ค่ายเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือบีเจซี บริษัทจัดจำหน่ายสินค้าคอนซูเมอร์ และบริษัทในเครือฯ อุตสาหกรรมทำเครื่องแก้วไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีจีไอ ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แก้ว กับกลยุทธ์ทำการตลาดแบบAnniversary Marketing ในโอกาสครบ 6 ทศวรรษ เน้นการพัฒนาคุณภาพงานบรรจุภัณฑ์แก้ว และเพิ่มบริการในกลุ่มลูกค้าฐานเดิม พร้อมเร่งมือบุกหนักตลาดในเอเชีย โดยล่าสุดจับมือ โอเว่นส์ อิลลินอยส์ เร่งขยายเครือข่ายการผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว สยายปีกขึ้นเบอร์ 1 ในตลาดต่างประเทศภายในปี 2555 นี้
แผนการตลาดเชิงรุกครั้งนี้ภายใต้ Anniversary Marketing อัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ บีเจซี ผู้ถือหุ้นหลักในทีจีไอ โดยกล่าวว่า บีเจซีเดินทางมาครบ 60 ปี และก้าวสู่ปีที่ 61 ซึ่งเน้นการทำตลาดที่เข้มข้นมากขึ้น โดยล่าสุดร่วมทุนกับโอ-ไอ ซึ่งเป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วรายใหญ่ที่สุดในโลก เข้าซื้อกิจการของบริษัท มาลายากล๊าส โปรดักส์ ซึ่งมีโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วอยู่ในประเทศไทย จีน มาเลเซีย และเวียดนาม ส่งผลให้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วของบีเจซีมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 2,400 เป็น 3,425 ตันต่อวัน จากทั้ง 5 โรงงาน และเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“การดำเนินการซื้อกิจการครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งในการผลิตเพิ่มสูงขึ้น สามารถรองรับตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะเน้นต่อยอดตลาดกับฐานลูกค้าเดิมทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีกลุ่มลูกค้าหลากหลาย อาทิ กลุ่มอาหารเครื่องดื่ม ทั้งที่มีแอลกอฮอล์ และไม่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เกลือแร่ น้ำเกลือ ยา รวมไปถึงเครื่องสำอาง”
สำหรับเป้าหมายในปี 2554 ทีจีไอ ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีนี้โต 14% เป็นมูลค่ายอดขายในประเทศ 8,600 ล้านบาท โดยยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ทีจีไอ ครองส่วนแบ่งตลาดในประเทศอยู่ที่กว่า 40% คิดเป็นมูลค่า 4,300 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวม 10,800 ล้านบาท โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นเดือนที่ ทีจีไอ มียอดขายสูงที่สุดในรอบ 60 ปี โดยคาดว่ายอดขายรวมจะสูงถึง 12,300 ล้านบาทภายในปี 2554
6 ทศวรรษแห่งโปรดักส์คุณภาพ
อัศวิน กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมา มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพของบรรจุภัณฑ์และการบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คุณภาพ” เป็นหัวใจสำคัญในแผนงาน เพราะนโยบายขององค์กร จะมุ่งมั่นสู่ความเป็นผู้นำที่ยึดมั่นในธรรมาภิบาล มุ่งสร้างบรรจุภัณฑ์แก้วคุณภาพดีเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากรทุกระดับ ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา เราใช้เวลา 50 ปีแรก ขยายกำลังการผลิตเป็น 1,700 ตันต่อวัน แต่เราใช้เวลาเพียง 10 ปีหลังขยายกำลังการผลิตอีกเท่าหนึ่งจนเป็น 3,425 ตันในปัจจุบัน จากที่เรามีเพียง 2 โรงงานในประเทศไทย จนเป็น 3 โรงงานในประเทศไทย และ 2 โรงงานร่วมทุนในประเทศมาเลเซียและประเทศเวียดนาม
ทีจีไอจะก้าวขึ้นสู่ปีที่ 61 ด้วยความแข็งแกร่ง จากการผนึกพันธมิตรระดับโลกอย่างโอเว่นส์ อิลลินอยส์ ในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัย และขยายฐานตลาดให้ก้าวไกล และกว้างขวางขึ้น จะสร้างความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง มุ่งมั่นในการเป็นผู้นำตลาดบรรจุภัณฑ์แก้วอย่างต่อเนื่องตลอดไป”
ด้าน มร.อัลเบิร์ต พี แอล สตรุคเคน ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากโอ-ไอ กล่าวเสริมว่า “ความสำเร็จของโอ-ไอในภูมิภาคเอเชียนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง บีเจซีและทีจีไอ ซึ่งได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพตลาดและวัฒนธรรมในเอเชียให้กับโอ-ไอ ทำให้เรามองเห็นถึงศักยภาพของตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ รวมถึงวิธีการตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคปลายทางได้ดียิ่งขึ้น
การร่วมทุนนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างโอ-ไอ และบีเจซี โดยทั้ง 2 บริษัทมีแผนจะร่วมกันสร้างโรงงานแห่งใหม่ในเวียดนาม และได้ดำเนินการซื้อที่ดินเป็นที่เรียบร้อย แต่หลังจากบริษัท มาลายากล๊าส ประกาศขายกิจการ เราจึงตัดสินใจขยายความร่วมมือเป็นการร่วมซื้อกิจการแทน ซึ่งโดยปรกติแล้ว เป็นการยากมากที่จะเข้าซื้อกิจการโดยการร่วมทุน เพราะทั้ง 2 บริษัทจะต้องมีความเชื่อใจกันอย่างลึกซึ้ง และทาง โอ-ไอ คงไม่ตัดสินใจเช่นนี้หากไม่มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ต่อบีเจซี พันธมิตรของเรา
ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์แก้วเป็นที่ต้องการในตลาดเกิดใหม่อย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทีจีไอจะช่วยให้เราตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างเหมาะสม โอ-ไอ มั่นใจว่าเรามีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และจะมุ่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายต่อไป” มร.อัลเบิร์ต พี แอล สตรุคเคน กล่าวสรุป
|