บริษัทซีแกรมนั้นเป็นบริษัทมหาชนที่มีตระกูลบรอนฟ์แมน เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้น
38.5% และบริหารบริษัทซีแกรมนี้มาตั้งแต่วันที่ตระกูลบรอนฟ์แมนซื้อบริษัทนี้ในปี
พ.ศ. 2471
บริษัทซีแกรมนั้นเริ่มจากการผลิตเหล้าสกอตวิสกี้ เช่น ชีวาสรีกัล โรยัลซาลูท
และเหล้าประเภทต่าง ๆ มาในตอนไม่กี่ปีนี้ซีแกรมได้ขยายตัวเองไปในกิจการเหล้าไวน์โดยไปซื้อเหล้า
เช่น พอลเมซอง (PAUL MASSON) แล้วยังไปลงทุนในกิจการต่าง ๆ เช่น ในเทกซัส
แปซิฟิก และเข้าไปซื้อหุ้น 22.6 % ของดูปอนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มในอุตสาหกรรมเคมีที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลก
คนที่บริหารซีแกรมอยู่ในปัจจุบันคือ เอ็ดการ์ บรอนฟ์แมน ซีเนียร์ (EDGAR
BRONFMANS Sr.) อายุ 32 ปี คนน้องชื่อ เอ็ดการ์ บรอนฟ์แมน จูเนียร์ อายุ
30 ปี ทั้ง 2 คนทำงานกับพ่อ ส่วนลูกสาวอีก 2 คนนั้นเป็นสถาปนิก และนักหนังสือพิมพ์
ในสายตาของคนข้างนอกล้วนแต่เก็งกันว่า แซม บรอนฟ์แมน คนที่น่าจะเป็นประธานบริษัท
ซีแกรมแทนพ่อ เพราะแซมทำงานซีแกรมก่อนน้องชาย 3 ปี โดยเข้ามาทำงานในปี 2522
หลังจากได้ไปทำงานนอกอาณาจักรตระกูลตัวเองเสียหลายปี
ระหว่างแซมกับเอ็ดการ์จูเนียร์น้องชายนั้นการศึกษาต่างกันมาก ในขณะที่แซมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยวิลเลียมส์
(WILLIAMS COLLAGE) แต่เอ็ดการ์ จูเนียร์ เรียนไม่จบแม้กระทั่งมัธยมปลาย
แต่เอ็ดการ์ จูเนียร์ มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำ ผู้บุกเบิกที่แซมผู้เป็นพี่ไม่มี
เพราะเอ็ดการ์ จูเนียร์ เป็นคนมีความคิดเป็นอิสระและไม่สนใจเรื่องกรอบสังคมมาตั้งแต่เด็กและชอบทำอะไรที่แหวกประเพณีออกไป
เอ็ดการ์ จูเนียร์ เมื่ออายุ 14 ปี หนีเรียนไปหลบอยู่ที่อังกฤษโดยเอาบทภาพยนตร์ที่ตัวเองเจอในบ้านแล้วไปชักชวนพ่อตัวเองให้ลงเงินประมาณ
12 ล้านบาท เพื่อสร้างหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวเขาเพื่อที่เข้าใจในธุรกิจสร้างหนังเขายอมลงทุนทุกอย่างตั้งแต่เป็นคนชงกาแฟคนส่งเอกสาร
จิปาถะให้กับกองถ่าย
เอ็ดการ์ จูเนียร์ เองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ เดวิด พัทนัม (DAVID PUTTNUM)
ต้องออกมาจากวงการโฆษณาและเข้าสู่วงการภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้เขา ในหนังเรื่อง
CHARIOTS OF FIRE และ THE KILLING FIELDS
เมื่ออายุเพียง 17 ปี เอ็ดการ์ จูเนียร์ สร้างหนังของตัวเองโดยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังชื่อ
THE BLOCK HOUSE มีปีเตอร์ เซลเลอร์ เป็นพระเอก แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
แทนที่จะท้อถอยเด็กหนุ่มลูกอภิมหาเศรษฐีคนนี้ก็ตัดสินใจกระโดดเข้าไปในวงการบันเทิงโดยเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในวงอุปรากรร็อก
(ROCK OPERA) ผลิตรายการชื่อ ALAMO แต่ก็ถูกนักวิจารณ์บรรเลงเสียเละเลย
แต่เอ็ดการ์ จูเนียร์ ก็ไม่ได้ท้อถอยกลับบุกเข้าไปลงทุนด้านบันเทิง โดยผลิตรายการ
ALL STAR JAZZ SHOW ให้กับ CBS
แล้ววันหนึ่งใน พ.ศ. 2525 เอ็ดการ์ จูเนียร์ ก็เปลี่ยนชีวิตของตนเอง เมื่อพ่อถามเขาว่า
ถ้าพ่ออยากให้เขามาทำงานกับซีแกรม เขาจะขัดข้องหรือไม่ เอ็ดการ์ จูเนียร์
กลับไปคิดดูแล้วก็ปรึกษาภรรยาตลอดจนเพื่อน ๆ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะรับงานท้าทายชิ้นนี้
การเข้ามาของเอ็ดการ์ จูเนียร์ ทำให้เขากลายเป็นคู่แข่งในด้านการงานและการชิงตำแหน่งประธานกรรมการกับแซมผู้เป็นพี่ชายทันที
เพียง 3 ปี ต่อมา หลังจากที่เอ็ดการ์ จูเนียร์ ที่อายุเพียง 30 ปี และเรียนแค่มัธยมต้นเท่านั้นมาร่วมงานกับซีแกรม
ก็พอจะดูออกแล้วว่า ใครจะได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของซีแกรมคนต่อไป
เมื่อเมษายนปีที่แล้ว (2528) เอ็ดการ์ เอ็ม. บรอนฟ แมน ซีเนียร์ ประธานกรรมการและ
CEO ของซีแกรมนั่งกินข้าวเย็นกับ แซม บรอนฟ์ แมน ลูกชายคนโตตัวต่อตัวให้ห้องทานอาหารส่วนตัว
และเขาได้พูดกับลูกอย่างตรงไปตรงมาว่า "แซม ลูกเป็นคนดีและเก่ง แต่ในความเป็นจริงของชีวิตการทำงานของลูกก็ต้องถูกเอามาเปรียบเทียบกับความสามารถของน้องด้วย
และในกรณีนี้ คนที่จะบริหารงานต่อจากพ่อก็คือน้องเพราะเขาเก่งกว่าลูก"
หลังจากนั้น เอ็ดการ์ ซีเนียร์ ก็ประกาศตัวเอ็ดการ์ จูเนียร์ ออกมาอย่างเป็นทางการ
เมื่อมีคนถามแซมผู้เป็นพี่ว่าเขาอิจฉาน้องรึเปล่า? แซมบอกว่า "อิจฉาคงไม่ใช่
แต่น่าจะโทมนัสมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผมขอให้เขาโชคดีมากกว่า"
สำหรับ เอ็ดการ์ จูเนียร์ แล้วงานข้างหน้าจะดูค่อนข้างหนักและเหนื่อยกว่าสมัยพ่อของเขามาก
เพราะพฤติกรรมของนักดื่มในทศวรรษนี้เปลี่ยนไปมาก คนที่นิยมดื่มวิสกี้ซึ่งเป็นสินค้าหลักของซีแกรมได้ลดจำนวนลงมาก
และเหล้าไวน์ก็อยู่ตัวไม่เพิ่ม
เพราะฉะนั้นซีแกรมก็คงจะต้องหาวิธีการทำอะไรลงไปอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน
เอ็ดการ์ จูเนียร์วันนี้ กำลังเป็นอภิมหาเศรษฐีหนุ่มที่มูลค่าหุ้นของตระกูลของเขาในซีแกรมมีอยู่ประมาณ
40,500 ล้านบาท (1.9 พันล้านเหรียญ)
มันเป็นชีวิตที่น่าอิจฉามากมิใช่หรือ?