Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2529
วานิช ไชยวรรณ กับความขัดแย้ง สมบูรณ์-สุระ ตัวแปรที่อ่านยาก...             
 


   
search resources

ธนาคารแหลมทอง
สุระ จันทร์ศรีชวาลา
วานิช ไชยวรรณ
สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์
Banking




น่าจะมีคนเป็นจำนวนมากอยากทราบว่าเขา-วานิช ไชยวรรณ รู้สึกนึกคิดเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องวุ่น ๆ ในแบงก์แหลมทอง หรือพูดอีกทีก็คือความขัดแย้งระหว่างสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ กับกลุ่มสุระ จันทร์ศรีชวาลา

เคยมีคนถามสุระเกี่ยวกับท่าทีของวานิช ไชยวรรณ ภายหลังที่มีข่าวออกมาว่าสุระแอบดอดไปคุยกับวานิชก่อนหน้าการยื่นหนังสือขอให้มีการเปิดประชุมวิสามัญเพื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของกลุ่มสุระ 4 ข้อ โดยข้อที่ฉกาจฉกรรจ์ที่สุดคือการพิจารณาถอดถอนสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ ออกจากตำแหน่ง

“เฮียวานิช อึดอัดใจมาก แกพูดกับผมว่าถ้ารู้มาก่อนว่าเข้าแบงก์แหลมทอง แล้วต้องมาเจอปัญหายุ่ง ๆ อย่างนี้ รับรองไม่เข้ามาแน่....” สุระ จันทร์ศรีชวาลายืนยันกับ “ผู้จัดการ”

มีบางคนแสดงความเห็นในเชิงวิเคราะห์ลึกลงไปอีก

“คุณวานิชอยากจะขายหุ้นแหลมทองรู้แล้วรู้รอดด้วยซ้ำไป เพียงแต่ก็คงจะติดขัดที่คุณสมบูรณ์ เข้าใจว่าคงจะมีข้อตกลงกันอยู่บางอย่าง”

บางคนที่ไม่ใช่บางคนข้างต้นก็มองเป็นตรงกันข้าม

“กลุ่มวานิช ไชยวรรณ เป็นกลุ่มที่ลอยตัวมาตลอด ก็อาจจะพูดได้ว่าเมื่อตาอินกับตานาทะเลาะกัน กลุ่มวานิช ไชยวรรณ ก็น่าจะเป็นตาอยู่ได้ไม่ยาก เพราะเกมที่ผ่าน ๆ มาเห็นได้ชัดว่าทั้งสมบูรณ์และสุระไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์เลย มีแต่เจ็บมากหรือเจ็บน้อยเท่านั้น”

แต่ไม่ว่าใครจะพูดกันอย่างไรแค่ไหน ตัววานิช ไชยวรรณ ไม่เคยพูดเลยสักคำว่าจริง ๆ แล้วเขารู้สึกนึกคิดเช่นไรเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น วานิช ไชยวรรณ ปิดปากตัวเองได้สนิทมาก ๆ

ในทันทีที่วาณิช ไชยวรรณเดินออกมาจากห้องประชุมบนชั้น 4 ของแบงก์แหลมทองสำนักงานใหญ่ซึ่งเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ห้องประชุมแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นของแบงก์ ผู้สื่อข่าวหลายคนตรงเข้าไปห้อมล้อมวานิชพร้อมกับป้อนคำถามไปหลายคำถาม โดยเฉพาะ “ผู้จัดการ” ถามวานิชว่า บรรยากาศการประชุมเป็นอย่างไร

ด้วยสีหน้าเงียบขรึมตามสไตล์ปกติและเท้าที่ก้าวเดินเร็วเป็นพิเศษ วานิชพูดกึ่งบ่นออกมาไม่กี่วลี

“นั่งจนเมื่อยหลัง...”

แล้วก็ไม่พูดหรือตอบอะไรอีก

วานิช ไชยวรรณ เป็นนักธุรกิจที่เคย “เก็บปากเก็บคำ” อย่างไรคง “เก็บปากเก็บคำ” เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง

วานิช ไชยวรรณ พื้นเพดั้งเดิมเป็นคนนครปฐม พ่อแม่คือนายง้วนกับนางเชียะเง้ง มีร้านขายของโชวห่วยเล็ก ๆ อยู่ที่ตัวจังหวัด

เขาเหมือนลูกหลานคนจีนที่ทำมาค้าขายอีกหลาย ๆ คน คือเรียนหนังสือให้พออ่านออกเขียนได้ และรู้จักบวกลบคูณหารแล้วออกมาหาประสบการณ์จริงด้วยการทำการค้าให้ครอบครัว

จะมาทำค้าขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับ “พรสวรรค์” เฉพาะตัว... ว่างั้นเถอะ....

วานิช ไชยวรรณ มีชื่อเดิมชื่อสุน คนที่รู้จักวานิชมานาน ๆ จึงมักเรียกเขาว่า “สุน” หรือ “เฮียสุน” ซึ่งถ้าใครเรียกอย่างนี้ก็จะเป็นที่ทราบกันว่า น่าจะรู้จักวานิชตั้งแต่วานิชยังเป็นนักธุรกิจระดับภูธรไม่ใช่ระดับชาติ เช่น ทุกวันนี้

เมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มนั้นวานิชแยกตัวจากครอบครัวไปทำการค้าอยู่ทางภาคใต้ ขายสินค้า จิปาถะ และเริ่มร่ำรวยหลังจากเวลาผ่านไปหลายปี

และยิ่งร่ำรวยเป็นปึกแผ่นขึ้นเมื่อมาทำโรงเหล้าที่จังหวัดนครปฐมบ้านเกิด

จากนั้นก็มาซื้อบริษัทประกันชีวิตเล็ก ๆ ซึ่งติดอันดับ “บ๊วยสุด” มาไว้ในครอบครอง เป็นการ DIVERSIFIED ครั้งที่เปลี่ยนโฉมหน้าและฐานะของวานิช ไชยวรรณ จากเจ้าของโรงเหล้าธรรมดา ๆ (ซึ่งสำหรับในต่างจังหวัดก็นับว่าไม่ใช่ธรรมดา ๆ เด็ดขาด) มาเป็นนักธุรกิจเจ้าของสถาบันการเงินระดับชาติอย่างเต็มภาคภูมิ

ก็ต้องยอมรับวานิช ไชยวรรณเป็นคนที่มีสายตายาวไกลมากคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ร่ำเรียนอะไรสูงส่งมาก่อนก็ตาม

“เพราะถ้าเขาไม่คิดไกลหรือมองไกลแล้ว คนอย่างวานิช อย่างมากก็คงเป็นไปแค่เศรษฐีเจ้าของโรงเหล้าต่างจังหวัดคนหนึ่ง คงไม่ก้าวมาได้ไกลขนาดนี้แน่ ๆ” แหล่งข่าวในวงการเงินคนหนึ่งให้ข้อคิดเห็น

บริษัทประกันชีวิตที่ว่านี้ ชื่อไทยประกันชีวิต ปีที่วานิช ไชยวรรณ ซื้อก็คือปลายปี 2513

และเมื่อซื้อมาครอบครองแล้ว วานิช ไชยวรรณก็มอบการบริหารกิจการทั้งหมดให้กับ อนิวรรตน์ กฤตยากีรณ ของพ่อ ดร. กอรป กฤตยากีรณ รับผิดชอบไปอย่างเด็ดขาด

“เรียกว่าพ่อ ดร. กอรปจะทำอย่างไรก็ได้ ขอให้ไทยประกันชีวิตโตขึ้นมาได้เท่านั้น วานิชบอกพอใจที่สุด” ผู้บริหารของไทยประกันชีวิตที่เคยร่วมงานกับพ่อ ดร. กอรป ในช่วงแรก ๆ เล่ากับ “ผู้จัดการ”

ถ้าพูดถึงความ “ใจถึง” แล้ววานิช ก็น่าจะเป็นคนที่ “ใจถึง” มาก ๆ อีกทั้งรู้จักใช้คนด้วย เพราะเขาเลือกไม่พลาดหรอก คุณอนิวรรตน์เป็นเพชรน้ำหนึ่งของวงการประกันจริง ๆ” แหล่งข่าวคนเดินสรุป

อนิวรรตน์ กฤตยากีรณ เดิมทำงานที่บริษัทไทยสมุทร มีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ จากไทยสมุทรฯ ก็ย้ายมานั่งเป็นผู้บริหารให้บริษัทไทยประสิทธิประกันภัยยุคก่อนที่สุระ จันทร์ศรีชวาลาจะเข้ามาเทกโอเวอร์ แล้วย้ายอีกครั้งมาที่บริษัทศรีอยุธยาประกันภัย จนปลายปี 2513 วานิช ไชยวรรณ ก็ดึงอนิวรรตน์ มานั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยประกันชีวิต

และด้วยประสบการณ์และความสามารถของอนิวรรต์บวกความ “ใจถึง” ของวานิช ไทยประกันชีวิต จากบริษัทที่ถูกจัดอยู่ “บ๊วยสุด” ก็เจริญเติบโตมาอย่างรวดเร็ว

“ผมอยากจะพูดว่าไทยประกันชีวิต เติบโตขึ้นมาได้ด้วยนโยบายผสมผสานอาจจะเรียกว่าเป็นการผสมผสานระหว่างแนวทางการบริหารแบเอไอเอกับไทยสมุทรเข้าด้วยกัน คือเอไอเอนั้นกลุ่มลูกค้าของเขาส่วนมากจะเป็นผู้มีรายได้สูง ส่วนไทยสมุทรก็เรียกว่าขายประกันให้มวลชนจริง ๆ คนรายได้น้อยก็มาเป็นลูกค้าประกันชีวิตได้ ซึ่งสำหรับไทยประกันชีวิตแล้วเขาวางกลุ่มลูกค้าไว้ทุกระดับ เซลล์ขายประกันก็จะมีความชำนาญเฉพาะกลุ่มลูกค้าไป คือ บางคนก็ขายชาวบ้านลูกทุ่งหน่อย บางคนก็ขายกับนักธุรกิจหรือคนมีฐานะ การฝึกฝนจะต่างกัน มันเป็นการบริหารที่ยาก แต่เขาก็ทำได้สำเร็จ ก็เป็นเคล็ดอันหนึ่งที่ทำให้เขาโตขึ้นมาอย่างพรวดพราดในช่วงระยะสั้น ๆ” นักขายประกันผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการนับ 20 ปีอธิบาย

ก็คงไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งวานิช ไชยวรรณ ไม่ให้เดินหน้าต่อไป

บริษัทไพบูลย์ประกันภัย, บริษัทไทยประกันสุขภาพก็เลยต้องเป็นอีก 2 กิจการที่วานิช ไชยวรรณ เอาเข้ามาอยู่ในเครือไทยประกันชีวิต

และได้เข้าไปมีหุ้นในธนาคาร, สถาบันการเงิน รวมทั้งธุรกิจอื่น ๆ อีก หลายแห่ง

อย่างเช่น ธนาคารทหารไทย บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บูรพา, ไทเม็กซ์ไฟแนนซ์และบริษัทไทเม็กซ์ อินดัสทรีส์ เป็นต้น

ซึ่งการเข้าไปของวานิช “คอนเนกชัน” ที่ควรจะต้องพูดถึงก็คือ “คอนเนกชัน” ระหว่างเขากับอนุตร์ อัศวานนท์ กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทยที่ทั้ง 2 ฝ่ายใกล้ชิดสนิทสนมกันมานานพอสมควรแล้ว

การเข้าไปมีหุ้นในไทเม็กซ์ไฟแนนซ์ และไทเม็กซ์ อินดัสทรีส์ที่ผลิตน้ำมันพืชขายนั้น ก็เป็นอนุตร์ อัศวานนท์ ที่แนะนำให้วานิชได้มีโอกาสรู้จักกับดาโต๊ะ โรเบิร์ต ชาน นักธุรกิจมาเลย์เชื้อสายจีน ประธานกลุ่มบริษัทปาลม์ของมาเลเซีย เพราะอนุตร์มีศักดิ์เป็นพี่เขยของดาโต๊ะฯ

และเฉพาะในไทแม็กซ์ อินดัสทรีย์นอกจากจะเป็นการร่วมทุนกันระหว่างวานิช ไชยวรรณ กับกลุ่มปาล์มโก้แล้ว อีกคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ด้วยคือ อภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์ น้องชายสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์

วานิช ไชยวรรณ-อนุตร์ อัศวานนท์-ดาโต๊ะโรเบิร์ต ชาน- อภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์ จึงเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดมาก

การเข้าไปมีหุ้นในธนาคารแหลมทองของวานิช ไชยวรรณ กับกลุ่มปาล์มโก้ ก็ไม่น่าจะเป็นอื่นไปได้ ถ้าไม่ใช่เป็นการประสานของอภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์

“แต่ผมไม่เคยรู้จักเขามาก่อนนะเขามาพบผม มาแนะนำตัว แล้วก็บอกว่าอยากจะเข้ามามีหุ้นและเป็นกรรมการแบงก์ เพราะจะเป็นเกียรติยศแก่ตัวเขา เพราะกรรมการของแบงก์เราก็ล้วนแล้วแต่ผู้ใหญ่มีหน้ามีตา แรก ๆ ก็ผมก็ยังไม่ให้คำตอบ ต้องสอบประวัติกันอีกพักใหญ่ ๆ ซึ่งก็พบว่าเขาเป็นคนดี น่านับถือ คณะกรรมการของเราก็เลยตัดสินใจขายหุ้นให้เขา 1 แสนหุ้น แล้วตอนหลัง ดาโต๊ะโรเบิร์ต ชาน ก็ติดต่อขอซื้ออีก 1 แสนหุ้น เราก็เลยขายให้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ไป 2 แสนหุ้น จากหุ้นงวดนั้นทั้งหมด 2 แสน 3 หมื่นหุ้น” สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ เล่ากับ “ผู้จัดการ” ถึงเบื้องหลังการเข้ามาในแบงก์แหลมทองเมื่อต้นปี 2527 ของวานิช ไชยวรรณ กับกลุ่มปาล์มโก้ ซึ่งสมบูรณ์ไม่ปฏิเสธเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างวานิช ไชยวรรณ กลุ่มปาล์มโก้ กับ อภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์

ส่วนว่าจะเป็นการเข้ามาภายใต้เงื่อนไขอย่างไรบ้างหรือไม่นั้น ไม่มีการพูดถึง

เช่นเดียวกับที่วานิช กับดาโต๊ะ โรเบิร์ต ชานเองก็อาจจะนึกไม่ถึงว่ามันเป็นการเข้ามาอยู่ระหว่างเขาควายแท้ ๆ

เพียงแต่ถ้าจะมองกันอีกในแง่มุมหนึ่งก็ต้องนับเป็นการยืนอยู่ระหว่างเขาควายที่ทำให้วานิชกับกลุ่มปาล์มโก้นี้มีความหมายมาก

“กลุ่มคุณวานิชกับปาล์มโก้พยายามรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ราว ๆ 24 เปอร์เซ็นต์มาโดยตลอด คุณคิดดูก็แล้วกันว่าจะมีความหมายมากน้อยแค่ไหนในขณะที่กลุ่มคุณเล็ก นันทาภิวัฒน์ กับสุระมีอยู่ราว ๆ 42 เปอร์เซ็นต์ และพยายามโค่นกลุ่มคุณสมบูรณ์กับคุณอภิวัฒน์ที่กุมอำนาจการบริหารอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งที่คุณสมบูรณ์กับอภิวัฒน์ยืนอยู่ได้ก็เพราะยังสามารถได้ความสนับสนุนจากกลุ่มคุณวานิชและปาล์มโก้...” แหล่งข่าวระดับสูงคนหนึ่งช่วยจับประเด็น

เพราะฉะนั้นสำหรับเล็ก นันทาภิวัฒน์ และสุระแล้ว การเอากลุ่มสมบูรณ์ออกไปจากตำแหน่งบริหารในแบงก์แหลมทองจึงต้องพุ่งความสนใจไปที่ตัวแปรอย่างวานิชกกับปาล์มโก้ ซึ่งก็มีทั้งการติดต่อขอรับซื้อหุ้นจากวานิช การดึงวานิชเข้าร่วมวงไพบูลย์ด้วย ไปจนถึงการใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อจะทำให้หุ้นจำนวนกว่า 9 แสนหุ้นของวานิช กลายเป็นหุ้นที่ผิดกฎหมาย ใช้ออกเสียงสนับสนุนใครต่อใครไม่ได้อีกต่อไป

“ซึ่งผมถือว่าสุระทำพลาดมาก คือ ถ้าจะใช้วิธีหนึ่งวิธีใดก็ใช้ไป แต่ถ้าคุณใช้ทั้งวิธีดึงในขณะเดียวกันก็พยายามกันไม่ให้เขามีเสียง หุ้นที่ถือเป็นหุ้นเสียอย่างนี้นอกจากสุระจะดึงวานิชต้องยืนอยู่ข้างสมบูรณ์เหนียวแน่นขึ้น เพราะวานิชเองลงเงินซื้อหุ้นมาแล้วก็คงไม่อยากเสียเงินฟรีต้องกลายเป็นผู้ถือหุ้นเสียแน่ ๆ...” แหล่งข่าวระดับวงในคนหนึ่งวิเคราะห์

ข้อวิเคราะห์นี้ได้รับการพิสูจน์ไปแล้วในการประชุมสามัญประจำปีเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา

เพราะกลุ่มวานิช ไชยวรรณ ยังคงเทเสียงให้กับกลุ่มสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ เหมือนทุกครั้ง

ความขัดแย้งในแบงก์แหลมทองระหว่างกลุ่มสมบูรณ์กับกลุ่มสุระนั้นคงไม่ใช่ความขัดแย้งที่จะยุติกันไปง่าย ๆ

ที่ผ่าน ๆ มานั้น อาจจะพูดได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งเริ่มเป็นผู้กระทำให้อีกฝ่ายต้องตั้งรับและเมื่อได้โอกาสฝ่ายตั้งรับก็ตีตอบโต้กลับเอาบ้าง เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดเวลาโดยกลุ่มวานิชกับปาล์มโก้ก็ต้องเป็นตัวแปรที่นั่งดูเฉย ๆ กระทั่งถึงจุดที่จะต้องชี้ขาดจึงค่อยเทเสียงหนุนฝ่ายสมบูรณ์ให้ครองอำนาจต่อไป

คำถามก็คือจะนั่งอยู่เฉย ๆ เช่นนี้ไปได้นานแค่ไหน

จะมีสักวันหนึ่งไหมที่กลุ่มนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของแบงก์แหลมทองด้วยตนเองบ้าง

“อย่างเช่นกรณีที่กลุ่มคุณเล็กกับสุระเห็นว่าสู้ไปแล้วก็มีแต่เปลืองตัว ตัดสินใจเทหุ้นทั้งหมดขายให้กลุ่มวานิชขึ้นมาล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น...” ผู้ติดตามสถานการณ์คนหนึ่งปุจฉาขึ้นมาลอย ๆ

วานิช ไชยวรรณ ในสายตาสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์นั้นเป็นวานิช ไชยวรรณที่เข้ามาในแหลมทองอย่างบริสุทธิ์ใจ เพียงเพื่อต้องการหน้าตาและชื่อเสียงในฐานะกรรมการแบงก์แหลมทองคนหนึ่ง อีกทั้งก็เป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับน้องชายคนเล็กที่ชื่อ อภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์ เป็นอย่างดี (วานิชเริ่มรู้จักกับอภิวัฒน์และอนุตร์ อัศวนนท์ เมื่อครั้งที่เป็น “กัมประโด” ให้กับธนาคารไทยพัฒนา ที่ปัจจุบันคือ ธนาคารมหานคร ซึ่งทั้งอภิวัฒน์และอนุตร์ก็ทำงานอยู่ในธนาคารไทยพัฒนาด้วย)

ส่วนในสายตาของสุระ จันทร์ศรีชวาลาแล้ว วานิชเป็นคนที่สามารถเป็นไปได้ทั้งมิตรและศัตรูพร้อม ๆ กัน สุดแท้แต่เงื่อนไขและสถานการณ์จะโน้มเอียงให้เป็นมิตรหรือศัตรู เพราะถ้าจะว่าไปแล้วทั้งสุระและวานิชก็เป็นนักธุรกิจที่ PRACTICAL มาก ๆ

“สองคนนี้เป็นคนประเภทที่เมื่อทำธุรกิจแล้วต้องระลึกเสมอว่า ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร” คนที่พอจะรู้จักทั้งสุระและวานิชเล่าให้ฟัง

ก็คงจะมีแต่วานิชในสายตาของวานิชเองเท่านั้นที่น่าจะต้องตั้งคำถาม อย่างเช่น คำถามง่าย ๆ เกี่ยวกับเจตนาการเข้ามาในแบงก์แหลมทองของวานิชในสายตาของสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ เป็นต้น

สมบูรณ์ จะคำนึงหรือไม่ก็ตาม แต่สมบูรณ์ต้องไม่ปฏิเสธแน่ว่า กลุ่มไทยประกันชีวิตของวานิชนั้นถ้าจะว่าไปก็ใหญ่กว่าแบงก์แหลมทอง

การเป็นเจ้าของอาณาจักรที่ใหญ่กว่าแต่อยากเข้ามาเป็นพาร์ตเนอร์องค์กรที่เล็กกว่า ก็เป็นเรื่องน่าคิดอยู่ไม่น้อยว่า จะช่วยให้มีเกียรติหรือหน้าตามากขึ้นอย่างไร?

หรืออาจจะเป็นเพราะองค์กรที่เล็กกว่าเผอิญเป็นแบงก์พาณิชย์?

“แต่ขอโทษเถอะ ผมว่าอย่างคุณวานิชถ้าอยากเป็นกรรมการแบงก์จริง ๆ เป็นที่ทหารไทยไปนานแล้ว คุณลองเปรียบเทียบดูก็แล้วกันว่า ถ้าเพื่อเกียรติและหน้าตาแล้วระหว่างการเป็นกรรมการแบงก์ทหารไทยกับแบงก์แหลมทอง อะไรควรจะเป็นสิ่งที่ต้องเลือกมากกว่า…” แบงเกอร์คนหนึ่งให้ความคิดเห็น

จริง ๆ แล้ววานิชกำลังคิดอะไรกันแน่!?

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us