|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัท Starwood Hotel & Resort เปิดตัวโรงแรมใหม่สัญชาติอเมริกันอีกแห่งในมหานครกรุงเทพ ในนาม St.Regis Bangkok แม้จะเป็นโรงแรมใหม่ของเมืองไทยที่น้อยคนจะรู้จัก แต่ในทางตรงกันข้ามโรงแรม St.Regis ถือเป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดโรงแรมหนึ่งที่อยู่คู่กับความเจริญรุ่งเรืองของมหานครนิวยอร์กมายาวนานถึง 107 ปีแล้ว เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1904 บนถนนสุดหรู Fifth Avenue
ตำนานของโรงแรม St.Regis เริ่มขึ้นเมื่อ John Jacob Astor คหบดีผู้มั่งคั่งแห่งตระกูล Astor ซึ่งเป็น ตระกูลหนึ่งที่ร่ำรวยมากที่สุดในอเมริกาสมัยนั้น ได้จ้างบริษัท Isaiah Rogers ซึ่งเป็นบริษัทสถาปัตย์ที่มีชื่อเสียง ในขณะนั้น ออกแบบโรงแรมหรูบนพื้นที่บ้านหลังเก่าของ เขาในย่านแฟชั่นช่วงถนน Broadway ตอนล่าง ตรงข้าม สวน City Hall Park แห่งนครนิวยอร์ก เพื่อต้อนรับบรรดานักท่องเที่ยวและนักธุรกิจชั้นสูงจากทั่วโลก โรงแรม นี้เรียกชื่อตามตระกูลว่า Astor House
Astor House เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงในหมู่สังคมชั้นสูง ให้บริการในฐานะโรงแรมที่ดีที่สุดในนิวยอร์กนานกว่า 15 ปี จนกระทั่งช่วงที่นครนิวยอร์กขยายเติบโตมาก ศูนย์กลางแฟชั่นได้ย้ายไปอยู่ตอนบนของถนน Broadway โดยเฉพาะช่วงถนนระหว่างถนน Canal และถนน Houston ในย่านนี้มีโรงแรมใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น โรงแรม St.Nicholas และโรงแรม Metropolitan เป็นต้น โรงแรมเหล่านี้มีมาตรฐานคุณภาพไม่เพียงแค่ เทียบเท่า The Astor House ที่ตั้งไว้ แต่ยังเป็นคู่แข่ง ที่สูสีของ The Astor House อีกด้วย
ภายหลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุด ตามมาด้วยการฟื้นตัวของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ตอนเหนือของนครนิวยอร์กกลับมาคึกคักอีกครั้ง มีโรงแรมใหญ่เปิดขึ้นมากมายหลายแหล่ง ใกล้ย่านจัตุรัส Madison ย่าน Fifth Avenue และย่าน Broadway เช่น โรงแรม The Gilsey House และ The Grand ปัจจุบันกลายเป็นแลนด์มาร์กของนครนิวยอร์กที่ยังคง ตั้งอยู่บนถนน Broadway
สมาชิกตระกูล Astor รุ่นเหลน ประกอบด้วย John Jacob Astor ที่ 4 และ William Waldorf Astor สืบสานต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของต้นตระกูล ด้วยการรับสร้างโรงแรมหรูในนครนิวยอร์ก ต่อมาเกิด ความขัดแย้งภายในสมาชิกตระกูล เริ่มจาก William Waldorf Astor ญาติผู้พี่ของ John Jacob Astor ที่ 4 สร้างโรงแรม Waldorf ในปี 1892 ความสูง 13 ชั้นใหม่ในย่าน Fifth Avenue บนถนนที่ 33 และ 34 ซึ่งเป็นที่ดินของบิดาที่อยู่ติดกับบ้านของ Caroline Webster Schermerhorn Astor ผู้เป็นมารดาของ John Jacob Astor ที่ 4 ทำให้พวกเขาเกิดความไม่ พอใจอย่างมาก John Jacob Astor ที่ 4 ถึงขั้นทุบ ตึกบ้านของตัวเอง เพื่อสร้างเป็นโรงแรม Astoria มีความสูง 17 ชั้น ติดกับโรงแรม Waldorf และเปิดให้ บริการให้ปี 1897 ทั้งสองโรงแรมมี George Charles Boldt เป็นเจ้าของ ซึ่ง Mr.Boldt เชื่อมทั้งสองโรงแรม เข้าด้วยกัน เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Waldorf-Astoria ทำให้กลายเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้น
ในปี 1892 William Waldorf Astor สร้างโรงแรม New Netherland บนถนนที่ 59 เชื่อมกับ Fifth Avenue โรงแรมเหล่านี้ได้เปลี่ยนย่าน Fifth Avenue จากที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยธรรมดาไปสู่ถนน สายแฟชั่นสุดหรูและเป็นย่านเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองที่สุด ในนครนิวยอร์ก ทั้ง Waldorf-Astoria และโรงแรม New Netherland เป็นโรงแรมแรกๆ ที่อยู่ในอาคาร พาณิชย์สูงระฟ้าที่มีพื้นที่ให้เช่า ไม่ใช่โรงแรมเดี่ยวอย่างที่เคยมีมาในอดีต นับเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกระดับหนึ่งที่แปลกใหม่
10 ปีหลังจากโรงแรมเหล่านี้เปิดดำเนินการ นครนิวยอร์กมีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน สร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน สร้างสะพานใหญ่ข้ามแม่น้ำ East River ถึง 3 สะพาน นอกจากนั้นยังมีการสร้างสถานีรถไฟใหญ่ 2 สถานีด้วยกันคือ สถานี Pennsylvania และสถานี Grand Central ยิ่งกว่านั้นมีโรงละคร เกิดขึ้นมากมายที่ถนน Broadway และ Times Square ณ วันนั้น Fifth Avenue เป็นถนนสายสำคัญ ต่อมามีการสร้างโรงแรมสำหรับนักธุรกิจขึ้นมากมายใน พื้นที่รอบสถานีรถไฟ ส่วนถนน Broadway และ Mid Town มีโรงแรมสำหรับ นักท่องเที่ยวผุดขึ้นจำนวนมาก โรงแรม ที่อยู่ในย่าน Fifth Avenue เป็นโรงแรม ระดับหรูชั้นสูง ขณะที่ Waldorf-Astoria กลายเป็นโรงแรมที่ใหญ่เกินไป เนื่อง จากมีคนเข้าพักมากหน้าหลายตาเกินไป ไม่หรูพิเศษสำหรับสังคมชั้นสูงอีกต่อไป ต่อมาในปี 1928 โรงแรมถูกทุบทิ้งเพื่อสร้างอาคาร Empire State จากความต้องการโรงแรมหรูอย่างแท้จริง ทำให้ St.Regis เกิดขึ้น โดยไม่มีการจำกัดงบประมาณ คอนเซ็ปต์คือ ต้องการให้เป็นโรงแรมระดับหรูส่วนตัวและแพงที่สุดในนครนิวยอร์ก
ในปี 1902 John Jacob Astor ที่ 4 เริ่มสร้างโรงแรมใหม่บนหัวมุมถนน Fifth Avenue และถนนสายที่ 55 ซึ่งอยู่ในย่านหรูที่สุดในเวลานั้น ด้วยเงินลงทุนถึง 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในยุคนั้น ถือเป็นจำนวนเงินมหาศาลที่ไม่มีใครเคยลงทุนมาก่อน ระหว่างที่ทำการก่อสร้างนั้น John Jacob Astor ที่ 4 ยังไม่มีชื่อให้กับโรงแรมใหม่ของเขา จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเดินทางไปเยือนทะเลสาบ St.Regis ที่อยู่ในเมือง Adirondacks ตอนบนของนิวยอร์ก ณ ที่นั้น หลานสาว ของเขาเป็นผู้จุดประกายความคิดในการใช้ชื่อตามทะเล สาบ St.Regis หลังจากที่เขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับทะเล สาบแห่งนั้น เขาพบว่าทะเลสาบที่เรียกว่า St.Regis เช่นนั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงนักบุญชาวฝรั่งเศสนามว่า John Francis Regis ผู้ที่คนรู้จักกันทั่วไปว่ามีมิตรไมตรี ต้อนรับขับสู้นักเดินทางผู้มาเยือนเป็นอย่างดี ดังนั้น เขาคิดว่า St.Regis เป็นชื่อที่เหมาะสมที่สุดของโรงแรมใหม่นี้
โรงแรม St.Regis ออกแบบโดยสถาปนิกจาก กลุ่ม Trowbridge & Livingston โดยเป็นสถาปัตยกรรมแนวโบซาร์ (Beaux-Arts) ของฝรั่งเศส มีความสูง 18 ชั้น ถือเป็นอาคารที่สูงที่สุดในนครนิวยอร์กขณะนั้นมี Arnold Constable มัณฑนากร เป็นผู้ออกแบบการตกแต่งภายใน โรงแรม St.Regis เสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 กันยายน 1904 ด้วยราคาห้องพักคืนละ 5 เหรียญสหรัฐ บรรดาสื่อต่างๆ พรรณนาว่า St.Regis เป็นโรงแรมที่ตกแต่งได้หรูเลิศที่สุดในโลก นับตั้งแต่พื้นหินอ่อนจากฝรั่งเศส เฟอร์นิเจอร์สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 โคมไฟคริสตัลระย้าจาก Waterford Crystal พรมหรู ผ้าโบราณ ห้องสมุดเต็มไปด้วยหนังสือเก่าแก่ ปกหนังขอบทองล้ำค่าจำนวนกว่า 3,000 เล่ม ประตูทางเข้าโรงแรมเป็นโลหะสำริดขัดเงา เตาผิงหินอ่อน เพดานตกแต่งสุดหรู รวมทั้งมีการติดตั้งโทรศัพท์ในทุกห้องพัก ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในสมัยนั้น
นอกจากนั้น John Jacob Astor ที่ 4 สร้าง St.Regis ให้เป็นโรงแรมที่ทันสมัยด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ ได้แก่ การติดตั้งระบบปรับอากาศแบบส่วนกลาง (Central Air-Conditioning) ระบบทำความร้อน (Heating) ระบบสัญญาณกันภัย ระบบดูดฝุ่นพิเศษ และเป็นโรงแรมที่มีช่องส่งจดหมายในแต่ละชั้นของโรงแรม จากสิ่งอำนวยความสะดวก ความทันสมัยและหรูหราที่สุดในเมือง ทำให้บรรดาบุคคลในสังคมชั้นสูงยุคนั้นยอมรับให้ St.Regis เป็นบ้านอีกหลังของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
ตำนาน St.Regis แค่เริ่มต้น ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ โปรดติดตามตอนต่อไปในฉบับหน้า
|
|
|
|
|