Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2529
ระเบิดลูกนี้ชื่อ พรรคประชาธิปัตย์             
 


   
search resources

พิชัย รัตตกุล
พรรคประชาธิปัตย์




ขณะนั้น-ปี 2524 พันเอกถนัด คอมันตร์ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พิชัย รัตตกุลลาออกจากกรรมการพรรค เหลือความเป็น "ประชาธิปัตย์" ไว้เฉพาะฐานะสมาชิกพรรคธรรมดา

ครั้งนั้น-พิชัย รัตตกุล ให้สัมภาษณ์ว่า "ผมจะเนรคุณประชาธิปัตย์ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อประชาธิปัตย์ต้องตกต่ำเช่นเลานี้ ก็ยิ่งเป็นหน้าที่ของคนเก่า ๆ ของสมาชิกเก่า ๆ ที่ต้องช่วยกัน แต่ตราบใดที่ยังมีถนัด คอมันตร์ เป็นหัวหน้าพรรคอยู่ มาอย่างเทวดาอย่างนี้นะครับ เราทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องหาทางเขี่ยนายถนัดออกไปให้ได้

ขณะนี้-ปี 2529 พิชัย รัตตกุลเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กำลังโดนลูกพรรครุกไล่เพื่อเขี่ยออกจากตำแหน่ง

คนที่เคยใกล้ชิดกับนายพิชัยหลาย ๆ คนกล่าวถึงพิชัยเป็นเสียงเดียวกันว่าบุรุษผู้นี้ "ปากหวานมาก" …แน่นอนการกล่าวถึงเช่นนี้ชี้ให้เห็นภาพพจน์ได้กว้างไกลมากทีเดียว

ครั้งหนึ่งชนะ รุ่งแสง บุญยิ่ง นันทาภิวัฒน์ ถูกวางตัวให้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่เขตหนองแขม-ตลิ่งชัน อันเป็นเขตชานเมืองรอบนอก ผู้ที่คลุกคลีกับพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนั้นเล่าว่าทั้งชนะและบุญยิ่ง มีความกดดันและแค้นเคืองไม่น้อยเลย เพราะเรารู้ ๆ กันอยู่ว่า นักธุรกิจผู้ใหญ่เช่นนี้ไม่เหมาะนัก สำหรับการต้องมึงมาพาโวยหาเสียงในเขตชานเมือง แต่กระนั้นทั้งสองคนนี้ก็ลุยไถจนประสบผลสำเร็จ

ว่ากันว่าผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ชนะและบุญยิ่งไปลุยไถนั้นคือพิชัย เหตุผลถูกสรุปลงตรงที่ว่าทั้งชนะและบุญยิ่ง มีเกรดในระดับคู่แข่งภายในพรรคของพิชัย

ช่วงที่พิชัยขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคชนะเหินห่างไปจากประชาธิปัตย์ กระทั่งมีการจัดความสัมพันธ์กันใหม่ในตอนหลัง จนชนะตัดสินใจลงสมัครเป็นผู้ว่า กทม. เมื่อปีที่แล้ว

การเลือกตั้งปี 2526 ดำรง ลัทธิพิพัฒน์พร้อมเพื่อนพ้องจำนวนหนึ่ง เตรียมตัวลงสมัครรับเลือกตั้งในสังกัดพรรคกิจสังคม เกือบถึงขั้นประกาศตัวกันอยู่แล้ว ได้มีเหตุผลทาง "เทคนิค" บางประการเกิดขึ้น ทำให้ดำรงค์ยังคงอยู่ที่เดิม และลงสมัครในเขตห้วยขวาง

พรรคกิจสังคมช่วยเหลือดำรงค์อีกแรงหนึ่งด้วยการส่งผู้สมัครในเขตนั้นเพียง 2 คน ขณะที่มี สส. ได้ 3 ตำแหน่ง ผลปรากฏว่าดำรงค์ได้รับเลือกตั้ง ขณะที่ สส. อีก 2 คนของเขตนี้มาจากพรรคประชากรไทย

ผู้คลุกคลีกับพรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นเปิดเผยว่า การเกือบเปลี่ยนพรรคของดำรงค์มีเหตุเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับพิชัย

พิชัย รัตตกุลมีคุณสมบัติที่พิเศษประการหนึ่ง นั่นคือสามารถลูบหัวลูบไหล่กับใครก็ได้อย่างสนิทสนม เสมือนรู้จักกันมาแรมปี

คุณสมบัตินี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความสามารถในการ "ผลิต" ภาพของตัวเองให้ปรากฏต่อสังคมได้อย่างน่าประทับใจ

แทบทุกครั้งของการปราศรัยหาเสียง ก่อนหละหลังคิวพูด พิชัยจะลงมานั่งคลุกกับพื้นอยู่หน้าเวทีท่ามกลางชาวบ้านที่มาฟังปราศรัย แม้บ่อยครั้งจะมีสายฝนโปรยปราย

เมื่อมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นกับชาวบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเลือกตั้งของตนโดยตรง เช่นเกิดไฟไหม้ พิชัยไม่รอช้าที่จะไปเยี่ยมเยียนดูแลทุกข์สุขพร้อมให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นตามสมควร

ในขณะที่พิชัยกำลังมีบทบาทสูงเด่น ข่าวคราวกระจายออกมาเป็นระยะว่า พิชัยมีปัญหาไม่น้อยกับลูกพรรคที่มาจากภาคใต้ เพียงรอวันปะทุดุเดือดเท่านั้น

แต่ถึงวันนี้กลับมิได้เป็นเช่นนั้น สส. มากกว่าครึ่งหนึ่งจากทุกภาค กดดันให้พิชัยลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค สส. ภาคใต้ส่วนหนึ่งเสียอีกที่ยืนอยู่ข้างพิชัย

ไกรสร ตันติพงษ์ รองหัวหน้าพรรคและเป็น สส. อาวุโสสูงสุดของพรรคเป็นหนึ่งในหัวหอกที่กดดันพิชัย ทั้ง ๆ ที่สนิทสนมกับพิชัยมาตลอด และค่อนข้างมีความแปลกแยกกับ สส. กลุ่มภาคใต้อยู่ด้วยซ้ำ

เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ สส. เขตเดียวกับพิชัย เป็นคีย์สำคัญคนหนึ่งของพรรคเปิดตัวชัดเจนในการฟาดฟันกับพิชัย

วีระ มุสิกพงศ์ ปัญหาของตัวเองยังคาราคาซังอยู่ในศาล จึงไม่เปรี้ยงปร้างออกมามากนัก แต่รู้กันทั้งพรรคว่าวีระเป็นคนหนึ่งด้วยที่รุกไล่หัวหน้าพรรค

มารุต บุนนาค ชวน หลีกภัย แสดงท่าทีของนักประนีประนอม มารุตนั้นคาดหมายกันว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคแทนพิชัย

วันเกิดครบรอบ 60 ปีของพิชัย เมื่อ 16 กันยายนนั้น ไม่มีการร่วมอวยพรอย่างคึกคักจากลูกพรรค "เพราะจัดเป็นการภายใน" เป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นสำหรับงานมงคลของคนระดับนี้… วีระ มุสิกพงศ์ให้สัมภาษณ์ล่วงหน้าว่าจะไม่ไปร่วมงาน

ข้อกล่าวหาที่ลูกพรรคมีต่อพิชัยจนถึงขั้นเสนอให้พิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งนั้น ที่หลัก ๆ มี 3 ประการ

หนึ่ง-การคัดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งที่ผ่านไป ลูกพรรคอ้างว่าพิชัยใช้อำนาจรวบรัดโดยมิได้ปรึกษาคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกผู้สมัคร จึงทำให้ผลออกมาไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานคร

สอง-การใช้เงินกองกลางจำนวน "นับสิบล้าน" สำหรับการหาเสียงลูกพรรคอ้างว่าพิชัยนำเงินส่วนนี้เข้าบัญชีส่วนตัว และเบิกจ่ายแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่มีกรรมการบริหารอื่นรับทราบด้วย

สาม-การแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีเงื่อนงำ

ข้อแรกกับข้อสองนั้นไม่หนักหนานัก หากไม่มีข้อสามเข้ามาจุดชนวน

ปัญหาข้อที่จุดชนวนนั้น สรุปลงตรงที่ว่า ตามข้อตกลงกันในพรรคนั้น พรรคจะส่งรายชื่อบุคลที่จะเป็นรัฐมนตรีให้กับพลเอกเปรมจำนวน 26 คน เพื่อให้พลเอกเปรมคัดเอา 17 คน ตามโควต้าของพรรคประชาธิปัตย์

ลูกพรรคอ้างว่า ขณะยังอยู่ระหว่างการต่อรองเพื่อเอา 17 ตำแหน่ง พิชัยกลับยอมรับเอา 16 ตำแหน่งอย่างง่ายดายและแทนการส่งรายชื่อผู้ที่พรรคเห็นเหมาะสมทั้ง 26 คนไปให้พลเอกเปรมชี้ขาด กลับส่งไป 16 คนตามโควต้าพอดิบพอดี

ใน 16 คนนี้ มี ดร. พิจิตต รัตตกุลรวมอยู่ด้วย ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ

การก่อหวอดเรียกร้องให้พิชัยทำเรื่องนี้ให้กระจ่างเกิดขึ้นทันที แต่แทนการอธิบายกลับกลายเป็นความโกรธเกรี้ยว ถึงขั้นที่พิชัยเกือบกระชากคอเสื้อนฤชาติ บุญสุวรรณ สส. สงขลา

เรื่องที่ไม่กระจ่างอยู่แล้ว พิชัยถูกคลางแคลงใจอยู่แล้ว บวกกับเหตุการณ์วันนี้ กลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ในพรรค

พิชัยยังยืนยันว่าส่งรายชื่อบุคลไปให้พลเอกเปรมตัดสิน 26 คน จำนวน 16 คนที่ได้เป็นรัฐมนตรีนั้นมาจากการตัดสินใจของพลเอกเปรม อย่างไรก็ตามช่วงหลังคำยืนยันข้อนี้ของพิชัยค่อนข้างออกมาแกน ๆ โดยสิ้นเชิง

ฝ่ายที่ยืนอยู่ข้างพิชัย มีความเห็นว่า การที่ ดร. พิจิตร ได้เป็นรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการโหวตในพรรคเพื่อเสนอชื่อต่อพลเอกเปรมนั้น ดร. พิจิตรได้คะแนนมาเป็นอันดับ 4 ในโควต้ากรุงเทพมหานคร ในขณะที่เฉลิมพันธ์ มาเป็นอันดับ 5

อันดับ 1-4 ได้เป็นรัฐมนตรีทุกคน คือมารุต พลเอกหาญ ดร. ศุภชัย และดร. พิจิตร ซึ่งพิจารณาในแง่คุณสมบัติแล้ว ดร. พิจิตร นั้นเป็น สส. ครั้งที่สองบวกกับความรู้ปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ จึงไม่ควรเห็นเป็นเรื่องประหลาดต่อการที่ดอกเตอร์พิจิตรได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ

แต่อีกฝ่ายมีเหตุผลว่าการโหวตในพรรคเพื่อเสนอชื่อต่อพลเอกเปรมนั้น มิได้กะเกณฑ์กันว่าให้ยึดเอาลำดับคะแนนที่ได้รับจากการโหวตเป็นเงื่อนไขตัดสินตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งนี้ให้ถือว่าทั้ง 26 คนมีโอกาสเท่ากัน โดยพลเอกเปรมเป็นผู้ชี้ขาด

ลูกพรรคฝ่ายนี้มีความคลางแคลงใจยิ่งขึ้นกรณีที่พิชัยเข้าพบพลเอกเปรมแเพียงผู้เดียว ขณะกำลังฟอร์มรัฐบาลกันอยู่ ทั้ง ๆ ที่โดยมารยาทแล้วควรเข้าพบพลเอกเปรมพร้อมกับคณะกรรมการประสานงานจัดตั้งรัฐบาลของพรรคคนอื่น ๆ ด้วย

ที่ร้ายแรงกว่านั้นลูกพรรคฝ่ายนี้อ้างว่า ในวันที่จะประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีนั้นพิชัยยังเรียกประชุมพรรคเพื่อ "หารือ" ในการจัดตั้งรัฐบาลทั้ง ๆ ที่พิชัยตกลงและส่งรายชื่อรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ 16 คนกับพลเอกเปรมเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว

การประชุมเพื่อ "หารือ" ในวันนั้น พิชัยมิได้เข้าร่วมประชุม เพราะไปนอน "ป่วย" อยู่ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

สำหรับปัญหาที่พิชัยยอมรับโควต้าพรรคประชาธิปัตย์ 16 ตำแหน่งแทนที่จะเป็น 17 ตำแหน่งด้วยหลักการที่ว่า จำนวน สส. 6 คนได้เป็นรัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง และเศษปัดขึ้น นั่นย่อมทำให้พรรคชาติไทยและกิจสังคมต้องปัดเศษขึ้นด้วย ซึ่งทำให้โควต้าของพลเอกเปรมลดลงทันที 3 ตำแหน่ง เรื่องนี้ก็รู้กันอยู่ว่าพลเอกเปรมต้องไม่ยอมแน่

แต่เรื่องที่กำหนดบุคคลที่จะเป็นรัฐมนตรีไปชัดเจนโดยไม่เผื่อให้พลเอกเปรมเลือกนั้นเป็นปัญหาอย่างแน่นอน ยิ่งมีลูกชายหัวหน้าพรรคได้เป็นรัฐมนตรีด้วย ปัญหาก็ยิ่งหนักหน่วง

มองกันง่าย ๆ พอจะเห็นกันได้ชัดว่า เรื่องอย่างนี้ถ้าเคลียร์ได้ ไม่มีใครอยากให้เกิดปัญหาให้เสียทั้งชื่อตัวเสียทั้งชื่อพรรค

การออกมาเปรี้ยงปร้างของลูกพรรคประชาธิปัตย์ว่าไปแล้วก็มีข้อผิดพลาดอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่เป็นความผิดพลาดในเกมการต่อสู้กับหัวหน้าพรรคของตัวเอง แต่เป็นความผิดพลาดในหลักการของนักการเมืองในสังกัดพรรคที่อ้างว่ามีประชาธิปไตยมากที่สุด

นั่นคือแทนที่จะร่วมพิจารณาให้เสร็จสิ้นเป็นการภายในว่าใครบ้างที่เหมาะสมจะเป็นรัฐมนตรี ให้ลงตัวตามโควต้าที่มีอยู่

การณ์กลับเป็นว่าคนในพรรคมอบความไว้วางใจให้พลเอกเปรม ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก มากกว่าจะร่วมกันเป็นตุลาการในที่ประชุม

ถ้าหากพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการตามหลักนี้ปัญหาไม่มีทางเกิดขึ้นได้

และถ้ามองให้ไกลกว่านั้น ปัญหาเช่นนี้ยิ่งจะไม่เกิดขึ้น หากพรรคประชาธิปัตย์เป็นเอกภาพทางความคิดใน "แนว" สำคัญตั้งแต่เริ่มต้น

นั่นคือแนวที่ว่าจะต้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก สส. หรือไม่อย่างไร เพราะการประกาศแนวจนเป็นสัญญาประชาคม ในขณะที่พรรคยังไม่มีการยอมรับอย่างเป็นเอกภาพ ย่อมหมายถึงการต้อนตัวเองเข้ามุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัญหาคือการจ่ายเงินบริจาคของพรรคโดยไม่มีใครรับรู้ด้วยนั้น คนที่คลุกคลีอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า เรื่องนี้ถ้ามองอย่างให้ความเป็นธรรมกับพิชัยบ้างแล้ว จะเห็นได้ว่าคนอย่างพิชัยนั้น อยากเป็นนายกรัฐมนตรีมากกว่าอยากได้เงิน อย่าว่าแต่หลัก 10 ล้านเลย ต่อให้หลัก 100 ล้านด้วยซ้ำไป

เหตุผลที่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างไม่ได้นั้น ก็เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้กระจ่างลำบาก ว่ากันว่า การใช้จ่ายเงินในระหว่างการหาเสียง ไม่ว่าพรรคใดย่อมจัดสรรให้ลูกพรรคแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่า ใครมีโอกาสได้รับเลือกมากน้อยแค่ไหนเป็นพื้นฐาน

เรื่องนี้ถ้าเปิดเผยออกมาให้รู้กันหมด ก็มองหน้ากันไม่ติด

ฟังจากฝ่ายค้านพิชัย บอกว่าความไม่ถูกต้องของพิชัยนั้นคือใช้จ่ายเงินโดยไม่มีคนอื่นรับรู้ร่วมด้วย

ถึงวันนี้กลุ่ม สส. ที่ไม่ต้องการพิชัยใช้มาตรการกดดันทางการเมืองเป็นหลัก ถ้าจะว่ากันตามมาตรการกฎระเบียบของพรรคแล้ว ก็ต้องล่ารายชื่อสมาชิกพรรค 500 คนเพื่อขอเปิดการประชุมสมัยวิสามัญ

การล่าชื่อ 500 คนไม่ใช่เรื่องยาก แต่การประชุมใหญ่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมทั้งผลจะลงเอยอย่างไร เมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปถึงวันนั้น ล้วนเป็นเรื่องน่าห่วง

อย่างไรก็ตามพอจะมองเห็นกันได้ไม่ยากว่า ถึงวันนั้นพิชัยก็ยังเป็นรองอยู่หลายขุม

ไกรสร ตันติพงษ์-มีน้ำหนักมากต่อสาขาพรรคในภาคเหนือ

เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์-น้ำหนักไม่น้อยทางภาคอิสาน

ภาคใต้แทบไม่มีปัญหา และ สส. ระดับกลางอีกไม่น้อยจากทุกภาค ไม่เอากับพิชัยและมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจของสาขาพรรคส่วนต่าง ๆ

ถึงขั้นนี้ไม่ว่าผลจะลงเอยอย่างไรก็ตาม คนในพรรคประชาธิปัตย์ ยากที่จะมองหน้ากันได้สนิท ยากที่จะเรียกเอกภาพกลับคืนมาในเร็ววัน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us