่วยดับไฟใต้ด้วยนั้น ต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้คือ สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นที่รับรู้ว่า การใช้ชีวิตในสังคมอุตสาหกรรมไม่สอดคล้องกับวิถีมุสลิม ดังนั้นการดันสร้างแลนด์บริดจ์และเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ อาจจะเป็นการราดน้ำมันดับไฟใต้ก็เป็นได้”

ขณะที่ไกรวุฒิ ชูสกุล ฝ่ายบริหารการตลาดบริษัท หลี่เป๊ะ เฟอรี่ แอนด์ สปีดโบ๊ท จำกัด ในฐานะแกนนำในพื้นที่เครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล ให้ความเห็นกับผู้จัดการ 360 ํ โดยมองเห็นภาพอนาคตของจังหวัดสตูลหลังถูกทำให้กลายเป็นแหล่งอุตสาหกรรมหนักว่า เมื่อถึงเวลานั้นธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเป็นเหมือนเส้นเลือดหลัก ที่หล่อเลี้ยงพื้นที่น่าจะแทบไม่มีเหลือหลอ

ไกรวุฒิยืนยันหนักแน่นว่า จังหวัดสตูลมีฐานทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย ยิ่งเมื่อพิจารณาจากสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งยิ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีคุณค่ามากมายเกินกว่าที่จะเอาอุตสาหกรรมหนักเข้าไปทำลาย

สิ่งนี้ยืนยันได้จากพื้นที่ตอนบนของจังหวัดสตูลนั้น ซีกหนึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ ทะเลบัน ซึ่งเป็น 1 ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัด จากพื้นที่สูงได้ทอดตัวลงมา เรื่อยๆ สู่คาบสมุทร จะเห็นขุนเขา เทือกสวน ไร่นา แม่น้ำ น้ำตก ผืนป่า รวมถึงสัตว์ป่า นานาชนิด

ก่อนถึงทะเลที่อำเภอละงู จะมีป่าโกงกางทอดตัวกั้นอยู่ จากนั้นเป็นทะเลน้ำตื้นที่มีเกาะแก่งน้อยใหญ่ถูกจัดวางไว้อย่างลงตัว อันเป็นเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ถัดไปเป็นทะเลลึกแต่ก็ยังมีเกาะแก่งขนาดใหญ่สวยงาม คืออุทยานแห่งชาติตะรุเตา

อีกสิ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีคือ จังหวัดสตูล ยังมีพืชและสัตว์ที่ต้องนับว่าหาได้ยากยิ่งจากแผ่นดินอื่นๆ อาทิ ปูทหารยักษ์บนหาดปากบาราที่จะถูกสร้างเป็นท่าเรือน้ำลึก แม้จะเป็นสัตว์ประจำถิ่นที่มีอยู่นมนานแล้ว แต่ก็เพิ่งมีการค้นพบเมื่อไม่นานมานี้เอง หรือ อย่างกล้วยไม้รองเท้านารีพันธุ์ขาวสตูล พบอยู่บนเกาะเขาใหญ่และเกาะลิดีในจังหวัดสตูล ถือเป็นหนึ่งเดียวของไทยและไม่เคยมีการค้นพบที่ไหนมาก่อน

นอกจากนี้แล้วก็มีนกชาปีไหนหรือนกซาฟีไหน พบที่บริเวณเกาะบูโหลน เป็นนกที่ถูกขึ้นทะเบียนไว้ในสนธิสัญญาไซเตส ปลาโลมา ปลาพะยูน ปลากระเบนแมนต้าหรือปลากระเบนราหู ฉลามวาฬ รวมถึงวาฬแคระที่ทุกๆ หน้าแล้งจะอพยพจากมหาสมุทรอินเดียผ่านน่านน้ำจังหวัดสตูลที่บริเวณหมู่เกาะเภตรา เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง-ราวี เป็นต้น

“เอาแค่สภาพทางภูมิศาสตร์เราจะหาแผ่นดินไหนมีความสวยงามลงตัวแบบนี้ได้บ้าง หรือในท้องทะเลก็เป็นที่กล่าวขานกันว่าไม่มีพื้นที่ไหนเทียบเท่าได้ อย่างปะการังทั่วโลกมีอยู่ร่วมกว่า 300 ชนิด แต่ในทะเลของจังหวัดสตูลก็มีถึงกว่า 200 ชนิด นี่ยังไม่นับรวมปลาและสัตว์น้ำต่างๆ ที่ก็มากมายหลากหลายไม่แพ้กัน” ไกรวุฒิกล่าว

แกนนำในพื้นที่เครือข่ายประชาชนติดตามแผนพัฒนาจังหวัดสตูล ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่จะตามมาจากการโถมถมเมกะโปรเจ็กต์ลงไปในท้องถิ่นว่า แค่ยังไม่ต้องคิดถึง เรื่องของอุตสาหกรรมหนักต่างๆ ที่จะถูกหว่านโปรยลงมา เอาแค่โครงสร้างพื้นฐานในส่วนของแลนด์บริดจ์สงขลา-สตูล เรื่องนี้ก็ต้องนับว่าหนักหนาแน่นอน

เริ่มจากในส่วนของท่าเรือน้ำลึกปากบารา แค่เฟสแรกก็จะสร้างแท่งคอนกรีตขนาด มหึมากลางทะเลบริเวณอ่าวปากบาราที่มีชื่อเสียง โดยแท่งคอนกรีตมีความยาวถึง 1.1 กิโลเมตร กว้าง 430 เมตร และยังต้องสร้างสะพานคอนกรีตเชื่อมเข้าหาฝั่งอีกด้วยความยาว 4.3 กิโลเมตร ซึ่งส่วนนี้จะเป็นทั้งถนนให้รถวิ่งและมีเส้นทางรถไฟรางคู่อยู่ด้วย

การสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารานี้จะต้องขอยกเลิกพื้นที่แบบชนิดต้องเจาะไข่แดงเป็นวงใหญ่ ทั้งในส่วนของตัวท่าเรือและสะพานเชื่อมเข้าหาฝั่ง โดยต้องกันออกจากเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราเป็นพื้นที่กว่า 4,700 ไร่ ในส่วนของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา แม้ไม่มีการขอใช้พื้นที่อย่างเป็นทางการ แต่ก็ต้องสูญเสียให้กับเส้นทางเดินเรือสินค้าเข้า-ออกด้วยเช่นกัน เหล่านี้ยังไม่นับรวมมลพิษและมลภาวะทางทะเลที่จะตามมากับกิจกรรม ขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมผ่านท่าเรือแห่งนี้

ในส่วนของถนนในรูปแบบของมอเตอร์เวย์ และเส้นทางรถไฟรางคู่บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งจะต้องสร้างต่อจากท่าเรือน้ำลึกปากบาราไปอีกราวๆ 150 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมกับท่าเรือน้ำลึกสงขลา 2 อีกทั้งการวางท่อน้ำมันและก๊าซข้ามคาบสมุทรด้วยนั้น นอกจากต้องเวนคืนที่ดินชาวบ้านแล้ว บางส่วนต้องผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดด้วย ซึ่งก็ต้องกระทบกับชุมชนและธรรมชาติบนบกอีกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากรวมเอาพื้นที่เตรียมไว้ทำนิคมอุตสาหกรรมและเขตอุตสาหกรรมต่างๆ อีกกว่า 150,000 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 3 อำเภอคือ อำเภอละงู อำเภอมะนัง และ อำเภอควนกาหลง เวลานี้เพิ่งมีข่าวว่ากำลังมีกลุ่มทุนยักษ์ขอสัมปทานเหมืองทองคำอีกนับแสนไร่ เช่นนี้แล้วทิศทางการพัฒนาของจังหวัดสตูลในอนาคตจะสาหัสสากรรจ์แค่ไหน

เมื่อแผ่นดินปลายด้านขวาน โดยเฉพาะจังหวัดสงขลาและสตูลถูกกำหนดให้ เป็นพื้นที่รองรับการก่อสร้างแลนด์บริดจ์ อันเป็นไปตามแนวคิดโครงการเซาเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งจะตามติดไปด้วยการลงทุนในเมกะโปรเจ็กต์อื่นๆ อีกมากมาย

จนคาดการณ์กันได้ว่าอีกไม่ช้านาน หรืออาจจะ 5 ปี 10 ปีนี้ บนแผ่นดินของ 2 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง จะกลายเป็นแหล่งรองรับอุตสาหกรรมหนักนั้น

หากเป็นเช่นนั้นจริง การเกิดขึ้นของแลนด์บริดจ์ก็ไม่น่าจะแตกต่างจากการทำให้เกิดสิ่งที่ต้องเรียกว่า สงขลา-สตูลกำลังจะเกิดปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบพลิกฟ้าพลิกดินเลยทีเดียว

สิ่งนี้ทำให้ต้องคิดเผื่อไปถึงคนรุ่นลูกรุ่นหลานว่า แล้วจะอยู่กันอย่างไรเมื่อการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินมาถึง?!   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us