|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ในแวดวงศิลปะสมัยใหม่ของอินเดีย ผลงานและชื่อของ Maqbool Fida Husain เป็นที่รู้จักกว้างขวางทั้งในอินเดียและเวทีศิลปะโลก ด้วยงานที่มีพลังเปี่ยมชีวิตชีวา บอกเล่าการเปลี่ยนผ่านของศิลปะอินเดียร่วมสมัยตลอดหลายทศวรรษ บางคนขานเรียกเขาว่าศิลปินตีนเปล่า บ้างเรียกเพลย์บอย ความขี้เล่นขี้โอ่และรู้ถ่อมตนอยู่ในที ทำให้ภาพชีวิตของฮูเซนมีเสน่ห์และสีสันเฉกเช่นภาพเขียนของเขา แต่ช่วงท้ายของชีวิตเขากลับต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศควาตาร์ เพราะถูกปองร้ายหมายหัวโดยกลุ่มฮินดูขวาจัด เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ขณะมีอายุ 96 ปี โดยไม่มีโอกาสกลับมาสัมผัสแผ่นดินเกิด
มัคบูล ฟีดา ฮูเซน เกิดเมื่อปี 1915 ในครอบครัว ยากจนในตำบลปานธาร์ปูร์ รัฐมหาราษฏระ เขาสูญเสีย มารดาตั้งแต่อายุได้ขวบเศษ ฮูเซนเริ่มเรียนศิลปะกับ V.D. Devlalikar ศิลปินมีชื่อแห่งเมืองอินดอร์ ต่อมาจึงเข้าบอมเบย์ (เมืองมุมไบในปัจจุบัน) เพื่อหางานทำ ทีแรกเขาใฝ่ฝันจะเป็นนักแสดง แต่เมื่อโอกาสไม่เปิดช่องหนุ่มช่างฝันก็หันมาเลี้ยงชีพด้วยการเขียนป้ายโฆษณาหนัง พร้อมกับศึกษาศิลปะใน Sir JJ School of Art ที่ มีชื่อ ช่วงนั้นเองที่เขามีโอกาสพบปะกับศิลปินหัวก้าวหน้า รุ่นเดียวกัน และก่อตั้ง Progressive Artists Group ขึ้น ในปี 1948 สมาชิกของกลุ่มซึ่งต่อมาล้วนเป็นศิลปินมีชื่อ ได้แก่ F.N. Souza, H.S. Gade, S. K. Bakre, K.H. Ara และ S.H. Raza
ภาพเขียนของฮูเซน มีสีสดสว่าง กระนั้นเป็นการใช้สีในเชิงโครงสร้างและการแสดงออก มากกว่าเชิงประดับตกแต่ง ขณะเดียวกันประสบการณ์การเขียนคัตเอาต์หนังขนาดใหญ่ก็ส่งผลให้เส้นสายในภาพเขียนของเขาโดดเด่น มีพลัง ฮูเซนเป็นศิลปินที่ใฝ่รู้ ใฝ่ศึกษาและทดลองอย่างไม่หยุดนิ่ง แม้แต่ตอนอายุ 90 ปี เขายัง หันมาเรียนภาษาอารบิก ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศิลปะและอารยธรรมแห่งคาบสมุทรอาหรับ นับแต่ช่วงต้นของงาน ศิลปะเขาใส่ใจศึกษาทั้งศิลปะอินเดียและตะวันตก ในแง่มรดกศิลปะอินเดีย เขาเรียนรู้หลักสุนทรียศาสตร์เรื่อง รส (Rasa) เรื่องระยางหก (Sadanga หรือ Six Limbs of Paintings) รวมถึงลักษณะของ ‘moving focus’ หรือทัศนมิติเคลื่อนที่ ไวยากรณ์การเล่าเรื่องที่เรียบง่ายเป็นแบบแผน (schematic) ของศิลปะพื้นบ้านและชนเผ่า การใช้สีที่เป็นการแสดงออกทางอารมณ์และท่วงทำนอง (lyrical) ของภาพเขียนราชปุตบางสำนัก พร้อมกันนั้นก็เปิดใจเรียนรู้ศิลปะแนวใหม่ๆ จากโลกตะวันตกที่ลามไหลเข้ามาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 อาทิ แนวคิวบิสต์ เยอรมันเอ็กซ์เพรสชั่นนิสต์ และนำมาใช้ได้อย่างไม่ขัดเขิน จนมีลีลาและไวยากรณ์ของการแสดงออกเป็นของตนเอง
ขณะเดียวกัน ฮูเซนสนใจศึกษาคัมภีร์ทางศาสนา ทั้งอิสลามและฮินดู โดยศึกษาคัมภีร์อัลกุระอานกับ Mohammad Ishaq ศึกษาคัมภีร์ภควัทคีตาและอุปนิษัท กับเพื่อนสนิท Mankeshwar เป็นนักบวชในศาสนาฮินดู ต่อมาเขายังอ่านมหากาพย์มหาภารตะและรามายณะทั้งฉบับของวัลมิกิและตุลสีทาส ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ฮูเซนเขียนภาพจากมหากาพย์รามายณะไว้กว่า 150 ภาพ ในบรรดาภาพเขียนกว่าหมื่นภาพที่เขาสร้าง สรรค์ไว้ ล้วนสะท้อนถึงความรักความชื่นชมที่เขามีต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแผ่นดินแม่ รวมถึงความหรรษาต่อชีวิตหลากรสที่ปะทะและพบเจอได้ทุกหัวถนนในอินเดีย
ในปี 1955 ฮูเซนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในศิลปินแถวหน้าของอินเดีย เขาได้รับรางวัลปัทมศรี นัยหนึ่งรางวัลศิลปินแห่งชาติสาขาจิตรกรรม ต่อมาในปี 1971 เขาได้รับเชิญไปร่วมงาน Sao Paulo Biennial พร้อมกับปาลโบล ปิกัสโซ ในปี 1986 เขาได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิก นอกจากนี้ฮูเซนยังมีผลงานภาพยนตร์ เช่น หนัง สั้นเรื่อง Through The Eye of A Painter ที่ได้รับรางวัล Golden Bear จากเทศกาลหนังเบอร์ลินปี 1967 หนังยาวที่เขาอำนวยการสร้างและกำกับในวัย 85 ปี โดยมี Madhuri Dixit นักแสดงสาวดาวดังของบอลลีวูดนำแสดง คือเรื่อง Gaja Gamini หนังยาวอีกเรื่องที่เขากำกับในวัยย่าง 90 คือ Meenaxi แม้หนังยาวทั้งสองเรื่องจะไม่ทำเงินแต่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ในวงกว้าง
ความสำเร็จ ชื่อเสียง เงินทอง ที่สำคัญความเป็นมุสลิมและอาจผนวก ด้วยภาพลักษณ์ของศิลปินขี้เล่นกึ่งเพลย์บอย ทำให้ฮูเซนกลายเป็นเป้านิ่ง เมื่อกระแสฮินดูชาตินิยมก่อตัวเข้มแข็ง ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 การโจมตีระลอกแรกประเดิมด้วยบทความวิพากษ์วิจารณ์ว่า ฮูเซนลบหลู่เทพเจ้าในศาสนาฮินดู พร้อมกับตีพิมพ์ภาพนู้ดของพระสรัสวดี ซึ่งเป็นสเกตช์ที่เขาวาดไว้กว่า 20 ปี ก่อน เรื่องนี้สร้างความโกรธแค้นแก่ชาวฮินดูจำนวนมาก มีการบุกเข้าทุบทำลายแกลเลอรี่ที่เก็บภาพเขียนของฮูเซน รวมทั้งการยื่นฟ้องข้อหาเขียนภาพอนาจาร และปลุกเร้า ความขัดแย้งระหว่างคนต่างศาสนา
เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ฮูเซนกล่าวขอโทษต่อ สาธารณชนในทันที ขณะที่ศิลปินนักเขียนและนักประวัติศาสตร์ศิลป์มีชื่อจำนวนมากรวมตัวกันประท้วงการกระทำของฝ่ายฮินดูขวาจัด และเผยแพร่ข้อเท็จจริงให้สาธารณชนร่วมใช้วิจารณญาณ ว่าอันที่จริงวิหารฮินดูที่มีชื่อแห่งเมือง Hoysala ก็มีภาพเขียนโบราณเป็นรูปพระสุรัสวดีเปลือย นั่นยังไม่ต้องพูดถึงประติมากรรมกามสูตรอันลือชื่อแห่งวิหาร Khajuraho แต่กลุ่มฮินดูขวาจัดและชาวฮินดูที่โกรธแค้นอีกมากก็ไม่พร้อมจะฟังเหตุผล แม้ว่าหลายคนก็ไม่เคยเห็นภาพสเกตช์ต้นเรื่อง
การโจมตีในทำนองเดียวกันตามมาอีกหลายระลอก โดยมีชนวนจากภาพเขียนสีดาเปลือย และภาพ เขียนโครงร่างเปลือยของผู้หญิงโผขึ้นจากแผนที่ประเทศ อินเดีย ซึ่งกรณีหลังนี้แกลเลอรี่ผู้จัดนิทรรศการถือวิสาสะ ตั้งชื่อเองว่า Mother India ก่อกระแสความโกรธแค้นที่ตามด้วยการบุกเข้าทุบทำลายแกลเลอรี่หลายแห่ง บ้านพักของฮูเซนในเมืองมุมไบ และการยื่นฟ้องข้อหาเดิมๆ แต่กระจายฟ้องในหลายหัวเมืองทั่วประเทศ รวม 99 คดี โดยมีเจตนาให้ศิลปินวัยย่าง 90 ต้องเดินทางไป ให้การต่อศาลอยู่เป็นระยะ ทุกครั้งที่ภาพเขียนของเขาเป็นกรณีขึ้นมา ฮูเซนจะกล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการ และเสนอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตัดสิน หากคำตัดสิน ว่าภาพเขียนของเขาเป็นการอนาจาร ตนก็ยินดีทำลายทิ้งเสีย กระนั้นไม่มีใครฟังเสียง กระแสความเกลียดชังยังลุกลามถึงขั้นมีคนตั้งค่าหัวฮูเซนไว้ถึง 101 โครรูปี (หนึ่งโครเท่ากับสิบล้าน) อีกรายยินดีจ่ายสินจ้างเป็นทองคำหนักหนึ่งกิโลกรัม หากผู้ใดสามารถควักลูกตาและตัดหัวแม่โป้งขวาของฮูเซนมาได้
ในปี 2006 ฮูเซนตัดสินใจลี้ภัยตัวเองและครอบ ครัวไปอยู่ประเทศควาตาร์ ทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์สื่อเขาไม่เคยแสดงความเคืองแค้นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตน เขามักกล่าวว่า อินเดียเป็นประเทศประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเห็นต่าง เพียงแต่จะดีกว่านี้หากความเห็นต่าง จะเป็นเรื่องที่นำมาถกอภิปราย แทนที่จะกลายเป็นเหตุแห่งความรุนแรง
“กว่าห้าพันปี งานการของเราศิลปินก้าวย่างมาพร้อมกับพลังขับเคลื่อนอื่นๆ ในสังคม นี่เป็นเพียงแค่ก้าวสะดุดเล็กๆ ผมหวังว่าไม่ช้าคนรุ่นใหม่จะเบื่อหน่าย ความคิดสุดโต่งทั้งหลาย และอะไรๆ ก็จะเปลี่ยนไป ผมไม่อยากทิ้งแผ่นดินเกิด และก็ไม่ต้องการให้คนหัวเก่า เหล่านั้นถูกผลักไสจากสังคม อย่างไรเสียเราก็เป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน”
แต่เมื่อไม่มีวี่แววว่าฝ่ายฮินดูขวาจัดคิดจะถอนฟ้องคดีความเหล่านั้น และไม่มีผู้นำทางการเมืองฝ่ายใด คิดเข้ามาไกล่เกลี่ย ในปี 2010 มัคบูล ฟีดา ฮูเซนมอบ หนังสือเดินทางของตนคืนแก่สถานทูตอินเดียในเมืองโดฮา ยอมรับสถานภาพผู้ลี้ภัยสากล เป็นสัญญาณบอก เลิกสัญชาติอินเดียและถอดใจที่จะมีโอกาสกลับไปเหยียบแผ่นดินเกิด
แม้ว่าควาตาร์จะยินดีมอบสัญชาติควาตารีแก่เขาโดยทันที และฮูเซนเองก็มีชีวิตสุขสบายมั่งคั่ง เขายังเขียนภาพและทำโครงการศิลปะใหญ่ๆ อยู่ไม่ว่างเว้น แต่ในใจลึกๆ ทุกคนรู้ดีว่าตราบจนวันที่เขาจากไป ฮูเซนรักและอยากกลับอินเดีย แผ่นดินที่เขาถือเป็นบ้าน
|
|
|
|
|