ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมหมาย ฮุนตระกูล
ได้เปิดบ้านเพื่อเลี้ยงอาหารสื่อมวลชนเป็นครั้งแรก เมื่อมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสบ้านที่แม้แต่คณะรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลยังไม่เคยเข้าไป
จะเขียนเป็นรายงานสั้น ๆ ก็ดูจะไร้วิญญาณคนทำหนังสือไปหน่อย และเมื่อเขียนถึงก็น่าจะสอบสาวไปถึงสาแหรกของตระกูลฮุนตระกูล
ที่เรายังไม่เคนเขียนถึงมาก่อน
เลยสี่แยกลาดพร้าวตัดกับถนนรัชดาภิเษกประมาณ 200 เมตร ทางด้านขวามือคือ
จักษุคลีนิคชื่อว่า "อัมพุทคลีนิค" ติดกับถนนใหญ่และติดปากซอยลาดพร้าว
36 ถ้ามีคนช่างสงสัยเดินไปดูที่ประตูเหล็ก หล่อเป็นลวดลายกิ่งก้านไม้ใบก็อาจะแปลกใจว่าทำไมมีป้ายชื่ออีกป้ายหนึ่งว่า
"บุญญเวศน์" เมื่อมองผ่านประตูเข้าไปจะเห็นตึกสองชั้นขนาดไม่ใหญ่นัก
ทว่าท่าทางมีอายุเก่าแก่พอสมควร แต่คงได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี จึงไม่มีร่องรอยของความทรุดโทรม
หากไม่มีใครบอกน้อยคนนักจะเชื่อว่านี่คือที่พำนักของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
สมหมาย ฮุนตระกูลและครอบครัวมากว่า 30 ปีแล้ว
วันที่ 5 กันยายน ที่ผ่านมบ้าน "บุญญเวศน์" ก็ได้มีโอกาสเปิดต้อนรับบรรดาผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับเป็นครั้งแรก…และอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย
ด้วยบรรยากาศที่เป็นกันเองอบอุ่นอ่างคาดไม่ถึง
คุณหญิงสมศรี ฮุนตระกูลเป็นแม่งานสั่งการในห้องครัวตั้งแต่ช่วงบ่ายจัด
ๆ โดยมีพนักงานแบงก์ชาติ กระทรวงการคลัง และเจ้าหน้าที่จากบรรษัทเงินทุนอุจสาหกรรมมาคอยช่วยดูแลทางด้านเครื่องดื่ม
"ทีม" นักข่าวกลุ่มแรกที่ไปถึงก็คือ "ผู้จัดการ" ที่เรียกว่าทีมเพราะแห่กันไปตั้ง
3 คน…นักข่าวสอง ช่างภาพหนึ่ง เพราะเราเห็นว่าเป็นวาระที่ค่อนข้างสำคัญรวมทั้งเข้าใจผิดเรื่องเวลานัดหมาย
แต่การไปถึงก่อนเวลาก็ใช่ว่าจะให้โทษ ตรงข้ามกลับเป็นคุณเสียด้วยซ้ำด้วยว่ามีเวลาพุดคุยซักถามเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับเจ้าของบ้าน
รวมทั้งช่างภาพเองก็พึงใจที่ได้ถ่ายรูปในขณะที่ยังมีแสงธรรมชาติเหลืออยู่
"ที่ดินแปลงนี้เราซื้อมาเมื่อครั้งยังมีราคาตารางวาละ 20 บาท ก็มีเด็กแบงก์ชาติบางคนพูดเข้าหูลูกน้องเก่าของคุณ
(สมหมาย) ว่า …เนี่ยะพอได้เป็นรัฐมนตรีก็ซื้อที่ซื้อบ้านเสียใหญ่โต ก็เลยโดนตอกกลับไปว่า
นี่คุณ…บ้านหลังนี้เขาซื้อตั้งแต่คุณยังไม่เกิดด้วยซ้ำ" คุณหญิงสมศรีภริยาอดีตรัฐมนตรีเล่าให้ฟังต่ออย่างผู้ใหญ่ใจดีว่า
"บ้านเรานี่เป็นตึกหลังแรกบนถนนสายนี้เมื่อก่อนหน้าบ้านเป็นคูเล็ก
ๆ ผ่านรอบ ๆ มีแต่ทุ่งนา นั่งอยู่ชั้นบนมองเห็นรถเข้ารถออกที่สถานีขนส่งหมอชิตได้สบาย
ไฟฟ้าบ้านเราก็มีหลังแรก โทรศัพท์ก็เหมือนกัน เวลามีเรื่องอะไรแถวนี้ กำนันก็ต้องมาขอใช้โทรศัพท์ที่นี่"
ปัจจุบันเนื้อที่ของบ้านบุญญเวศน์ได้ถูกตัดแบ่งให้กับลูกหลานไปเป็นส่วนใหญ่
คงเหลือเนื้อที่รวมกับบ้านของลูกสาว แพทย์หญิงภัทนีประมาณ 3 ไร่เท่านั้น
บริเวณที่ใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงอยู่ที่บริเวณชายคาของบ้านทรงไทยหลังงามซึ่งเป็นบ้านพักของแพทย์หญิงภัทนีและสามี
จัดเป็นโต๊ะอาหารสองชุด ตั้งโต๊ะเครื่องดื่มไว้บริเวณหน้าห้องครัว "ผู้จัดการ"
ชำเลืองมองเห็นบรั่นดีขวานหงาย 1 ขวด วิสกี้จอห์นนี่วอล์คเกอร์ตราดำและเบียร์ไทยยี่ห้อเก่าแก่
โดยบรรดาบริกรอาสากำลังทดสอบรสชาติกันคนละเล็กคนละน้อย
"บ้านเรือนไทยหลังนี้เราซื้อมาจากหัวหินส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่รื้อมาจากบ้านสี่พระยา
ซึ่งเป็นบ้านของคุณพ่อ (โกศล ฮุนตระกูล) ซึ่งพอท่านเสียเราก็ขายที่บริเวณนั้นไปประมาณ
30 ล้านบาท…ก็แถว ๆ โรงแรมปักกิ่งหือสี่พระยาวิลล่า" คุณหญิงสมศรีตอบคำถาม
"ผู้จัดการ" เมื่อแวะมาทักทายอีกรอบหนึ่งในหลาย ๆ รอบ
บ้านหัวหินที่คุณหญิงสมศรี ฮุนตระกูลพูดถึงก็คือบริเวณที่เคยเป็นโรงน้ำแข็งของโกศล
ฮุนตระกูล เดิมมีที่ดินนับร้อยไร่ตั้งแต่บริเวณชายทะเลไปจนจรดภูเขา ภายหลังตัดที่แบ่งขายไปบ้าง
แบ่งให้ญาติพี่น้องไปบ้างเหลือเนื้อที่ประมาณ 4-5 ไร่ ปัจจุบันยังมีบ้านไม้สักหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นเมื่อปี
2467 และบรรดาเพื่อนพ้องของลูก ๆ ทั้งบรรษัทเงินทุนฯ และปูนซิเมนต์ไทยใช้เป็นที่พักอาศัยอยู่เนือง
ๆ เวลาไปพักผ่อนที่หัวหิน
"บ้านที่หัวหินนี่ก็มีประวัติศาสตร์นะคะ เพราะก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเจ้าคุณอา
(พระยาศรีวิสารวาจา) ก็พาพรรคพวกคณะราษฎรไปประชุมที่นั่น" อีกประโยคหนึ่งของคุณหญิงสมศรี
เนื้อที่ส่วนใหญ่ของบ้าน "บุญญเวศน์" อยู่ด้านหลังที่พักของสมหมาย
ฮุนตระกูล คือบริเวณบ้านเรือนไทย มีสวนญี่ปุ่นอยู่ตามมุมโน้นมุมนี้ของสนามห้าเรียบเขียว
"สวนญี่ปุ่นนี่เวลาดิฉันไปญี่ปุ่นกับเพื่อน ๆ …กับพวกทัวร์ เห็นที่ไหนสวยดีก็ถ่ายรูปมา
แล้วก็ค่อย ๆ ทำไปทีละนิด ทีละหน่อย…โอยคุณ (สมหมาย) ท่านไม่ว่างหรอก ที่เป็นสนามหญ้านี่เดิมเป็นสวนครัว
พวกลูก ๆ เขาก็บอกว่าทำเป็นกรีนให้คุณซ้อมพัทกอล์ฟเถอะ ก็รื้อสวนครัวไปหมด
ไป ๆ มา ๆ รัฐมนตรีก็ไม่ได้เล่นกอล์ฟอะไรเลย" คุณหญิงสมศรี "บ่น"
ให้ฟัง
ประมาณ 18.30 น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนล่าสุด สมหมาย ฮุนตระกูล
ก็เดินลงมาทักทายนักข่าว ซึ่งตอนนี้เพิ่มเป็น 5 คนแล้ว ทันทีที่หุดเดินวิสกี้โซดาค่อนข้างเบาก็ถูกส่งให้โดยลูกน้องเก่าจากบรรษัทฯ
"สถานการณ์เศรษฐกิจตอนนี้ก็ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก พระราชกำหนดที่สำคัญทางการเงินก็ผ่านสภาผู้แทนแล้ว
ที่ต้องระวังก็คือรักษาสถานการณ์เอาไว้ อย่าหันไปสู่สภาพเดิมที่ใช้เงินเกินตัวหรือใช้จ่ายมือเติบ"
ประโยคแรกที่ สมหมาย ฮุนตระกูลพูดกับนักข่าวที่ยืนล้อมรอบเพื่อทยอยกันป้อนคำถาม
"เรื่องที่หนักใจก็คงเป็นเรื่องปรับค่าเงินบาทครั้งสุดท้าย (พ.ย.
2527) ผู้รับผิดชอบ รัฐมนตรีคลังทุกคน ทุกประเทศ ทุกยุคทุกสมัยไม่มีใครอยากจะทำในเรื่องปรับค่าของเงินให้ลดลง
ไม่มีใครทำเพื่อความสนุกสนาน หรือเพื่อลองวิชา หรือลองอำนาจของตัวเอง หรือว่าทดสอบพังทางการเมือง…ไม่มีใครทำอย่างนั้นแน่
ก็เป็นเรื่องจำเป็นต้องฝืนทิศทางลมบ้าง แต่ก็ไม่เกินเหตุนัก ไม่ใช่ฝืนจนรัฐบาลล้มก็แย่หน่อย"
คำตอบของสมหมายเมื่อถามว่าหนักใจเรื่องอะไรที่สุดตอนเป็นรัฐมนตรี
ทุ่มหนึ่งนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉับต่าง ๆ มาถึงเป็นส่วนใหญ่ สมหมาย ฮุนตระกูล
ดูเหมือนมีความสุขและให้ความเป็นกันเองเป็นพิเศษทักทายคนโน้นคนนี้อย่างอารมณ์ดี
ผิดจากสมัยเมื่อยังดำรงตำแหน่งทางการเมือง
"ผมว่าจะไปรื้อฟื้นเรื่องตีกอล์ฟใหม่ เพราะหยุดไปตั้ง 7 ปี ก่อนเลิกเล่นแฮนดิแคปของผมประมาณ
18-20 แล้วแต่สนาม อีกอย่างหนึ่งที่คิดจะทำคือเขียนหนังสือเผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับคนรุ่นหลังศึกษาปัญหาทางเศรษฐศาสตร์
เพราะในระยะที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มีความผันผวนมาก ก็คงไม่ใช่เฉพาะคนไทยหรอกนะ
คนต่างประเทศเขาก็สนใจ" สมหมาย ฮุนตระกูล บอกใบ้ว่าหนังสือที่เขียนคงไม่ใช่ภาษาไทยดอกนะ
เวลาอาหารเริ่มประมาณทุ่มครึ่งที่นักข่าวประมาณ 20 คนเศษ นั่งแออัดกันที่โต๊ะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
รายการอาหารวันนั้นโดยฝีมือกำกับของคุณหญิงสมศรี ฮุนตระกูล ได้แก่ปูจ๋า ยำแหนม
ทอดมัน แกงเขียวหวานเป็ด หมูปิ้ง สตูลิ้น นมและผลไม้…เพียบ
อาหารที่ สมหมาย ฮุนตระกูล เลือกตักใส่จานของตนเท่าที่เห็นก็มีข้าวผสมกับขนมจีนราดด้วยแกงเขียวหวานเป็ด
แนมด้วยปูจ๋าและทอดมัน…ซึ่งก็แทบจะไม่ค่อยมีโอกาสได้รับประทาน เพราะต้องคอยตอบคำถามที่ระดมมาเป็นชุด
ทั้งเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองและเรื่องส่วนตัว ท่ามกลางเสียงสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างชนิดที่ไม่มีเค้ามาก่อน
3 ทุ่มตรง คำถามที่พึงถามก็หมดแล้ว คำตอบที่พึงตอบก็ตอบไปแล้ว ฝนก็หยุดแล้ว
บรั่นดีแก้วสุดท้ายที่คนสนิทเอามาเสิร์ฟตบท้ายอาหารมื้อค่ำของ สมหมาย ฮุนตระกูล
ก็จิบจนหมดหยดสุดท้าย วาระต่อมาก็คือการถ่ายรูปหมู่ร่วมกับนักข่าวก่อนที่จะอำลาแยกย้ายกันกลับ
ทิ่งไว้แต่สองผู้เฒ่าเจ้าของบ้านที่ยืนส่งแขกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความโล่งใจในภารกิจที่เสร็จสิ้นลง
เช่นเดียวกับฝนที่กระหน่ำลงเมื่อชั่วครู่