Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2544








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2544
รูเพิร์ต เมอร์ด็อก หนึ่งในผู้กุมสื่อโลก             
โดย รุ่งมณี เมฆโสภณ
 


   
search resources

Rupert Murdoch
News & Media




ผู้ที่สนใจด้านสื่อ คงไม่มีใคร ไม่เคย ได้ยินชื่อนี้...

รูเพิร์ต เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) มีอายุครบ 70 ปี เมื่อวันที่ 11 มีนาคมที่ผ่านมานี่เอง อภิมหาเศรษฐีเจ้าของ อาณาจักรนิวส์คอร์ป (News Corporation Ltd.) ผู้นี้เกิดที่เมลเบิร์น ออสเตรเลีย แต่ ปัจจุบันได้โอนสัญชาติเป็นอเมริกัน ขณะที่ธุรกิจสื่อของเขามีเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วโลก

ชื่อเต็มๆ ของเขาผู้นี้ซึ่งไม่ค่อยมีใคร ทราบก็คือ คีท รูเพิร์ต เมอร์ด็อก (Keith Rupert Murdoch) เมอร์ด็อก เป็นบุตรชายของเซอร์คีท เมอร์ด็อก (Keith Murdoch) ผู้สื่อข่าวสงครามที่มีชื่อเสียง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจสิ่งพิมพ์รายใหญ่ของ ออสเตรเลีย

เมอร์ด็อกเรียนหนังสือที่ Worchester College มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University) จนจบปริญญาโทในปี 2496 และเคยทำงานเป็นบรรณาธิการให้กับเดลีเอกซ์เพรส (Daily Express) ในกรุงลอนดอนอยู่พักหนึ่ง กระทั่งบิดาถึงแก่กรรม เขาจึงกลับ ไปออสเตรเลีย เพื่อดูแลกิจการด้านสิ่งพิมพ์ ของบิดา ขณะมีอายุเพียง 23 ปี

ด้วยประสบการณ์การทำหนังสือแบบหวือหวาสมัยที่อยู่อังกฤษ ทำให้รูเพิร์ต เมอร์ด็อกนำมาปรับใช้กับหนังสือพิมพ์ที่เขา ได้รับมรดกมาจากบิดา คือ Sunday Mail และ The News ซึ่งออกในแอดิเลด รัฐเซาท์ออสเตรเลีย ด้วยการเสนอข่าวประเภทอื้อฉาวคาวโลกีย์ โดยที่บ่อยครั้งเจ้าตัวลงมาพาดหัวเอง จนทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูด หลังจากนั้น เมอร์ด็อกก็ได้ปรับหนังสือพิมพ์อื่นๆ ที่เขาไปซื้อไว้ ไม่ว่าจะเป็นที่ซิดนีย์ เพิร์ธ เมลเบิร์น หรือบริสเบน ให้ออกมาในแนวเดียวกันนี้ ในปี 2512 เมอร์ด็อกเริ่มขยายอาณา จักรด้วยการไปซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ News of the World ซึ่งออกในกรุงลอนดอน โดยเน้นการ เสนอข่าวอาชญากรรม ข่าวอื้อฉาวคาวโลกีย์ และข่าวที่อยู่ในความสนใจของผู้อ่าน อีกทั้งเน้นพาดหัวด้วยตัวหนังสือขนาดใหญ่ ขณะเดียว กันก็อัดข่าวกีฬาซึ่งคนอังกฤษสนใจเข้าไป ส่วน บทบรรณาธิการ หนังสือของเมอร์ด็อกยึดแนว ทางอนุรักษนิยม

แนวทางดังกล่าวสร้างความสำเร็จให้ทั้งกับ News of the World และ The Sun ซึ่งเมอร์ด็อกซื้อในเวลาต่อมา

พอถึงปี 2516 เมอร์ด็อกก็ขยับไปยังสหรัฐอเมริกา... เมอร์ด็อกเริ่มธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ใน สหรัฐฯ ด้วยการซื้อหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในซานอันโตนีโอและเทกซัส โดย San Antonio News ซึ่งต่อมาเป็น Express-News เมอร์ด็อกได้ปรับเป็นหนังสือพิมพ์หวือหวา ตามที่ถนัด ซึ่งในไม่ช้าก็สามารถครองตลาดหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายของที่นั่น ปี ถัดมา เขาบินสูงขึ้นด้วยการออกหนังสือ พิมพ์รายสัปดาห์ Star ซึ่งเป็นหนังสือระดับชาติ แต่ก็ยังคงยึดการเสนอข่าวแนวเดิม หลังจากนั้นอีก 2 ปีเขาก็ได้ซื้อหนังสือแทบลอยด์ New York Post แต่แล้วก็ขายทิ้งไปทั้ง 2 ฉบับ อย่างไรก็ตาม ในปี 2536 เมอร์ด็อกก็ได้ซื้อ New York Post กลับมา นอกจากนั้น ในปี 2525 เมอร์ด็อกได้ซื้อ Boston Herald American และเปลี่ยน ชื่อเป็น Boston Herald แต่ต่อมาเขาก็ได้ขาย ออกไปในปี 2537

ในปี 2531 เมอร์ด็อกก็ได้ซื้อนิตยสาร TV Guide ...ช่วงทศวรรษเดียวกันนั้นเอง เขาได้ซื้อมาขายไปหนังสือพิมพ์อเมริกันอีก หลายต่อหลายฉบับด้วยกัน

เมอร์ด็อกไม่ได้ทำแต่เฉพาะหนังสือ ประเภทหัวสีขายข่าวหวือหวาเท่านั้น แต่เขาก็ยังมีหนังสือพิมพ์ประเภทเน้นคุณภาพ อยู่ในเครือด้วย อาทิ The Times of London และ Sunday Times ซึ่งออกในอังกฤษ และ Australian ออกในออสเตรเลีย

เมอร์ด็อกย้ายไปอยู่สหรัฐฯ ในปี 2517 และได้สัญชาติอเมริกันในปี 2528 โดยอาศัยอยู่ที่นครนิวยอร์ก

อภิมหาเศรษฐีด้านสื่อผู้นี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่สื่อสิ่งพิมพ์...

แม้เมอร์ด็อกจะสร้างชื่อ จนถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทางด้านสื่อสิ่งพิมพ์ แต่เขาก็ไม่ได้หยุดอยู่เพียง เท่านั้น เขาเริ่มแตกแขนงไปทำธุรกิจด้านสื่อ อิเล็กทรอนิกส์ที่ฮือฮาก็คือเมื่อเขาซื้อกิจการ Twentieth Century-Fox Film Corporation ในปี 2528 รวมถึงซื้อสถานีโทรทัศน์อิสระจาก Metromedia, Inc. อีกหลายสถานีด้วย กัน และรวมกิจการกันเข้าเป็น Fox, Inc.

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เมอร์ด็อก จะเลิกทำสื่อสิ่งพิมพ์...

เมอร์ด็อกไม่เคยทิ้งสิ่งที่เขาเริ่มต้นมา

2 ปีถัดจากนั้น เขาได้ซื้อ The Her-ald and Weekly Times Ltd. ในออสเตรเลีย ขณะที่ในสหรัฐฯ เขาได้ครอบครองสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Harper & Row Pub-lishers สำนักพิมพ์หนังสือด้านศาสนา Zon-dervan และสำนักพิมพ์หนังสือวิชาการราย ใหญ่ Scott, Foresman & Company

ส่วนในอังกฤษ ในปี 2532 เมอร์ด็อก ได้เปิดตัว Sky Television โทรทัศน์แบบบอก รับเป็นสมาชิกที่ให้บริการผ่านดาวเทียม ซึ่ง ในปีถัดมาได้ควบรวมกิจการกับ British Satellite Broadcasting กลายเป็น British Sky Broadcasting หรือที่รู้จักกันในนามของ BSkyB

การขยายตัวแบบยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ของเมอร์ด็อกนี่เอง ทำให้เมอร์ด็อก ต้องแบกหนี้จำนวนไม่น้อย ซึ่งเขาก็แก้ปัญหาด้วยการขายกิจการบางตัวออกไป อย่างเช่น New York และ Seventeen รวมทั้ง นิตยสารสัญชาติอเมริกันอีกหลาย ฉบับ

ปี 2536 เมอร์ด็อกได้ซื้อ Star TV ในฮ่องกง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาที่จะสร้างเครือข่ายโทรทัศน์ให้ครอบคลุมไปทั่วโลก และในปี 2538 เมอร์ด็อกก็ได้เข้าไปถือหุ้นใน MCI Communications Corporation ซึ่งเป็น provider รายใหญ่ในการให้บริการทางด้าน สื่อสารโทรคมนาคมทางไกลของสหรัฐฯ

เส้นทางธุรกิจสื่อของเมอร์ด็อกนับว่าน่า สนใจยิ่ง แม้ว่าวันนี้เขาจะมีปัญหาในเรื่องของผู้ที่จะมาสืบทอดกิจการของเขาอยู่บ้าง...

เมอร์ด็อกแต่งงาน 3 ครั้ง ครั้งแรกกับแพตริเซีย (Patricia) มีบุตรสาวเพียง 1 คน คือ พรูเดนซ์ (Prudence) ครั้งที่สองกับแอนนา (Anna) มีบุตรชายหญิง 3 คน คือเอลิซาเบท (Elisabeth) ลากลัน (Lachlan) และเจมส์ (James)

พรูเดนซ์ เมอร์ด็อก ซึ่งปัจจุบันอายุ 42 ปี เป็นทายาทของเมอร์ด็อกคนเดียวที่ไม่ได้ทำธุรกิจ ส่วนเอลิซาเบท เมอร์ด็อก สาวมั่นวัย 32 เมื่อกลางปีที่แล้ว เพิ่งขอแยกตัวออกมาทำธุรกิจ ของเธอเอง เพราะฉะนั้นก็เหลือเพียงสองหนุ่ม ลากลัน เมอร์ด็อกวัย 29 ปี กับเจมส์ เมอร์ด็อก วัย 28 ปี จากการคาดการณ์ของผู้ที่ติดตามเรื่อง ราวของตระกูลนี้ ทายาทหนุ่มคนโตมีสิทธิมากที่จะได้ดูแลนิวส์คอร์ป ถ้าหากผู้เป็นพ่อตัดสินใจล้างมือในอ่างทองคำ ส่วนทายาทหนุ่มคนเล็ก ซึ่งตอนนี้ดูแล Star TV ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อเมอร์ด็อกผู้พ่ออย่างมาก

คงต้องดูกันต่อไปว่า ใครจะมาวิน...

แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้รูเพิร์ต เมอร์ด็อกบอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก

เนื่องจากเมื่อกลางปี 2542 เขาเพิ่งแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่สามกับหญิงสาวที่อ่อนวัยกว่าเขาถึง 36 ปี เธอชื่อเวนดี เติ้ง (Wendi Deng) การแต่งงานมีขึ้นหลังจากที่เมอร์ด็อกหย่าขาดจากภรรยาคนที่สองซึ่งอยู่กินกันนาน 32 ปี ได้เพียง 17 วันเท่านั้น

เวนดี เติ้งเกิดในเมืองจีน แต่ไปร่ำ เรียนจนจบด้านธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale) ที่มีชื่อเสียงของสหรัฐฯ ในปี 2540 ก่อนที่จะทำงานกับ Star TV ในเครือของเมอร์ด็อกที่ฮ่องกง การงานรุ่งโรจน์จนได้ขึ้น เป็นผู้บริหารในเวลาอันรวดเร็ว แต่ในปี 2541 เธอก็ได้ลาออก และไม่นานหลังจากนั้น เธอก็ได้เข้าสู่พิธีวิวาห์บนเรือยอชต์ The Morning Glory กับอดีตเจ้านาย

ในฐานะ "เขย" จีน หลายฝ่ายเชื่อว่า จะทำให้การขยายธุรกิจสื่อสารโทรคมนา คมของเมอร์ด็อกเข้าไปยังจีนราบรื่นยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยวัย 70 สุขภาพของเมอร์ด็อกไม่ค่อยดีนัก

เมื่อปีที่แล้ว ในการตรวจสุขภาพประจำปี แพทย์พบว่าเมอร์ด็อกเป็นโรคมะเร็งที่ต่อมลูกหมาก

เขียนมาให้อ่านกันพอเพลินๆ ค่ะ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่สนใจทางด้านสื่อ หรือ นักธุรกิจที่อยากจะเป็นเจ้าพ่อสื่อมัลติมีเดีย แบบเมอร์ด็อก

ถึงตรงนี้ นักธุรกิจหนุ่มหลายคนอาจจะอิจฉาเมอร์ด็อก...

ขณะที่สาวน้อยสาวใหญ่หลายคนอาจจะอิจฉาเวนดี เติ้ง!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us