Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2529
ระวัง! เล่นทองรู้หรือไม่ราคาขึ้น-ลงอย่างไร             
โดย นพ นรนารถ
 


   
search resources

Jewelry and Gold




ตลาดทองคำเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกหน เมื่อระดับราคาทองคำขยับขึ้นตลอดตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา นักลงทุนหลายรายที่เบื่อหน่ายภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ จนมองไม่เห็นหนทางทำกำไร ผู้ฝากเงินที่เอือมระอาต่อการลดลงอย่างฮวบฮามของดอกเบี้ยเงินฝาก และนักเก็งกำไรผู้หวังผลจากการเสี่ยงบุคคลเหล่านี้ต่างหันมาเล่นทองเก็งกำไรกัน โดยเล็งผลเลิศที่จะได้รับหากราคาของมันยังขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ...แต่โปรดระวัง เพราะ....?

ตลาดทองของบ้านเรามีขนาดไม่ใหญ่นัก เนื่องจากรัฐบาลออกกฎหมายควบคุมห้ามไม่ให้นำเข้าหรือส่งออกโดยเสรีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 ในสมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เหตุผลนั้นอยู่ที่ว่า ทองคำเป็นสินค้าที่ใช้แทนเงินได้ง่ายเหมาะสำหรับการเก็งกำไร หากปล่อยให้เคลื่อนย้ายเสรีรัฐบาลเกรงว่าจะควบคุมลำบาก โดยเฉพาะถ้าหากคนเอาไปใช้ในรูปของการเก็งกำไรกันมาก ๆ จะส่งผลกระทบการะเทือนต่อเศรษฐกิจของประเทศได้ และเรื่องนี้ยังเชื่อมโยงไปถึงทุนสำรองระหว่างประเทศ เพราะการสั่งทองคำจากต่างประเทศเข้ามาจะต้องจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศในเมื่อรัฐบาลไม่ต้องการให้มีการเคลื่อนย้ายทุนโดยเสรี และสินค้าตัวนี้ก็ไม่ใช่สินค้าจำเป็นสำหรับชีวิต การตัดไฟแต่ต้นลมจึงเป็นมาตรการที่รัฐบาลต้องงัดออกมาใช้

เมื่อถูกควบคุม ราคาทองคำในบ้านเราจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพอสมควร ถึงแม้จะอิงราคาจากตลาดต่างประเทศบ้าง แต่ก็ไม่ตามเขาไปเสียทั้งหมดทีเดียว ยังขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทานในประเทศเป็นหลัก ช่วงไหนที่ราคาทองคำต่ำลงมาก ๆ คนก็จะแห่มาซื้อทองเก็บเอาไว้ ช่วงนั้นราคาทองในบ้านเราก็อาจจะขยับสูงกว่าต่างประเทศ หรือถ้าราคาพุ่งสูงขึ้นไปมีคนนำทองออกมาขายมาก ราคาทองคำในประเทศก็อาจจะต่ำกว่าต่างประเทศได้

"ทองในเมืองไทยมันก็หมุนเวียนเพราะห้ามนำเข้าและห้ามส่งออก ช่วงไหนราคาทองคำขึ้น ชาวบ้านที่เขาเคยซื้อทองรูปพรรณไปตอนที่ราคาทองต่ำก็จะนำมาขายคืน เพื่อเอากำไร ร้านทองก็นำมาสกัดใหม่หลอมเป็นทองแท่งออกมาขาย มันก็หมุนเวียนแปรสภาพไป ๆ มา ๆ ราคาทองคำในบ้านเราก็จะขึ้นลงช้ากว่าของต่างประเทศ ไม่หวือหวา ซื้อเข้า-ขายออก ราคาจะห่างกันถึง 100 บาท ไม่เหมือนกับตลาดฮ่องกงที่ราคาห่างกันนิดเดียว" จิตติ ตั้งสิทธิภักดี ผู้จัดการร้านทองจินฮั้วเฮง อุปนายกสมาคมค้าทองคำบอกกับ "ผู้จัดการ"

ผู้อยู่เบื้องหลังการกำหนดราคาซื้อขายทองคำของบ้านเรานั้นเป็นร้านทองใหญ่ ๆ เพียงไม่กี่ร้านย่านเยาวราชที่จับกลุ่มกันตั้งเป็นสมาคมขึ้นมา มีชื่อว่า สมาคมค้าทองคำปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 7 ร้าน ด้วยกันคือ ฮั่วเซ่งเฮง, โต๊ะกังเยาวราช, เล่งหงษ์, ยู่หลงกิ่มกี่, บ้วนฮั่วล้ง, จินฮั้วเฮง และเลี่ยงเซ่งเฮง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นร้านทองระดับ "บิ๊ก" ที่คุมตลาดได้สนิท สมาคมนี้จะตั้งกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง แต่ละวันกรรมการชุดนี้จะโทรศัพท์ติดต่อกันแล้วกำหนดราคาซื้อขายทองคำออกมาว่า วันนี้ราคาควรจะเป็นเท่าไหร่หลังจากที่ดูเทเล็กซ์ราคาจากต่างประเทศพร้อมทั้งดูความเคลื่อนไหวของตลาดภายในแล้ว ราคาที่กำหนดออกมาร้านทองทุกร้านต้องยอมรับที่จะซื้อขายตามนั้น

ร้านทองจึงได้เปรียบลูกค้าอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นผู้กำหนดราคาเอง ถึงยังไงก็ต้องกำหนดราคาออกมาในลักษณะที่ตนรับทรัพย์ทั้งขึ้นทั้งล่อง สิ่งที่น่าคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ร้านทองรายเล็กรายน้อยทั้งหลายที่กระจัดการจายอยู่ทั่วประเทศ ไม่มีส่วนในการกำหนดราคาด้วยเลย จะผูกขาดอยู่เฉพาะร้านทองที่อยู่ในสมาคมค้าทองคำเท่านั้น และการจะเข้าไปเป็นสมาชิกในสมาคมนี้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ เนื่องจากมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ปฏิบัติได้ยาก

เรื่องนี้ผู้จัดการร้านทองคนหนึ่งในกลุ่มสมาคมฯ อ้างกับ "ผู้จัดการ" ว่า ร้านทองเล็กๆ นั้นเปอร์เซ็นต์ทองต่ำไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งสมาคมผู้ค้าทองเข้มงวดมากในเรื่องนี้ ถ้าซื้อทองของร้านในสมาคมแล้วมีเครื่องหมายรับรองจะขายคืนให้ร้านไหนก็ได้ที่อยู่ในสมาคมโดยได้ราคาตามที่กำหนด แต่หากไปขายคืนให้ร้านเล็กอาจจะถูกกดราคาให้ต่ำลงกว่าที่ควรจะได้รับ ซึ่งสิ่งนี้เป็นการลำบากมากที่จะรับสมาชิกเข้ามา แต่ถ้าหากร้านทองอื่นๆ สามารถรักษาเปอร์เซ็นต์ของทองได้มาตรฐาน ทางสมาคมก็สามารถพิจารณารับเป็นสมาชิกได้

ฟังดูแล้วก็แปลกไม่น้อย ร้านทองในประเทศไทยมีจำนวนนับพัน ๆ แห่ง จะมีเพียงแค่ 7 ร้านใหญ่ย่านเยาวราชเท่านั้นหรือที่สามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสมาคมได้ส่วนร้านเล็กร้านน้อยที่กระจัดกระจายเป็นข้าวนอกนานั้นไม่มีความสามารถจริง ๆ หรือจะมีเงื่อนไขอื่นอีกที่ลึกล้ำไปกว่านี้ จนร้านทองนอกสมาคมหมดหนทางเข้ามาก็ยากที่จะเดาได้

จิตติ ตั้งสิทธิภักดี อธิบายถึงการกำหนดราคาทองคำว่า "เวลานั้นสมาคมค้าทองคำเขามอบหมายหน้าที่ในการกำหนดราคาให้ผมกับฮั่วเซ่งเฮง คือ คุณปราโมทย์ พสวงศ์ ที่เป็นนายกของสมาคมค้าทองคำส่วนมากเช้า ๆ เราจะติดตามราคาตลาดต่างประเทศว่ามันขึ้นลงยังไง แล้วเราก็ปรับตัว ราคาที่เปิดออกมาต้องผ่านการพิจารณาว่ายุติธรรม ให้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการซื้อขายกัน จะถูกเกินไปหรือแพงเกินไปไม่ได้ต้องให้พอดี ๆ หากราคาเคลื่อนไหวมากก็ต้องเปลี่ยนแปลงทุกวัน หรือบางครั้งครึ่งวันก็เปลี่ยน"

"การกำหนดราคามันต้องยุติธรรมเหมือนกัน เราตั้งราคาขึ้นมามีทั้งซื้อเข้าขายออก ถ้าตั้งราคาขายสูง ราคารับซื้อก็ต้องสูงตามไปด้วย ไม่ใช่ขายอย่างเดียว การตั้งราคาก็ต้องให้มีการหมุนเวียน สมมุติว่าเราขายทองออกไปมาก เมื่อขายดีมันก็ต้องขายดีเหมือนกันทุกร้าน อาจจะมากน้อยกว่ากันนิดหน่อย เมื่อทองขายดีขาดตลาด เราก็ต้องตั้งราคาให้มันสูงขึ้นมา เมื่อราคาสูงคนก็มาขายคืน มันก็ออโตเมติก เพื่อให้เกิดการสมดุล เราต้องควบคุมสต็อคให้คงที่ ถ้าวันนี้ขายออกไป 10 บาทให้ได้ หรือว่าเรารับซื้อเข้ามา 10 บาท เราต้องระบายออกไป 10 บาทให้ได้"

ส่วนเรื่องที่ร้านทองเล็ก ๆ ต้องยึดถือเอาราคาซื้อขายทองตามที่สมาคมค้าทองคำกำหนดนั้น กรรมการคนหนึ่งของสมาคมชี้แจงว่า ร้านเล็กต้องปฏิบัติตามโดยปริยายเพราะร้านเล็กต้องปฏิบัติตามโดยปริยายเพราะร้านเล็กต้องไปซื้อทองจากร้านขายส่งหรือโรงงานมาอีกทีหนึ่ง ซึ่งราคาทองคำนั้นมีมาตรฐานตายตัวอยู่แล้ว โดยที่มาตรฐานนั้นก็อิงราคาสมาคมอีกต่อหนึ่ง

ถึงตลาดทองคำบ้านเราจะมีลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างจากบ้านอื่นเมืองอื่นเขา แต่ก็ต้องเคลื่อนไหวตามตลาดต่างประเทศอยู่ดีโดยเฉพาะตลาดทองของฮ่องกงที่เราต้องอิงราคาที่นั่น เนื่องจากเวลาไล่เลี่ยกัน ถ้าตลาดต่างประเทศคึกคักเราก็คึกคักตามเขาไปด้วย ถ้าเขาซบเซาของเราก็ซบเซาตามไปด้วยเช่นกัน แต่ดีกรีนั้นอาจจะเข้มกว่าบ้างหรือไม่ก็อ่อนกว่าบ้าง ตามอุปสงค์-อุปทานภายใน

ความซบเซาเข้ามาเยือนตลาดทองคำติดต่อกันมา 2 ปีกว่าแล้ว เนื่องจากความแข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ของเงินดอลล่าร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่น ทำให้บรรดานักเก็งกำไรหันไปนิยมถือเงินดอลล่าร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับเงินตราสกุลอื่น ทำให้บรรดานักเก็งกำไรหันไปนิยมถือเงินดอลล่าร์มากขึ้น เพราะให้ผลตอบแทนในอัตราที่แน่นอนกว่า ส่งผลกระทบให้การซื้อขายทองคำในตลาดโลกลดน้อยลง ขณะเดียวกับอัตราเงินเฟ้อของโลกอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ ทำให้หมดความจำเป็นที่จะถือทองเพื่อคุ้มความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ ประกอบกับบรรดากลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันซึ่งเคยเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ของโลก เริ่มลดการซื้อทองคำลงเนื่องจากราคาน้ำมันตกตรงกันข้ามกลับนำทองคำออกขายประดังกับประเทศผู้ผลิตทองคำที่ทุ่มเทผลิตทองคำป้อนตลาดจน OVER SUPPLY

ต่อมาแม้ว่าค่าของเงินดอลล่าร์ได้เริ่มตกต่ำลง อันมีผลเนื่องมาจากธนาคารของประเทศต่าง ๆ ได้ทุ่มขายเงินดอลล่าร์ ตามข้อตกลงของประเทศอุตสาหกรรมสำคัญ 5 ประเทศ (G-5) ได้แก่ สหรัฐฯ เยอรมันตะวันตก ญี่ปุ่น อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่ประกาศเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ว่า ไม่ต้องการให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ สูงขึ้นไปเกินควร มีการเข้าแทรกแซงตลาดการเงินเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายนเป็นต้นมา แต่ราคาของทองคำก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นสาเหตุนั้นสันนิษฐานกันว่า อาจจะเป็นเพราะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มอ่อนตัวลงตลอด ช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้อของโลกลดต่ำลงไปอีก ความต้องการที่จะถือทองคำเพื่อเป็นหลักประกันเงินเฟ้อจึงไม่มีความจำเป็น ตลาดทองคำจึงเงียบเหงาเหมือนเช่นเคย

ราคาทองคำเริ่มพุ่งพรวดขึ้นมาอีกครั้งในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีราคาเกินเอานซ์ละ 400 ดอลล่าร์สหรัฐฯ นับเป็นราคาสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในประเทศไทยก็พุ่งขึ้นจากบาทละ 4,950 บาท เป็นบาทละ 5,000 บาท เมื่อวันที่ 6 กันยายน เป็นการปรับราคาขึ้นไปตามตลาดต่างประเทศ ถัดจากนั้นเป็นต้นมาราคาทองก็เริ่มขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงบาทละ 5,300 บาทเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม เหตุการณ์นี้ทำให้นักเก็งกำไรทั้งหลายหันมาจับตามองความเคลื่อนไหวของราคาทองคำกันเป็นแถวเพราะคาดการณ์ว่า หากราคาทองยังกระเตื้องขึ้นไปเช่นนี้อีก ถ้าหันมาเก็บทองคำไว้น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนชนิดอื่น ตลาดทองคำจึงโชติช่วงขึ้นมาอีกหน

การลงทุนในทองคำหรือเรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า "เล่นทอง" นั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน แบบแรกเป็นการซื้อขายทองคำที่ทำในตลาดซื้อขายสินค้าล่วงหน้าหรือเรียกว่า "เล่นตั๋วทอง" ตลาดใหญ่ของตั๋วทองอยู่ในตลาดนิวยอร์คและฮ่องกง เป็นการซื้อขายกันแต่เพียงตัวเลขบนแผ่นกระดาษ ไม่มีทองคำจริง ๆ การซื้อขายทองคำแบบนี้ผิดกฎหมายสำหรับประเทศไทย แต่ก็ยังมีคนลักลอบเล่นกันอยู่จำนวนไม่น้อย

"การเล่นตั๋วทองในเมืองไทยนั้นไม่เป็นที่เปิดเผยและไม่เป็นที่รับรองกัน คนที่เล่นจะอาศัยความไว้วางใจซึ่งกันและกันเป็นลักษณะของการพนัน คิดว่าจริงแล้วไม่ควรเล่นเพราะมันเสี่ยงมาก วันหนึ่งราคามันขึ้นลงเยอะ ต่างประเทศเขาเล่นกันอย่างต่ำต้อง 1 ตั๋วเท่ากับ 100 ตำลึง มีประวัติสูงสุดของราคาขึ้นลงในคืนหนึ่งประมาณ 4 แสนบาท หมายความว่า กำไรก็ 4 แสนบาทขาดทุนก็ 4 แสนบาท จะเห็นได้ว่ามันเสี่ยงมากจนเกินไป ในเมืองไทยข่าวสารของเราได้รับช้ากว่าของเขา บางทีช้าเป็นวัน บางครั้งราคาทองมันเปลี่ยนตอนกลางคืน ขณะที่เรายังหลับอยู่ ฉะนั้นโอกาสที่เสียเปรียบจึงมีเยอะ" จิตติ ตั้งสิทธิภักดี เล่าให้ฟัง

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังคนหนึ่งเผยให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า ปัจจุบันมีบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับทองคำพยายามมาขออนุญาตจากกระทรวงการคลัง เพื่อตั้งบริษัทประกอบธุรกิจซื้อขายทองคำล่วงหน้าแต่เลี่ยงคำว่าซื้อขายล่วงหน้า โดยออกตัวเป็นว่าตั้งเป็นบริษัทรับฝากทอง แล้วบริษัทนั้นจะเอาทองนั้นไปลงทุนอีกทีหนึ่ง โดยอาจจะให้กู้ยืมหรืออะไรก็แล้วแต่ คล้ายกับการประกอบธุรกิจของบริษัทของการเงินอย่างหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่

"ผมเข้าใจว่า ร้านทองแถวเยาวราชจะต้องมีการซื้อขายตั๋วทอง เพียงแต่ไม่แพร่หลาย เพราะงั้นเขาคงไม่มาขออนุญาตตั้งให้ถูกกฎหมาย แสดงว่าธุรกิจเหล่านี้มีอยู่แล้วเขาอยากจะขยับขยายตัวให้กว้างออกไปแต่ผมคิดว่ารัฐบาลคงไม่อนุญาต เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินของเราก็มีมากจนควบคุมลำบากอยู่แล้ว" แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังกล่าว

การที่รัฐบาลออกกฎหมายห้ามซื้อขายตั๋วทองนั้น เพื่อป้องกันประชาชนไม่ให้ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากไม่ทราบว่าผู้ประกอบการจะมีความจริงใจในการดำเนินการแค่ไหน ซึ่งอาจจะเกิดการคดโกงกันขึ้นมาได้ อีกทางหนึ่งเป็นการป้องกันการเกิดเงินนอกจากระบบขึ้นมาด้วย

ส่วนการเล่นทองแบบที่สอง เป็นการซื้อขายทองคำที่มีตัวตนจริง ๆ ไม่เป็นเพียงตัวเลขบนแผ่นกระดาษเหมือนกับแบบแรกช่วงที่ราคาทองคำเริ่มกระเตื้องขึ้นมา มีนักเก็งกำไรของไทยจำนวนไม่น้อยที่หันไปซื้อทองคำแท่งเก็บไว้ โดยหวังว่าถ้าราคาถีบสูงขึ้นไปกว่านี้อีก ก็จะนำออกมาขายเอากำไรความเสี่ยงก็มีน้อยกว่าเล่นตั๋วทอง ถึงราคาทองจะตกลงมา อาจจะขาดทุนแต่ก็ไม่ถึงกับหมดตัว เพราะยังมีทองคำจริง ๆ อยู่ในมือ แต่ขึ้นชื่อว่าการเล่นแล้วก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมีเสี่ยง ในขณะที่ทุกคนเชื่อว่าราคาทองคำจะสูงขึ้นไปนั้นไม่มีใครรู้ว่าจุดที่มันจะขึ้นไปสูงที่สุดนั้นอยู่ตรงไหน ทุกคนเพียงแต่คาดการณ์ ถ้หากใครคาดการณ์ผิดไปซื้อเก็บเอาไว้เมื่อราคามันขึ้นไปถึงจุดสุงสุดแล้ว หากไม่รีบขายก็ต้องขาดทุน เพราะราคาทองนั้นมีขึ้นแล้วก็มีลง ไม่มีการอยู่นิ่ง ๆ หรือเอาแต่ขึ้นไม่มีหยุด หรือว่าลงแล้วไม่มีหยุด สิ่งเหล่านี้ในประวัติศาสตร์ไม่เคยปรากฏว่ามี

แต่วิธีจะเล่นให้เสี่ยงน้อยนั้นยังมีอยู่ จิตติ ตั้งสิทธิภักดี แนะว่า การเล่นทองคำนั้นต้องลองเอาไปเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากดู เช่น ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำและทองคำยังมีแนวโน้มที่จะมีราคาสูงขึ้นไปอีก ช่วงนี้จึงน่าเล่น แต่ต้องคำนวณดูว่าระยะเวลาที่ซื้อทองเก็บไว้นั้น ถ้าเทียบกับการนำเงินไปฝากอย่างไหนจะให้ผลตอบแทนมากกว่ากัน

"วิธีที่จะทำให้ได้กำไรแน่นอนคงไม่มีเพราะถ้ามีคนคงไม่ทำมาหากินกันแล้ว คงหันมาเล่นทองกันอย่างเดียว ถ้าหากเราซื้อมาแล้วแนวโน้มราคาจะลง เราคาดว่าขาดทุนขาดทุนก็ต้องยอมขาย ถ้าเห็นว่าแนวโน้มมีโอกาสขึ้นทำให้กำไร ก็ควรขายเหมือนกันแล้วคอยดูช่วงที่ราคาต่ำลงมาจึงซื้อกลับเข้าไปใหม่ ต้องมีการหมุนเวียน อย่างเก็บเอาไว้เฉย ๆ ต้องมีการซื้อเข้าขายออกถึงจะมีกำไร"

"อย่างบางคนเก็บเอาไว้เฉย ๆ ตั้งหลายปี เช่น ช่วง 6 ปีก่อนตอนนั้นราคาทองแพงบาทหนึ่ง 5,000-6,000 กว่า แต่เมื่อซื้อแล้วราคาทองเกิดตกลงมาต่ำสุดเหลือบาทละ 3,000 กว่า ตอนนั้นเขาซื้อแล้วขาดทุนก็เก็บเอาไว้ไม่ยอมขาย บอกว่าจะรอจนกว่าราคาขึ้นถึงบาทละ 6,000-7,000 ก็เลยขาดทุนมาตลอด ระยะเวลาที่เก็บมา 6 ปีถ้าคิดเป็นดอกเบี้ยทบต้น เงินฝาก 5,000 บาทก็ตกไป 10,000 กว่า เพราะฉะนั้นพวกที่เก็บเอาไว้แบบนี้ขาดทุน อันนี้เป็นวิธีที่ผิด โอ.เค. ทองคำมีโอกาสขึ้นราคา แต่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่นั้นไม่มีใครทราบ"

จะอย่างไรก็ตามแต่คนที่จะเล่นทองนั้นจะต้องมีความรู้เรื่องทองคำดีพอสมควรต้องติดตามข่าวสารการเคลื่อนไหวอยู่เสมอถึงจะเสี่ยงน้อย ประเภทที่เห็นเขาเฮไปทางไหนก็เฮตามนั้นเจ๊งมานักต่อนักแล้ว แทนที่จะเอาเงินฝากธนาคารกินดอกเบี้ยร้อยละ 7 กว่า ๆ แบบสบาย ๆ เกิดใจร้อนอยากให้เงินมันโตเร็ว ๆ แล้วหันมาเล่นทองคำ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกำไร เผลอ ๆ อาจเข้าเนื้อกระเป๋าหดก็เป็นได้ ระวังกันไว้บ้างก็แล้วกันอย่าลืมว่าจะเล่นยังไงก็ต้องเสียเปรียบร้านทองวันยังค่ำ เพราะเขาเป็นผู้กำหนดราคาช่วงห่างระหว่างราคาซื้อเข้าขายออกออกอย่างน้อยก็ 100 บาท ให้ร้านทองกำไรไปอยู่แล้ว

สิ่งที่คำนึงถึงอีกอย่างก็คือว่า การเอาเงินไปซื้อทองเพื่อเก็งกำไรนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ เพราะไม่ได้เป็นการสร้างงานหรือสร้างสินค้าขึ้นมาใหม่ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนหนึ่ง กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าคนหันมาเล่นทองนี่เป็นสิ่งบอกเหตุอย่างหนึ่งว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังแย่ คนไม่มีความมั่นใจในการลงทุน ไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำมาค้าขายอะไร เลยหันมาพึ่งทองโดยหวังว่าถ้าซื้อเก็บไว้แล้ว ราคาของมันจะสูงขึ้นไปอีก

นักวิชาการระดับสูงอีกคนของแบงก์ชาติพูดว่า "ต่างประเทศนั้นเขาหันมาเล่นทองคำ เพราะขาดความเชื่อมั่นในค่าของเงินแต่คนไทยนั้นเล่นเพราะนิสัยนักพนัน ไม่เกี่ยวกับความเชื่อมันในค่าของเงินแต่อย่างใด"

ก็ลองถามตัวเองดูก่อนก็แล้วกันว่า รู้ตื้นลึกหนาบางของกลไกการขึ้น-ลงของราคาทองบ้านเรามากน้อยแค่ไหน

ซึ่งในที่สุดก็อาจจะพบข้อเท็จจริงว่ามันไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรชัดเจนเลย แต่ก็อยากเล่นอยู่ดี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us