เมื่อการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการ และมองเห็นแล้วว่าใครบ้างที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน
ผู้ที่ติดตามการบ้านการเมืองมาโดยตลอด ต่างมีความเห็นใกล้เคียงกันว่า ฝ่ายค้านชุดนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อรัฐบาลเปรม
5
ถึงแม้สัดส่วนกำลังจะแตกต่างกันระหว่าง 115 เสียง กับ 232 เสียง ก็ตาม
แต่การเมืองไทยทุกครั้งที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมักไม่ได้ขีดวงไว้เฉพาะการต่อสู้กันในสภา
แรงกดดันหลาย ๆ ด้านต่างหากที่ส่งความหมายจริงจัง
ฝ่ายค้านที่มีความจัดเจนและเอาจริงเอาจังจึงเป็นแรงกดดันอันสำคัญประการหนึ่ง
บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ผู้กุมกำลังมากที่สุดของพรรคฝ่ายค้าน ในฐานะหัวหน้าพรรคสหประชาธิปไตย
บทบาทที่ผ่านมาทุกฝ่ายยอมรับในความจัดเจนของเขาผู้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นเกมในสภา
การเป็นนักการเมืองเก่าแก่ที่ผ่านเหตุการณ์มาหลายยุคสมัย กระทั่งเป็น สส.
ที่อาวุโสที่สุดในสภาขณะนี้ บ่งบอกถึงประสบการณ์ที่กลั่นมาเป็นความจัดเจนชนิดเหนือชั้น
จนกล่าวได้ว่า ฝ่ายรัฐบาลไม่อาจทำอะไรในสภาพพลาดได้แม้วินาทีเดียว
เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในสภาไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่จนฝ่ายค้านท้วงติง
หรือเอาเงื่อนไขถล่ม ย่อมหมายถึงเครดิตทางการเมืองของรัฐบาลต้องสูญเสียไปโดยปริยาย
เครดิตตัวนี้ตีค่าออกมาเป็นจำนวนคะแนนเสียงไม่ได้ แต่ข่าวคราวที่กระจายสู่สาธารณชนก็ตีราคาความตกต่ำไม่ได้เช่นเดียวกัน
พรรคสหประชาธิปไตยเป็นคู่ต่อสู้หลักโดยพื้นฐานของพลเอกเปรม การค้านของพรรคนี้ไม่มีลักษณะ
"ทั้งค้าน ทั้งจีบ"
การก่อกำเนิดพรรค รวมทั้งท่าทีในขณะฟอร์มรัฐบาล ชี้ถึงการไม่สนับสนุนให้พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างชัดเจน
ในพรรคสหประชาธิปไตย มีแกนสำคัญ ที่มีความ "แค้น" ต่อพลเอกเปรมอยู่อีกอย่างน้อย
2 คน คือพันเอกพล เริงประเสริฐวิทย์ และ ตามใจ ขำภโต ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นมือทางเศรษฐกิจคนสำคัญของพรรค
สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ถึงแม้ในช่วงฟอร์มรัฐบาลพรรคประชากรไท
จะเผยท่าทีต้องการร่วมรัฐบาลกับพลเอกเปรมด้วยก็ตาม
แต่ถึงวันนี้โอกาสสำหรับสมัครต่อการร่วมกับพลเอกเปรมได้ปิดสนิทลงแล้วโดยสิ้นเชิง
อย่างน้อย ๆ ก็ด้วยเหตุผล 2 ประการ
หนึ่ง-พลเอกเปรมดึงเอาพลเรือเอกสนธิ บุญยะชัย อดีตลูกพรรคประชากรไทย ไปเป็นรองนายกรัฐมนตรีในโควต้าของพลเอกเปรม
พร้อม ๆ กับที่พลเรือเอกสนธิ กันมา "ชน" กับสมัคร ในหลายประเด็นอันเกี่ยวเนื่องกับการบริหารงานยุครัฐบาลเปรม
3 และ 4 การเป็นปรปักษ์กันของทั้งสามลามไปถึงพลเอกเปรมโดยไม่อาจเลี่ยง
สอง-การอภิปรายของสมัครในวันรัฐบาลแถลงนโยบาย วันนั้นหัวหน้าพรรคประชากรไทยกระหน่ำพลเอกเปรมอย่างรุนแรง
กรณีที่ยอมให้วีระ มุสิกพงศ์ เป็น รมช. มหาดไทย ในขณะที่วีระยังมีปัญหาเกี่ยวเนื่องจากการพูดหาเสียงช่วยเหลือเพื่อนร่วมพรรคที่บุรีรัมย์ค้างคาอยู่
ถึงแม้การอภิปรายประเด็นนี้ต้องทำกันเป็นการลับ และวิทยุหยุดถ่ายทอดเสียงชั่วคราว
แต่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับรายงานตรงกันว่า การอภิปรายของสมัคร ส่งผลให้พลเอกเปรมแสดงอาการโกรธจัดออกมาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
และก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าพลเอกเปรมนั้นเป็นคนลืมยาก
สมัคร สุนทรเวช มีความไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตั้งแต่รู้ชัดเจนว่าไม่ได้ร่วมรัฐบาลด้วย
ทั้ง ๆ ที่ตลอดเวลาที่ร่วมรัฐบาลกับพลเอกเปรมมานั้น สมัครปกป้องและ "ออกรับ"
แทนรัฐบาลมาโดยตลอด ในช่วงหาเสียงก็ไม่เคยประกาศว่า "ไม่เอาเปรม"
ตรงข้ามกับพรรคที่มีส่วนสำคัญต่อการล้มรัฐบาลเปรม 4 กลับได้ร่วมรัฐบาลอย่างง่ายดาย
บทบาททางการเมืองที่จัดเจนอย่างหาตัวจับยาก การพูดจาที่คล่องแคล่วมีประเด็นชัดเจนบวกกับแรงขับเคลื่อนในตัวที่
"ทะยานแรง" ทำให้สมัครเป็นขุนพลฝ่ายค้านที่สำคัญยิ่ง
ณรงค์ วงศ์วรรณ ภาพของหัวหน้าพรรครวมไทยผู้นี้กระเดียดไปทางข้าราชการประจำที่ไม่มีอะไรหวือหวา
แต่กล่าวถึงบารมีในบางโซนทางภาคเหนือแล้วไม่มีใครปฏิเสธได้
ณรงค์ เป็นผู้นำกลุ่ม สส. ภาคเหนือจำนวนหนึ่ง ที่มีอำนาจต่อรองมาโดยตลอด
การกำเนิดของพรรครวมไทยนับเป็นความสำเร็จที่น่าพอใจ เมื่อมองในแง่ที่ว่า
พรรคนี้ตั้งเป้าหมายต้องการ สส. จำนวน 20 คนเท่านั้น แต่ผลปรากฏว่าได้รับเลือกถึง
19 คน
เป็นเรื่องที่พลิกความคาดหมายไม่น้อย ที่ณรงค์ วงศ์วรรณและพรรครวมไทย ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเปรม
5 ทั้ง ๆ ที่รู้กันตลอดเวลาณรงค์นั้นสนิทสนมและเหนียวแน่นกับพลเอกเปรม อย่างยากที่จะแกะออก
เมื่อผลลงเอยเช่นนี้ ณรงค์ถึงกับต้องขอโทษขอโพยลูกพรรคที่ผลักดันให้พรรคเข้าร่วมรัฐบาลไม่ได้
นอกจากนั้นยังเป็นเรื่องที่รู้กันลึก ๆ ว่า การที่ณรงค์ตัดสินใจแยกตัวจากพรคกิจสังคมมาสร้างอาณาจักรใหม่ก็เนื่องจากความปรารถนาของพลเอกเปรม
ถึงแม้จะมีการพูดกันว่าการที่พรรครวมไทยไม่ได้ร่วมรัฐบาลเพราะอำนาจบางฝ่ายไม่ยอมรับปิยะนัฐ
วัชราภรณ์ จริงหรือไม่ก็ตาม แต่บรรยากาศน้อยเนื้อต่ำใจได้ปกคลุมไปทั้งพรรค
เพราะอย่างน้อย ๆ พรรครวมไทยก็มีข้อเปรียบเทียบว่า "แนวร่วมป๋า"
อย่างพรรคราษฎรซึ่งมีเสียงน้อยกว่ายังได้ร่วมรัฐบาลโดยไม่ยาก
ถึงวันนี้แม้ณรงค์ วงศ์วรรณ จะยังไม่ถึงขั้นปิดประตูคบหากับพลเอกเปรมปรากฏออกมาชัดเจน
แต่ณรงค์ก็เข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรรคฝ่ายค้านแล้วอย่างเต็มตัว
และแม้ว่าณรงค์เองจะไม่สันทัดบทบาทเช่นนี้นัก แต่พรรคฝ่ายค้านก็ได้ดาวสภาหนุ่มอย่างปิยะนัฐ
วัชราภรณ์ ลูกพรรครวมไทย เข้าร่วมทีมอย่างสมบูรณ์
บุญชู โรจนเสถียร ไม่มีทั้งความแค้นและความน้อยใจ ถึงจะร่วมเซ็นชื่อสนับสนุนพลเอกเปรมในขณะกำลังฟอร์มรัฐบาลกับเขาด้วยเหมือนกัน
แต่ข่าวลึก ๆ เปิดเผยว่าการทำเช่นนั้นเป็นความจำเป็นที่เคยพูดกันมาก่อนเลือกตั้ง
เพื่อแลกกับหลักประกันความปลอดภัยบางอย่างในการหาเสียงที่นครสวรรค์
ข่าวนี้จะเท็จจริงอย่างไรก็ตาม แต่การที่พรรคกิจประชาคมได้ สส. มาแค่ 15
คนนั้น ทำให้บุญชูต้องยอมรับความจริงถึงน้ำหนักในการต่อรองของตัวเอง
บทบาทนับจากนี้ต่อไป คือการแสดงฝีไม้ลายมือออกมาในฐานะพรรคฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ
เพื่อปูทางสู่อนาคต
แน่นอนบุญชู องยอมรับเป็นผู้รับบาบาทในการติดตามผลงานทางเศรษฐกิจของรัฐบาล
อุทัย พิมพ์ใจชนประกาศตัวชัดเจนก่อนการเลือกตั้งว่า นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก
สส. เท่านั้น นั่นหมายความว่าไม่ต้องการให้พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรี
การเป็นฝ่ายค้านของอุทัยและพรรคก้าวหน้าจึงเป็นเรื่องของแนวทางการเมืองล้วน
ๆ ไม่มีปัญหา "เทคนิค" มาปะปน
ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าพรรคเล็ก ๆ บทบาทที่ตรงไปตรีงมาและอยู่ในร่องในรอยของอุทัยนั้นเป็นภาพที่ประทับใจต่อ
"พับลิค" ไม่น้อย ทั้งนี้ไม่ว่าจะมองจากการกล่าวถึงของสื่อมวลชน
และกรกระโดดเข้าร่วมของบุคคลบางส่วนเมื่อคราวเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านไป
ในพรรคฝ่ายค้าน อุทัยถือเป็นหัวหน้ากลุ่ม "สิบเก้า" ซึ่งรวมเอาพรรคเล็ก
ๆ เข้าด้วยกันและมีจำนวน สส. 19 คน
อุทัยเป็นขุนพฝ่ายค้านอีกคนหนึ่งที่มีความคร่ำหวอดทางการเมืองอย่างหาตัวจับยาก
ประสบการณ์จากการเป็น สส. หลายสมัย บวกกับ 2 ครั้งในตำแหน่งประธานสภาฯ หลอมเข้าเป็นคุณค่าอันใหญ่หลวงสำหรับต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาล
ลำพังขุนพลฝ่ายค้านแต่ละคนล้วนมีความจัดเจนอยู่ในตัวแล้วโดยสมบูรณ์ แต่กระนั้นความสำคัญยิ่งเพิ่มน้ำหนักขึ้น
เมื่อแต่ละขุนพล แต่ละพรรคหันมาจับมือร่วมภารกิจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การกำหนดบทบาท แบ่งหน้าที่ แบ่งความถนัด เป็นไปอย่างเป็นระบบ ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือกันที่พรรคฝ่ายค้านประกาศ
เมื่อ 10 กันยายนนี้นั้นถึงแม้จะเป็นเพียงกระดาษใบหนึ่ง ไม่มีผลบังคับ ผูกมัดใด
ๆ แต่นั่นแสดงถึงดีกรีในการร่วมภารกิจครั้งนี้
พรรคฝ่ายค้านร่วมภารกิจกันโดยหัวหน้าพรรคทั้ง 5 คน ประชุมวางแผนกันทุกวันพุธ
เพื่อรับศึกการประชุมสภาในวันพฤหัส ผลจากการร่วมภารกิจทำให้พรรคฝ่ายค้านไม่แสดงบทบาทซ้ำซ้อนกันให้เสียประโยชน์
การเดินเกมในสภาพเป็นไปอย่างรวมศูนย์แทนการกระจัดกระจาย
เกมการเมืองประการหนึ่งในสภาพนั้น เป็นที่รู้กันว่า ประธานสภาฯ ซึ่งแน่นอน
ย่อมมาจากฝ่ายรัฐบาล จะเปิดโอกาส โดยไม่ชี้ให้ฝ่ายค้านอภิปรายเลยก็ได้ แต่นั่นหมายถึงภาพพจน์จะออกมาน่าเกลียดเกินไป
ดังนั้นการชี้ให้บุคคลของฝ่ายค้านที่ประธานเห็นว่ามี "น้ำยาน้อย"
ลุกขึ้นอภิปราย จึงเป็นเกมพื้นฐานของฝ่ายรัฐบาล
แต่สำหรับฝ่ายค้านทีมนี้รัฐบาลคงเล่นเกมนี้ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะได้มีการกำหนดตัวผู้อภิปรายของฝ่ายค้านเอาไว้ล่วงหน้า
ซึ่งคัดจากผู้พูดจามีน้ำหนักและบทบาท "มีน้ำยา" เท่านั้น เมื่อถึงคราวต้องยกมือขออภิปราย
บุคลที่ถูกกำหนดตัวไว้แล้วในแต่ละเรื่องเท่านั้นที่จะยกมือ ดังนั้นไม่ว่าประธานจะชี้ให้ใครอภิปราย
ก็ล้วนเป็นเรื่องไม่ผิดหวังของฝ่ายค้าน
จะถ่ายทอดหรือไม่ถ่ายทอดการประชุมทางวิทยุกระจายเสียง นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะการประชุมทุกนัดถูกถ่ายทอดจากหนังสือพิมพ์อยู่แล้ว
และเพียงผ่านมาไม่กี่ครั้งพรรคฝ่ายค้านก็ดิสเครดิตรัฐบาลไปแล้วหลายแต้ม