ประเด็นนี้ไม่สู้มีข้อกังขากันเท่าใดนัก เพราะคงไม่มีใครยอมรับว่าฝ่ายตนเป็นผู้ฉีกสัญญาก่อน
อย่างไรก็ตาม แง่มุมทัศนะที่มองซึ่งกันและกันว่า เป็นผู้ที่ละเมิดข้อตกลงประนีประนอมนั้นมีเหตุผลหนักแน่นไม่น้อย
ส่วนจะตัดสินใจว่าเหตุผลใครดีกว่า...ก็แล้วแต่
สัญญาในเรื่องการถอนการฟ้องร้องซึ่งกันและกัน ได้รับการยอมรับและปฏิบัติกันทั้งสองฝ่าย
ที่เป็นปัญหาก็คือข้อ 2.5 ที่มีข้อความว่าจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญของธนาคารแหลมทอง
จำกัด เพื่อแก้ข้อบังคับเพิ่มจำนวนกรรมการ และดำเนินการให้ฝ่ายหนึ่ง (สุระ
จันทร์ศรีชวาลา) ได้เข้าเป็นกรรมการบริหารธนาคาร และให้นางเล็ก นันทาภิวัฒน์ได้เข้าเป็นกรรมการของธนาคารภายในวันที่
31 มีนาคม 2528
อีกข้อหนึ่งก็คือข้อ 2.6 ที่มีข้อความว่าธนาคารแหลมทอง จะให้การค้ำประกันและอาวัล
แก่ฝ่ายหนึ่งหรือบริษัทในเครือ ซึ่งฝ่ายที่หนึ่งมีส่วนรับผิดชอบ และบริหารในวงเงิน
250 ล้านบาทเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันเพียงพอ รวมทั้งการจดจำนองอันดับสองด้วย
หากมีข้อโต้แย้งในการตีราคาหลักทรัพย์คู่สัญญาทั้งสองยินดีให้นายชาตรี โสภณพนิช เป็นผู้พิจารณาและชี้ขาด
สมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์
ตอนที่คุณชาตรี โสภณพนิชเข้าไกล่เกลี่ยมันสาเหตุอะไร
มันจะมีสาเหตุอะไร...เพราะเหตุว่าผมกับคุณชาตรีก็ชอบพอกัน แล้วก็ให้แบงเกอร์ด้วยกัน
มีเรื่องเราก็คุยอะไรกัน แกก็บอกว่าเจอสุระเขาเล่าให้ฟังยังงั้นยังงี้...
มีอะไรก็ช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยเหลือกัน แกก็พูดยังงี้ ผมก็ว่าตามใจ.. คุณชาตรีทำได้ก็ดี
ผมก็ไม่ขัดข้อง
เงื่อนไขที่คุณชาตรีทำให้ก็เป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย ผมก็ขอยืนยันว่าหนึ่งเป็นความริเริ่มของคุณชาตรีเองและเราสองฝ่ายก็เห็นชอบ
ตกลงที่จะมีการไกล่เกลี่ย 2 เงื่อนไขในสัญญาประนีประนอมทางเราไม่เคยเป็นผู้ผิดสัญญา...ทำอะไรทุกอย่างครบถ้วน
อย่างที่เขากู้ แต่ขณะนั้นเราไม่มีวงเงินเป็นตัวเงินเราจะให้ความช่วยเหลือได้ก็ในรูปการค้ำประกันหรืออาวัล...แต่ต้องมีหลักประกันครบ
เรายืนยันในหลักการ จะมาเอาฟรีแฮนด์อย่างแบงก์อื่นเราไม่ยอม
แล้วที่เขามาอ้างว่าแบงก์ให้เขาไม่ครบตามที่ตกลงกัน 250 ล้านบาท แล้วให้เขาไป
70-80 ล้าน ก็เพราะเขาไม่มีหลักประกันมาให้เรา ไม่ใช่เราไปเบี้ยวเขา
ข้อตกลงที่รวมไปถึงหลักทรัพย์ที่ค้ำเป็นครั้งที่สองหรือที่สามหรือไม่ ?
ก็ได้...แต่มันพอเพียงหรือคุ้มไหมล่ะ สมมุติว่าแปลงหนึ่งราคา 20 ล้านบาท
แล้วเขาไปจำนองไว้แล้ว 10 ล้านบาท จะขอจำนอง 5 ล้าน...เราก็ยินดีพิจารณา
แต่มันไม่มีอย่างที่ว่า แต่ละครั้งที่เขามาที่ดินของเขาตีราคามาตารางวาละหมื่น
แบงก์อื่นเขาตีให้ 2,000 บาท มันผิดกันอย่างนี้ ตายแล้ว...คุณจะไปพูดอะไรกัน
แล้วเราก็มีข้อตกลงกันว่าถ้ามีข้อถกเถียงกันในเรื่องนี้ให้แบงก์กรุงเทพซึ่งเป็นคนกลางตีราคา
ตัวนายสุระเองเขาก็มาหาผมบอกว่าให้แบงก์นี้จัดการ...ไม่ต้องไปหาแบงก์อื่นเลย
ท่านว่าเท่าไหร่ ทางผมถือว่าตีได้ตรงกัน…คือเขารู้ว่าขายหน้า
เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วเขาก็มาหาผม บอกว่าเขาเดือดร้อน...ต้องการสัก
10 ล้านบาท...ไม่มีหลักทรัพย์ เขาก็ควักเช็คมา...ผมก็ว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันผมจะช่วยคุณ...ก็ให้เขาเอาเช็คนี้ไปดิสเคาน์...ผมรับซื้อคุณ
9.5 ล้านบาท...เขาบอกว่าเป็นของลูกค้าเขาอีก 3-4 เดือนก็จะจ่ายให้ ซึ่งมันก็เกินข้อตกลงแล้ว
แต่นี่ผมให้เขากู้โดยรับซื้อลดเช็ค เขามาทำในนามสยามวิทยา.. ตัวเขาเองก็เซ็น
น้องชายเขานายกุรดิษฐ์ก็เซ็น
พอถึงเดือนมิถุนายน เช็คครบกำหนดก็เด้ง... ผมก็บอกว่าจะเอายังไงคุณสุระ
เขาก็บอกว่าขอผลัดไปอีก ผมก็บอกไปว่าคุณไปจัดการเสียให้เรียบร้อย เพราะเราประชุมกรรมการเดือนละครั้ง
และเดือนกรกฎาคมนี่ผมจะเสนอคุณเป็นกรรมการบริหาร ถ้าเรื่องเช็คไม่เรียบร้อยจะลำบาก
กรรมการเขาซักผมแล้วผมแก้ตัวให้คุณไม่ได้...เขาก็บอกว่าครับ... ผมจะจัดการให้เรียบร้อยก่อนประชุม
พอวันศุกร์ปลายเดือนกรกฎาคม...เช็คก็เด้งอีก...เขาไม่ได้จัดแจงอะไร แต่ผมก็ยังรักษาคำพูด...ผมก็เสนอชื่อเขาเป็นกรรมการบริหาร
มีหลักฐานในรายงานการประชุมคณะกรรมการหมด
คือตอนนั้นในความเห็นของคุณสมบูรณ์อยากให้เรื่องมันยุติ...
ไม่ใช่... คุณอย่าพูดอย่างนั้น มันไม่ยุติ ผมเป็นสุภาพบุรุษ...พูดคำไหนคำนั้น
ไม่มีอะไรที่ผมต้องไปบิดพลิ้ว...แม้ไม่ได้เขียนกันเป็นสัญญาผมก็ต้องเสนอชื่อเขา
ก็อย่างที่ผมพูดให้ฟังตอนแรก...เงินที่เขาเคลมมาผมก็ใช้ให้ มันไม่ใช่เกี่ยวกับว่ายุติ
ผมรับปากกับใครผมต้องรักษาคำพูดของผม ผมก็เสนอ...ที่ประชุม ถามนายสุระมีหนี้สินเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง
ผมก็ต้องบอกว่ามีเช็คจำนวนหนึ่ง...เขาก็บอกว่าอย่างนั้นรับไม่ได้ จะเป็นกรรมการบริหารมีหน้าที่ปล่อยสินเชื่อ...เร่งรัดสินเชื่อ
จะมาทำหน้าที่นี้ไม่ได้ถ้าตัวเองยังมีหนี้สินกับธนาคาร
คณะกรรมการทุกคนเขาไม่รับหมด...คุณจะให้ผมทำยังไง ผมจะไปโอเวอร์รูลกรรมการเขาได้อย่างไร
แล้วมีกรรมการคนหนึ่งเสนอว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ให้ข้อเสนอเรื่องนายสุระจะเป็นกรรมการบริหารให้ยกเลิกไปเลย...ยกเลิก
ผมยังขอกับที่ประชุมว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เรื่องกรรมการบริหารในการประชุมคราวนี้ผมถอนไปก่อน
แต่ถ้านายสุระชำระหนี้สินแล้วผมจะเสนอเข้ามาใหม่
แล้วจะมาว่าผมเบี้ยว...ไม่ตั้งเขาเป็นกรรมการบริหาร และมาแสดงอิทธิฤทธิ์อย่างนี้
แล้วคุณลองคิดดูซิระหว่างเดือนกรกฎาคม-มิถุนายน...ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ทราบ
เขาไปทำใต้ดินกว้านซื้อหุ้นไว้หมดเรียบร้อยมาโอนเอาต้นเดือนสิงหาคม ผมมารู้เรื่องก็กลางเดือนสิงหาคม
ซื้อจากผู้ถือหุ้นรายย่อย...
ไม่ใช่...คุณพยัพ (ศรีกาญจนา) กรรมการของผม
คุณพยัพตอนนั้นถือไว้เท่าไหร่ ?
ก็ไม่รู้เขารวมหัวกันขายไปตอนนั้นก็ประมาณ 3 แสนหุ้นล่ะ
ทำไมขาย
คุณไปถามเขาเองสิ...ผมไม่ตอบปัญหาของคนอื่น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ก่อตั้งแบงก์มา
นี่ก็เป็นสาเหตุที่อาจจะทำให้เขาลาออกก่อนครับวาระ...เขาคงละอายมั้ง
พอผมรู้...เขาประกาศโครมว่าจะทำยังงั้นยังงี้ พอการประชุมเดือนสิงหาคม...ต่อมา
ทั้งที่เรารู้เรื่องการกว้านซื้อหุ้นแล้ว ก็พูดกันเรื่องหนี้สินอะไรต่าง ๆ เขาก็บอกว่าขอเวลาอีกหน่อย เขาจะมาจัดการเรื่องเช็ค 9.5 ล้านบาทภายในวันที่
15 กันยายน (2528) ส่วนหนี้สินเซาท์เอเชีย ไฟเบอร์ เขาก็จะขอผ่อนผันทำสัญญากู้กันใหม่แต่ดอกเบี้ยเขาจะเริ่มตั้งต้นชำระแล้ว...ทั้งนี้ทั้งนั้นภายในวันที่
15 กันยายน จะต้องเรียบร้อย ถ้าเกินจากนั้นแล้วขอให้ธนาคารดำเนินคดีได้
นี่ก็เป็นหลักฐานที่ปรากฏในการประชุมกรรมการ แล้วพอเลยวันที่ 15 กันยายน...ทุกอย่างเขาไม่ทำสักอย่าง
แล้วคุณจะให้ผมทำอย่างไร ผมก็ต้องดำเนินคดีฟ้องคดีแพ่งกับเขากับสยามวิทยา...เรียกใช้เช็คคืน
9.5 ล้านบาท ฟ้องดำเนินคดีเซาท์เอเชียไฟเบอร์ร่วม 50 ล้านบาท เขาก็อยู่ด้วยในการประชุมคณะกรรมการและเขาเป็นคนให้คำมั่นสัญญาในที่ประชุม
แล้วที่เขาไปพูดกับหนังสือพิมพ์ว่าผมไม่รักษาคำพูดตามสัญญาประนีประนอม
ผมอยากทราบว่าผมผิดตรงไหน ถ้าคุณเป็นผมคุณจะรู้สึกแฟร์ไหมที่เขามาทำอย่างนี้กับผม
หรือถ้าคุณเป็นผมคุณจะทำไหม...คุณจะไม่ฟ้องอย่างนั้นเหรอ ผมทำตามมติของคณะกรรมการ
และตัวของเขาเองเป็นคนยืนยันในคณะกรรมการอย่างนั้น...ผมทำไม่ได้ทำเพราะเป็นเรื่องส่วนตัว
ผมไม่ได้ทำเพราะมีเรื่องเจ็บใจ ผูกอาฆาตอะไร ผมฟ้องเขาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
ส่วนที่เขาฟ้องกลับมานี่ผมไม่ทราบว่าอะไร...ผมฟ้องเพราะมีเหตุผลที่ต้องฟ้อง
ไม่ใช่ไปพาลว่าเพราะเขามาซื้อหุ้นเรา...เราจึงฟ้องเขา ไม่ใช่เราเห็นว่าเขากว้านซื้อหุ้นแบงก์โครมๆ
แล้วประกาศว่าจะยึดแบงก์เราจึงไปฟ้องเขา...นั่นไม่ใช่เหตุผล
ผมอยากให้คุณเขียนลงไปว่า...ไม่ใช่เหตุผลที่เขาอ้างว่าผมโกรธเขา...เขาไปซื้อหุ้นได้เป็นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเจ้าของแบงก์หรืออะไร...
ผมถึงต้องหาทางแก้ลำโดยการฟ้องร้องเขา...มันไม่จริง ถึงเขาเป็นเจ้าของแล้วทำแบบนี้โดยที่ผมยังเป็นกรรมการผู้จัดการผมก็ต้องฟ้อง
ปกติแล้วลูกค้าที่ธนาคารจะฟ้องร้องนี่ไม่ต้องถึงกรรมการหรอก ผมมีอำนาจเต็มที่ในการฟ้องร้อง
เพราะผมได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ...ไม่ต้องผ่านกรรมการเลย แต่เฉพาะรายนายสุระนี่
ผมเห็นว่าหนึ่งฐานะเขาเป็นกรรมการ สองผมมีสัญญาประนีประนอม ผมจึงเสนอให้คณะกรรมการ...เขาจึงมีมติออกมา
ในการเพิ่มทุนครั้งล่าสุดคุณสุระพูดบ่อย ๆ ว่าคณะกรรมการให้เวลาเขาน้อยมากในการหาเงินมาซื้อหุ้น
อ๋อ... ก็แน่ละสิ ก็เขาทำแบบนี้มันถูกหรือผิด คุณ...เมื่อคุณรู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึงคุณ
คุณก็ต้องมีไหวพริบ มีเล่ห์เหลี่ยมที่จะมาหักมาแก้กัน อยู่ดี ๆ คุณจะปล่อยให้เขากว้านซื้อหุ้นเข้ามาเรื่อย ๆ
โดยที่ไม่ป้องกันหรือ แล้วเราก็อยากจะรู้... คือตอนนั้นหุ้นของเรามีอยู่
3 ล้านหุ้น เขาก็บอกว่าเขามีเท่านั้นเท่านี้เราก็ไม่รู้ เพราะเขาซื้อแล้วเขาไม่โอน
ถ้าเราจะรู้ได้ก็มีอย่างเดียวก็คือเพิ่มทุนอีกทีเพื่อให้รู้แน่ว่าตัวเลขของเขามีเท่าไหร่
เพราะตอนนั้นเขาต้องรีบมาโอน ... มา แสดงออกมาเลย ตอนนั้นเราจึงรู้ว่าเขามีอยู่
40 กว่าไม่เกิน 42 เปอร์เซ็นต์ ก็เมื่อตอนหยั่งเสียงเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
(28 มีนาคม 2529) เขาก็มีอยู่ 41.5 เปอร์เซ็นต์ เราต้องป้องกันตัวเราเอง
เราก็อยากจะรู้เขามีเท่าไหร่...ใครขายให้เขาไปบ้าง เราก็ต้องประกาศเพิ่มทุนทันที...
มันก็ออกมาอย่างนั้น
เขาจะมาอ้างว่าให้เวลาเขาน้อยนี่ ...ผมและผู้ถือหุ้นทุกคนก็มีเวลารู้แค่สองอาทิตย์เหมือนกัน
แต่ผู้ถือหุ้นทุกคนที่เขาซื้อเขาเอาเงินของเขาใส่เข้าไป แต่ของคุณสุระต้องไปกู้เงินเขา...
มันผิดกันอยู่ตรงนี้ คนอื่นเขามีเงินของเขา เพราะฉะนั้นการที่คนอื่นเขาพูดหรือการที่ผู้ถือหุ้นอื่นเขาไม่ต่อว่าผม...
เงินเขามีอยู่ในกระเป๋าเขาเห็นแบงก์จำเป็น... เขาก็ให้ ที่มีเหลือไม่ซื้อหุ้นเพิ่มก็มีอยู่
3-4 พันหุ้น...เท่านั้นเอง นอกนั้นทุกคนเขาก็ให้มาหมด
แล้วที่นายสุระไปเที่ยวขอซื้อสิทธิ์เขา หุ้นละ 100 บาท เขายังไม่ขายเลย
เขาขายไม่ดีกว่าหรือ...3, 000 หุ้นก็ได้แล้ว 3 แสนบาท แน่นอนคนอื่นเขาไม่มาบ่นไม่มาว่า
เขาสละสิทธิ์เขาก็ไม่เคยบ่นเคยว่า เพราะผู้ถือหุ้นคนอื่น... เป็นเงินของเขา
นายสุระต้องไปกู้เขามานี่ แน่นอนจะว่าผมลูกไม้หรือแท็คติค... ผมเป็นผู้จัดการของแบงก์...
รู้ว่าจุดอ่อนอยู่ที่ไหนผมก็ต้องป้องกัน จะให้ผมมานั่งเฉย ๆ ได้อย่างไร
สุระ จันทร์ศรีชวาลา
คุณชาตรีเข้ามาได้อย่างไร
ผมไม่ทราบ คือจู่ ๆ ผมได้รับโทรศัพท์จาก ดร. วิชิต (สุรพงษ์ชัย) ว่าบอสต้องการพบ
ผมก็เรียนถามว่าเรื่องอะไร ก็ได้รับคำตอบว่าคงเป็นเรื่องรามาฯ หรือเรื่อง...ผมก็ว่า...
เอ คือผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้ ผมก็ถามตรง ๆ เขาก็บอกว่านายต้องการพบเรื่องนี้เพราะคุณสมบูรณ์ไปหา
ผมก็ไป... ผมเห็นว่าคุณชาตรีตอนนั้นทำดีที่สุด
และตัวผมเองก็มีแรงกดดันคือพวกผมตราหน้าผมว่าถ้าตอนนั้นไม่เพิ่มทุนจาก
50 ล้านเป็น 100 ล้านปัญหาจบไปแล้ว.. ทุกวันนี้จะไม่มีปัญหา
คุณสุระถือว่าช่วงนั้นได้เปรียบอยู่
ผมไม่ได้ถือว่าผมได้เปรียบอะไรนะ แต่ผมเชื่อว่าในขณะนั้นเขาต้องยอม ถ้าเขาต้องการจะรักษาแบงก์นี้
... เพราะเขาเพิ่มทุนไม่ได้
คือต้องได้เสียง 3 ใน 4 ถึงจะเพิ่มได้
ครับ.... คือตอนนั้นคุณเล็ก (นันทาภิวัฒน์) คอนโทรลอยู่ 27 เปอร์เซ็นต์...
คุณแม่ไม่ยอม
ก็เลยโกรธคุณสุระ
ทุกคนโกรธผมหมดเพราะผมไปประนีประนอม ซึ่งต่อมาเมื่อเพิ่มทุนได้แล้ว เขาก็บิดตัวรายงานการประชุมว่าขายให้คนอื่น
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วขายไม่ได้
ตอนที่คุณสุระไปพบคุณชาตรี คุณชาตรีว่าอย่างไร ?
ผมบอกก็ว่าได้ ผมไม่ได้ขัดข้องหากว่ามันเกี่ยวกับผมคนเดียวแต่มันไม่ใช่ของผมคนเดียว
มันเป็นของกลุ่มทั้งหมด ตอนแรกเขาจะไม่ทำสัญญาอะไรเลย... ทางเราไม่ยอม คือผมคิดว่าแบงก์จะต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
แต่พรรคพวกผมก็ว่าเขาต้องเบี้ยวแน่ และผมจะต้องเป็นคดีความกับคุณสมบูรณ์
เรื่องที่คุณสุระไม่ได้เป็นกรรมการบริหาร รู้สึกว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องการอาวัลตั๋วเงินของสยามวิทยาไม่ครบ
250 ล้านบาท แต่เป็นเรื่องเช็คแค่ 9.5 ล้านบาท
ผมว่าผมเคยพูดเรื่องนี้แล้วนะ... ถ้าผมจำไม่ผิด ผมจะอธิบายให้ฟัง ที่วันนั้นบอกว่าคณะกรรมการต้องการให้เคลียร์หนี้สินเมื่อวันที่
30 ธันวาคม 2527...วันที่ทำสัญญาประนีประนอมผมไม่ได้เป็นหนี้สินเขาเลย และเขาก็รู้ดีแก่ใจว่าในเมื่อเขาให้สินเชื่อกับกลุ่มสยามวิทยา
250 ล้านบาท ... มันต้องเกิดหนี้สินขึ้นมา นอกจากหนี้สินของอีสเตอร์โจ และหนี้สินของยนตรภัณฑ์...มันเป็นหนี้สินเดิมอยู่
เขาก็รู้แก่ใจ แล้วเขายังต้องการให้ผมเคลียร์นี่แสดงว่าเขาไม่ต้องการให้เราเป็นกรรมการบริหารตั้งแต่วันแรก
มีการบอกล่วงหน้าหรือเปล่าว่าให้เคลียร์หนี้สินก่อนเดือนกรกฎาคม 2528 เพื่อที่เขาจะได้เสนอชื่อคุณสุระเป็นกรรมการบริหาร
?
ไม่เคยครับ...แล้วทำไม.... ผมอยากถามคุณทำไมต้องใช้เวลานาน ถึง 6 เดือน
ในสัญญานั้นผมคิดว่าระบุไว้ให้ผมเป็นภายใน 10 หรือ 15 วัน (ตามสัญญาระบุไว้ว่าภายในวันที่
31 มีนาคม 2528) คือในเมื่อในฝ่ายผมทำทุกอย่างให้มันถูกต้องตามสัญญาแล้ว
แต่ทำไมเขาต้องรีรอ ทำไมเขาไม่ให้สินเชื่อ เพราะเขามีเครื่องหมายคำถามอยู่ข้างหลัง
การอาวัลเงินกู้ที่ไม่ครบ 250 ล้าน เป็นเหตุมาจากหลักทรัพย์ที่มาค้ำมีมูลค่าไม่คุ้มกับหนี้หรือเปล่า
ไม่จริงถ้าคุณอ่านสัญญา.... ในสำเนาสัญญาฉบับนั้น เขียนไว้ว่าเขาจะให้สินเชื่อผมต่อเมื่อมีหลักทรัพย์นั้นทางฝ่ายผมไปจดจำนองอันดับสองให้เขา....
เขาก็ยินดีรับ
ข้อนี้รู้สึกว่าไม่เป็นปัญหา ... ปัญหาคือเรื่องมูลค่าของหลักทรัพย์
ใช่ถูกต้อง...การจำนองอันดับที่สองหรือที่สามมันมีความหมายของมันอยู่ ตลอดเวลาหลักทรัพย์ที่ผมเอาไปให้เขานั้นคุ้มค่าทั้งหมด
เขาบอกว่าหลักทรัพย์ของผมไม่คุ้มค่ามีรายไหนไม่คุ้มค่ายกตัวอย่าง ที่ดินที่สวนหลวงอย่างนี้
....ตารางวาหนึ่งเขาขายกัน 7,000-9,000บาท เอาเป็นว่าประมาณ 7,500 บาท ไร่หนึ่งเท่าไหร่....
ก็ 3 ล้านบาท เขาตีราคาให้ผมเท่าไหร่ ตอนแรกบอกว่าจะตีให้ตารางวาละ 500 บาท
ไร่หนึ่ง 2 แสนบาท
ตอนหลังทำไปทำมา... คุยกันอยู่ตั้งนาน เขาก็ไม่เชื่อ..ตัวเขาเองนี่โทร...ไปหาคุณประกิต
ประทีปะเสน ว่าธนาคารไทยพาณิชย์รับจำนองที่ดินตรงนั้นไว้ไร่หนึ่งกี่ตังค์
ตกลงตอนหลังครั้งหลังถ้าผมจำไม่ผิดเขาให้ผมไร่หนึ่ง 6 แสนถึงหนึ่งล้านบาท
.. คือตารางวาละ 1,500-2,000 บาท
ทำไมไม่หาคนกลางหรือแบงก์กรุงเทพตามที่ตกลงกันไว้?
เดี๋ยว...ประเด็นมันมีอยู่ว่าเวลาคุณญาติดีกัน ในขณะที่คุณยังดีกัน....
การที่คุณจะเอาบุคคลที่สามเข้ามาผมเห็นว่าไม่เป็นการสมควรเลย นอกจากว่าเราตกลงกันไม่รู้เรื่อง
ในขณะนั้นเราตกลงกันรู้เรื่อง และผมก็ยอม... โอเค ผมคิดว่าอะไรที่เป็นไปได้ผมทำ
และผมก็เอาโฉนดที่ดินที่สวนหลวงไปจำนำเขา 6 ไร่เศษ ในตอนนั้นเพื่อค้ำประกัน
อันนี้ถือว่าตกลงกันได้
ดังนั้นการที่กู้ได้ไม่ครบ 250 ล้านบาทเป็นเพราะคุณสุระไม่ได้กู้ให้เต็มเอง
ไม่.. เขามีเป้าหมายอยู่แล้วว่าไม่ให้
ถ้าไม่ให้กรณีนี้ถือว่าตกลงกันไม่ได้แล้วน่าจะไปหาคนกลางได้แล้ว
คือเขา...เขาบอกมาเลยว่าไม่ให้ เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นไปในลักษณะนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว...คือเขากังขาอยู่ตลอดเวลาว่าผมคงไม่ใช้
FACILITY อันนี้ เอาเงินจำนวนนี้มาซื้อหุ้นของธนาคารแหลมทอง..เท่าที่ผมคิด
คือผมคิดว่านี่มันเป็นเจตนา...เขาไม่ตั้งผมเป็นกรรมการบริหาร .... ทำไมไม่ตั้ง
เขากลัวว่าผมจะรู้ แล้วผมพยายาม...มีอะไร ผมพยายามขัด ถ้าทำอะไรไม่นอกลู่นอกทางผมไม่แคร์
ผมโต้ตอบในที่ประชุมว่ามันไม่ถูกต้อง แล้วผมมีอีกหลายกรณีที่ผมจะอธิบายทีหลัง
.... เพราะบางทีขึ้นศาลผมอาจจะต้องพูดว่าผมนี่ห้ามอะไรเขาบ้าง ที่เขาไม่ให้ผมเป็นกรรมการบริหารเพราะเขา
กลัวผมจะรู้อะไรต่ออะไรทุกอย่างแล้วผมจะยับยั้ง ที่ไม่ให้ FACILITY ผมก็เพราะกลัวผมจะเอาเงินนั้นมาซื้อหุ้น
คือเขาประเมินพวกเราต่ำไปเหมือนกันว่าพวกเราคงไม่มีทางที่จะหาเงินมาซื้อหุ้นได้
อยากให้เล่าเรื่องเช็ค 9.5 ล้านบาทนี่ยังไงกันแน่?
โอเค...มันเป็นเช็คของลูกค้ารายหนึ่งของผม ซึ่งเอาเงินมาชำระค่าเช่าที่นะฮะ
เราเป็นหนี้แหลมทองเราก็เอาเช็คนั้นไปขายลดให้กับแหลมทอง สยามวิทยา...
ไม่ใช่ตัวผม ไปขายลดเช็ค การขายลดเช็คมันเป็นเรื่องปกติวิสัย มันเป็นเรื่องธรรมดา
พอเช็คถึงกำหนด...ทางเจ้าของเขาก็มาบอกว่าขอผัดผ่อนไปก่อนทางสยามวิทยาก็ไปบอกแหลมทองว่าขอผัดผ่อนไปก่อน…แกก็ไม่ยอม
ตอนหลังแกก็เรียกเก็บเงินจำนวนนี้มาฟ้อง
สาเหตุที่เขาฟ้องเพราะว่าตอนหลังนี่เราเริ่มมีเสียงไม่พอใจกันแล้ว เพราะกรรมการบริหารก็ไม่ตั้ง...เงินก็ไม่ให้กู้
และการที่เขาเอาตัวเช็คนั้นมาบีบ ผมถือว่าจิตใจเขาเจตนาที่จะทำกันแล้ว
ทราบมาว่าเช็คครบกำหนด ถึง 2 ครั้ง ...ครั้งแรกเดือนมิถุนายน ครั้งที่สองวันที่
15 กันยายน (2528)
ผมว่ามันเป็นการต่อของลูกค้า มันไม่ได้เป็นเช็คของสยามวิทยา มันเป็นการต่อ
ลูกค้ารายนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีทรัพย์สิน...เขามี
การขายลดเช็คเป็นธุรกิจปกติ แต่เขาก็ถือเอาเรื่องนี้มาเป็นเรื่องที่คล้าย ๆ ว่ามาบีบกัน เพื่อจะทำให้เครดิตผมเสีย เพราะเขามีเป้าหมายที่จะไม่ให้ผมเป็นกรรมการบริหารอยู่แล้ว
จึงเอาเรื่องนี้มาพูด หลังจากที่เขาควรทำเมื่อ 6 เดือนก่อน ซึ่งในขณะนั้นไม่เป็นหนี้สินอะไรเขาเลย
ทำไมเมื่อรู้เจตนาเขาอยู่แล้ว 9.5 ล้านนี่ก็น่าจะจัดการแทนลูกค้าไปเลยอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ไม่มีข้ออ้างหลงเหลือในการไม่ตั้งให้เป็นกรรมการบริหาร
อันนี้เป็นคำถามที่คุณพูดถูกและดีมาก แต่ในบางครั้งในวงการธุรกิจนี่นะคุณ มีอะไรต่ออะไรหลายอย่างที่คุณไม่สามารถอธิบายได้ ... นะฮะ