Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ เมษายน 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ เมษายน 2529
เมื่อพ่อว่าน้องบริหารงานดีกว่า พี่ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ             
 


   
search resources

Alcohol
ซีแกรม
EDGAR BRONFMANS Sr.
EDGAR BRONFMANS Junior.




บริษัทซีแกรมนั้นเป็นบริษัทมหาชนที่มีตระกูลบรอนฟ์แมน เป็นกลุ่มผู้ถือหุ้น 38.5% และบริหารบริษัทซีแกรมนี้มาตั้งแต่วันที่ตระกูลบรอนฟ์แมนซื้อบริษัทนี้ในปี พ.ศ. 2471

บริษัทซีแกรมนั้นเริ่มจากการผลิตเหล้าสกอตวิสกี้ เช่น ชีวาสรีกัล โรยัลซาลูท และเหล้าประเภทต่าง ๆ มาในตอนไม่กี่ปีนี้ซีแกรมได้ขยายตัวเองไปในกิจการเหล้าไวน์โดยไปซื้อเหล้า เช่น พอลเมซอง (PAUL MASSON) แล้วยังไปลงทุนในกิจการต่าง ๆ เช่น ในเทกซัส แปซิฟิก และเข้าไปซื้อหุ้น 22.6 % ของดูปอนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มในอุตสาหกรรมเคมีที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งของโลก

คนที่บริหารซีแกรมอยู่ในปัจจุบันคือ เอ็ดการ์ บรอนฟ์แมน ซีเนียร์ (EDGAR BRONFMANS Sr.) อายุ 32 ปี คนน้องชื่อ เอ็ดการ์ บรอนฟ์แมน จูเนียร์ อายุ 30 ปี ทั้ง 2 คนทำงานกับพ่อ ส่วนลูกสาวอีก 2 คนนั้นเป็นสถาปนิก และนักหนังสือพิมพ์

ในสายตาของคนข้างนอกล้วนแต่เก็งกันว่า แซม บรอนฟ์แมน คนที่น่าจะเป็นประธานบริษัท ซีแกรมแทนพ่อ เพราะแซมทำงานซีแกรมก่อนน้องชาย 3 ปี โดยเข้ามาทำงานในปี 2522 หลังจากได้ไปทำงานนอกอาณาจักรตระกูลตัวเองเสียหลายปี

ระหว่างแซมกับเอ็ดการ์จูเนียร์น้องชายนั้นการศึกษาต่างกันมาก ในขณะที่แซมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยวิลเลียมส์ (WILLIAMS COLLAGE) แต่เอ็ดการ์ จูเนียร์ เรียนไม่จบแม้กระทั่งมัธยมปลาย

แต่เอ็ดการ์ จูเนียร์ มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำ ผู้บุกเบิกที่แซมผู้เป็นพี่ไม่มี

เพราะเอ็ดการ์ จูเนียร์ เป็นคนมีความคิดเป็นอิสระและไม่สนใจเรื่องกรอบสังคมมาตั้งแต่เด็กและชอบทำอะไรที่แหวกประเพณีออกไป

เอ็ดการ์ จูเนียร์ เมื่ออายุ 14 ปี หนีเรียนไปหลบอยู่ที่อังกฤษโดยเอาบทภาพยนตร์ที่ตัวเองเจอในบ้านแล้วไปชักชวนพ่อตัวเองให้ลงเงินประมาณ 12 ล้านบาท เพื่อสร้างหนังเรื่องนี้ ส่วนตัวเขาเพื่อที่เข้าใจในธุรกิจสร้างหนังเขายอมลงทุนทุกอย่างตั้งแต่เป็นคนชงกาแฟคนส่งเอกสาร จิปาถะให้กับกองถ่าย

เอ็ดการ์ จูเนียร์ เองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ เดวิด พัทนัม (DAVID PUTTNUM) ต้องออกมาจากวงการโฆษณาและเข้าสู่วงการภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้เขา ในหนังเรื่อง CHARIOTS OF FIRE และ THE KILLING FIELDS

เมื่ออายุเพียง 17 ปี เอ็ดการ์ จูเนียร์ สร้างหนังของตัวเองโดยเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังชื่อ THE BLOCK HOUSE มีปีเตอร์ เซลเลอร์ เป็นพระเอก แต่หนังเรื่องนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

แทนที่จะท้อถอยเด็กหนุ่มลูกอภิมหาเศรษฐีคนนี้ก็ตัดสินใจกระโดดเข้าไปในวงการบันเทิงโดยเข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นในวงอุปรากรร็อก (ROCK OPERA) ผลิตรายการชื่อ ALAMO แต่ก็ถูกนักวิจารณ์บรรเลงเสียเละเลย

แต่เอ็ดการ์ จูเนียร์ ก็ไม่ได้ท้อถอยกลับบุกเข้าไปลงทุนด้านบันเทิง โดยผลิตรายการ ALL STAR JAZZ SHOW ให้กับ CBS

แล้ววันหนึ่งใน พ.ศ. 2525 เอ็ดการ์ จูเนียร์ ก็เปลี่ยนชีวิตของตนเอง เมื่อพ่อถามเขาว่า ถ้าพ่ออยากให้เขามาทำงานกับซีแกรม เขาจะขัดข้องหรือไม่ เอ็ดการ์ จูเนียร์ กลับไปคิดดูแล้วก็ปรึกษาภรรยาตลอดจนเพื่อน ๆ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะรับงานท้าทายชิ้นนี้

การเข้ามาของเอ็ดการ์ จูเนียร์ ทำให้เขากลายเป็นคู่แข่งในด้านการงานและการชิงตำแหน่งประธานกรรมการกับแซมผู้เป็นพี่ชายทันที

เพียง 3 ปี ต่อมา หลังจากที่เอ็ดการ์ จูเนียร์ ที่อายุเพียง 30 ปี และเรียนแค่มัธยมต้นเท่านั้นมาร่วมงานกับซีแกรม ก็พอจะดูออกแล้วว่า ใครจะได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของซีแกรมคนต่อไป

เมื่อเมษายนปีที่แล้ว (2528) เอ็ดการ์ เอ็ม. บรอนฟ แมน ซีเนียร์ ประธานกรรมการและ CEO ของซีแกรมนั่งกินข้าวเย็นกับ แซม บรอนฟ์ แมน ลูกชายคนโตตัวต่อตัวให้ห้องทานอาหารส่วนตัว และเขาได้พูดกับลูกอย่างตรงไปตรงมาว่า "แซม ลูกเป็นคนดีและเก่ง แต่ในความเป็นจริงของชีวิตการทำงานของลูกก็ต้องถูกเอามาเปรียบเทียบกับความสามารถของน้องด้วย และในกรณีนี้ คนที่จะบริหารงานต่อจากพ่อก็คือน้องเพราะเขาเก่งกว่าลูก"

หลังจากนั้น เอ็ดการ์ ซีเนียร์ ก็ประกาศตัวเอ็ดการ์ จูเนียร์ ออกมาอย่างเป็นทางการ

เมื่อมีคนถามแซมผู้เป็นพี่ว่าเขาอิจฉาน้องรึเปล่า? แซมบอกว่า "อิจฉาคงไม่ใช่ แต่น่าจะโทมนัสมากกว่า อย่างไรก็ตาม ผมขอให้เขาโชคดีมากกว่า"

สำหรับ เอ็ดการ์ จูเนียร์ แล้วงานข้างหน้าจะดูค่อนข้างหนักและเหนื่อยกว่าสมัยพ่อของเขามาก เพราะพฤติกรรมของนักดื่มในทศวรรษนี้เปลี่ยนไปมาก คนที่นิยมดื่มวิสกี้ซึ่งเป็นสินค้าหลักของซีแกรมได้ลดจำนวนลงมาก และเหล้าไวน์ก็อยู่ตัวไม่เพิ่ม

เพราะฉะนั้นซีแกรมก็คงจะต้องหาวิธีการทำอะไรลงไปอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน เอ็ดการ์ จูเนียร์วันนี้ กำลังเป็นอภิมหาเศรษฐีหนุ่มที่มูลค่าหุ้นของตระกูลของเขาในซีแกรมมีอยู่ประมาณ 40,500 ล้านบาท (1.9 พันล้านเหรียญ)

มันเป็นชีวิตที่น่าอิจฉามากมิใช่หรือ?

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us