เคยมีคนปรามาสว่าพ่อค้าไทยไม่สามารถรวมกลุ่มดำเนินธุรกิจได้โดยเฉพาะวงการค้าส่งออกพืชไร่
ความเชื่อเช่นนี้นับวันจะพิสูจน์ว่าเป็นจริงขึ้นทุกขณะ ท่ามกลางความพยายามในการรวมตัวกันของพ่อค้าหลายครั้งหลายครา
ยูเรเชี่ยน-แคริเออร์รายแรกของวงการส่งผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เป็นตำนานหนึ่งซึ่งตอกย้ำคำปรามาสข้างต้น!
ปมของเรื่องเกิดขึ้นกลางเดือนมิถุนายน 2529 เมื่อบริษัทนารายณ์ชิปปิ้งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องบริษัทมหาทุนการพัฒนา
(ยูเรเชี่ยน) ต่อศาลแพ่งในข้อหาผิดสัญญาว่าจ้างขนส่งสินค้าเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน
25,949,514.49 บาท
นารายณ์ชิปปิ้งอ้างว่าเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2526 ยูเรเชี่ยนได้ตกลงว่าจ้างตนทำการขนถ่ายสินค้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังโดยใช้เครื่องทุ่นแรง
ทำการขนส่งจากเรือลำเลียง (LIGHTER) ไปบรรทุกเรือเดินสมุทรที่บริเวณเกาะสีชังหรือบริเวณใกล้เคียง
โดยมีข้อตกลงว่าจะมีสินค้าให้นารายณ์ชิปปิ้งทำการขนถ่ายไม่น้อยกว่าปีละ 6
แสนตันหากมีสินค้าน้อยกว่าข้อตกลง ยูเรเชี่ยนยินดีจะชำระเงินชดเชยให้ครบตามอัตราที่กำหนดไว้
แล้วก็ปรากฏว่ายูเรเชี่ยนมีสินค้าส่งผ่านนารายณ์ชิปปิ้งน้อยกว่าข้อตกลงเสมอ
นารายณ์ชิปปิ้งรอมา 4 ปีเต็ม ๆ รอให้ยูเรเชี่ยนจ่ายเงินชดเชยส่วนนั้น ในที่สุดได้ตัดสินใจฟ้องร้องเมื่อสัญญาว่าจ้างสิ้นสุดลงและจะหมดอายุความ
มองกันอย่างผิวเผินก็แค่คดีแพ่งธรรมด าๆ คดีหนึ่ง พิจารณาตามตัวบทกฎหมายก็ต้องว่ากันไป
แต่ทว่า...สำหรับคนในวงการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังแล้ว ล้วนมองเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าไม่ธรรมดา
ทั้งเชื่อกันว่ามีเบื้องหลังอีกมาก!!!
หากฟังคนของยูเรเชี่ยน (ปัจจุบัน) กับนารายณ์ชิปปิ้งคนละทีถึงข้อขัดแย้งนี้ก็ต้องนับคะแนนกันไม่ทันทีเดียว
ส่วนมืออาชีพด้านบริหารธุรกิจก็น่าจะศึกษาเรื่องนี้เป็นบทเรียนที่มีค่าซึ่งย่อมจะหาไม่ได้ใน
CASE STUDY ของ HARVARD หรือแม้กระทั่งธรรมศาสตร์-จุฬาฯ เพราะหากสาวลึกลงไปจะพบ
"จุดอับ" บางจุดของธุรกิจทั้งระบบอันอยู่ภายใต้การบริหารแบบ "เถ้าแก่"
หรือ THAI-CHINESE STYLE ที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเทศเสียด้วย!
สมัยนั้น บุญชู โรจนเสถียร เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ และตามใจ ขำภโต
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แท้ที่จริงตามใจก็คือคนที่พลิกผันวงการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปยังประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
(อีอีซี) และหลังจากนั้นวงการนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยสงบก่อตัวเป็นคลื่นใหญ่ลูกแล้วลูกเล่าตราบเท่าทุกวันนี้
ปลายเดือนตุลาคม 2523 ตามใจ ขำภโต ได้ลงนามข้อตกลงกับฟินน์ โอลาฟ กุนเดอร์ลาซ
ผู้แทนอีอีซี (ขณะนั้น) กำหนดโควต้าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังครั้งแรกระยะสัญญา
6 ปี โดยกำหนดว่าช่วงแรกปี 2524-2525 ส่งออกปีละ 5 ล้านตันยืดหยุ่น 10% ช่วงที่สอง
(2526-2557) ปีละไม่เกิน 4.5 ล้านตัน ส่วนช่วง 2 ปีสุดท้ายตอนนั้นยังไม่ได้กำหนดกัน
ความจำเป็นที่ ตามใจ ยกขึ้นมาอ้างอย่างมีเหตุผลก็คือตามข้อตกลงใหม่นี้
อีอีซี. จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพียง 6% ในขณะที่กำหนดเก็บจากประเทศอื่นๆ
30%
ก่อนหน้านี้ผู้ส่งออกไทยแท้ที่จริงก็คือพ่อค้าขายส่งธรรมดา โดยต้องส่งผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้กับสาขาบริษัทต่างชาติซึ่งเข้ามาดำเนินการค้ามันสำปะหลังแทบทั้งสิ้น
ไม่ได้เป็นการขายโดยตรงถึงผู้ใช้บริษัทต่างชาติผูกขาดทำหน้าที่ โดยนำเรือเข้ามารับสินค้าขนส่งไปยัง
อีอีซี. สุรพล อัศวโยธิน ผู้คลุกคลีวงการค้ามันสำปะหลังเป็นปีที่ 31 ในปีนี้กล่าวว่าควรจะเรียกฝรั่งพวกนี้ว่า
"BUYER" แทนที่จะเรียก "CARRIER" ซึ่งหมายถึงบริษัทเรือเท่านั้นอย่างไรก็ตามคำว่า
CARRIER ก็ถูกเรียกติดปากกันมาจนหนังสือพิมพ์เรียกตามไปด้วย
บริษัทต่างชาติสำคัญในขณะนั้นมี 4 ราย ได้แก่ปีเตอร์เครมเมอร์, คาร์กิลล์,โครห์นและท็อฟเฟอร์
จากสภาพแคริเออร์ ฝรั่งควบคุมแทบจะครบวงจรในธุรกิจค้าน้ำมันสำปะหลัง อำนาจต่อรองจึงสูงอย่างยิ่ง
ผู้ส่งออกไทยต้องวิ่งหา หลายต่อหลายครั้งต้อง "เจ็บปวด" อย่างมาก
ๆ เมื่อล่วงรู้ว่าราคาผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ขายผ่านบริษัทเหล่านี้ เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว
กำไรมันช่างมากมายเสียเหลือเกิน!
"การรวมตัวของเราไม่ใช่กำจัดแคริเออร์ฝรั่ง หรือไม่ใช่รวมตัวกันมาต่อสู้กับเขาเพียงแต่เราก็เป็นผู้หนึ่งที่เป็นแคริเออร์ที่ค้าโดยตรง
ยิ่งมื่อมีระบบโควต้าอำนาจต่อรองของฝรั่งยิ่งมากขึ้น" สุรพล อัศวโยธินกรรมการผู้จัดการบริษัทวรพลพาณิชย์ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทยท้าวความถึงความจำเป็นของการรวมตัวอย่างเร่งรีบของ
23 บริษัทตั้ง "ตัวแทน" ของตนเองขึ้นภายใต้ชื่อว่าบริษัทมหาทุนการพัฒนา
(ยูเรเชี่ยน)
ยูเรเชี่ยนมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ถือหุ้นโดยบริษัท 23 แห่งเฉลี่ยตามสัดส่วนโควต้าส่งออกมันสำปะหลัง
(คำนวณจากประวัติส่งออกย้อนหลัง 3 ปี) และผู้ถือหุ้นทุกรายจะต้องทำสัญญาขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้กับยูเรเชี่ยนเท่านั้น
ในระยะแรกยูเรเชี่ยนก็ต้องส่งสินค้าผ่านแคริเออร์ฝรั่งอยู่ดี
"พูดแล้วคุณจะไม่เชื่อ เรารวมกันภายในสัปดาห์เดียว ฝรั่งตกใจ ไม่มีใครรู้มาก่อนเหมือนสายฟ้าแลบจริง
ๆ ภายในสัปดาห์เดียวฝรั่งหาซื้อมันไม่ได้ เพราะทุกคนบอกว่าต้องซื้อกับยูเรเชี่ยน...เพราะผลประโยชน์ตรงกัน
ความเห็นก็เลยตรงกันไปหมด" สุรพล สาธยายเป็นสีสันถึงจุดเริ่มต้นของยูเรเชี่ยนให้
"ผู้จัดการ" ฟัง
ด้านการเงินนั้นไม่มีปัญหา เมื่อบุญชู โรจนเสถียร รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจสนับสนุน
ซึ่งเคยเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารแห่งนี้จึงออกโรงหนุนเต็มที่
ที่ยุโรป สุรพล อัศวศิรโยธิน ประธานยูเรเชี่ยน (ปี 2523-2529) เล่าว่าได้
AM-ROT BANK ก็สนับสนุนอีกแรงหนึ่ง
"คุณพชร อิศรเสนาฯ อธิบดรกรมการค้าต่างประเทศในเวลานั้นสนับสนุนเรามาก
เพราะความคิดของท่านพยายามจะให้พ่อค้าลดการแข่งขัน พ่อค้าเลิกตัดราคากันเองเสี่ยงขายต่างประเทศ"
สุรพล ยอมรับ
23 บริษัทรวมตัวกัน รวมโควต้าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ได้รับจัดสรรสูงถึง
61.28% ย่อมเป็นพลังที่มองข้ามไม่ได้
เมื่อข่าวการรวมตัวออกไปเพียง 2-3 วันราคาส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ยืนนิ่งอยู่นานได้เขยิบปรู๊ดปร๊าดตันละกว่า
5 เหรียญสหรัฐ
"มันเป็นปรากฏการณ์ในช่วงแรกที่พวกฝรั่งตั้งตัวไม่ติดเท่านั้น"
คนในวงการสรุป
ก็เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ เมื่อแคริเออร์ฝรั่งตั้งหลักได้ ก็เริ่มเปิดศึกเผชิญหน้า
และประลองกำลังครั้งใหญ่ ซึ่งกลุ่มผู้ส่งออกไทย 23 รายได้ผลสรุปในกาลต่อมาว่าแคริเออร์ฝรั่งนั้นดูเบาไม่ได้เด็ดขาด
หลังจากนั้นเพียงสัปดาห์เศษ ๆ แคริเออร์ฝรั่งประกาศไม่ซื้อมันสำปะหลัง
อ้างว่าไม่มีเรือเข้ามารับในช่วงนั้น ราคาภายในประเทศเริ่มตกต่ำอย่างรวดเร็ว
"วิธีการนี้ทำให้บรรดาโรงงานผลิตภัณฑ์มัน พ่อค้าในต่างจังหวัดไม่พอใจและร้องขึ้นมา
ซึ่งปะทุออกมาในรูปของการโจมตีกลุ่มยูเรเชี่ยนว่ากดราคารับซื้อ ทำลายกลไกตลาดเสรี"
ผู้รู้คนหนึ่งกล่าวซึ่งตรงกับความเห็นของสุรพล อัศวศิรโยธิน ซึ่งเชื่อว่าผู้อยู่เบื้องหลังแผนดังกล่าวคือแคริเออร์ฝรั่งนั่นเอง
เป้าหมายไม่ได้ยุติที่ยูเรเชี่ยนเท่านั้น หากต้องการให้มีการประกาศยกเลิกระบบโควต้าในที่สุด
แรงกดดันทั้งหลายทั้งปวงกระหน่ำหนักหน่วง ปะทุออกมาหลายทาง ทุกรูปแบบ ทั้งโรงงานผลิตพ่อค้าท้องถิ่นประท้วงกันเป็นระลอก
จนมาถึงนักการเมืองแม้แต่รัฐมนตรีกระทรวงเดียวกันก็เริ่มมีความเห็นขัดแย้งกัน
ทวี ไกรคุปต์ รมช. พาณิชย์ หนุนให้ยกเลิกระบบโควต้า ในขณะที่ ชวน หลีกภัย
รัฐมนตรีพาณิชย์ต่อจากตามใจ ขำภโต ไม่เห็นด้วย
แรก ๆ กรมการค้าต่างประเทศก็ออกโรงสนับสนุนยูเรเชี่ยน แถลงการณ์ขู่สำทับแคริเออร์ฝรั่งหลายครั้งให้เร่งส่งออกสินค้า
ครั้นเมื่อราคาหัวมันตกต่ำสุดขีดประกอบกับเสียงเรียกร้องให้ยกเลิกระบบโควต้ามากขึ้น
กรมการค้าต่างประเทศเลยหันมากดดันยูเรเชี่ยนให้ออกมารับซื้อผลิตภัณฑ์มันตามสัดส่วนที่ได้รับโควต้า
แต่ยูเรเชี่ยนไม่พร้อมในการขยายการค้าเนื่องจากความใหม่ในตลาดโลกประกอบกับแคริเออร์ต่างชาติดำเนินแผนปิดล้อม
แคริเออร์ฝรั่งประกาศไม่ง้อยูเรเชี่ยนไม่รับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังหลังจากยูเรเชี่ยน
หันไปกว้านซื้อโควต้าจากรายย่อย อีกทั้งกรมการค้าต่างประเทศเพิ่มโควต้าส่งออกให้ด้วยเพื่อหวังจะเริ่งการส่งออก
ยูเรเชี่ยนตกที่นั่งลำบาก จำเป็นต้องทะยานออกต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่ความพร้อมไม่มี
โดยเช่าเรือขนาดใหญ่ขนมันสำปะหลังออกเร่ขายถึงยุโรป และประสบการณ์ครั้งแรกคือขาดทุนกว่า
20 ล้านบาทในช่วงนั้น
ยูเรเชี่ยนอยู่ในภาวะอึดอัด ตึงเครียดและสับสน ผู้ถือหุ้น 2-3 รายถอนตัวออกเป็นระลอกแรก
ในที่สุด วันที่ 16 มิถุนายน 2524 ชวน หลีกภัย ทนแรงกดดันไม่ไหวได้ประกาศยกเลิกระบบโควต้า
ห้วงเวลา 6-7 เดือนหลังจากยูเรเชี่ยนเกิดขึ้นสถานการณ์ได้แปรเปลี่ยนไปมากจากยูเรเชี่ยน
ที่รวมพลังผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอย่างเป็นปึกแผ่นได้เริ่มก่อตัวเป็นเค้าของความยุ่งยากในอนาคต
ปัจจัยเหล่านั้นคือ หนึ่ง-ความเรรวนไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล อันเป็นที่ตระหนักกันดีแล้วในวงการธุรกิจบ้านเรา
สอง-จากข้อหนึ่งนั้นยูเรเชี่ยนต้องตกกระไดพลอยโจนเข้าสู่วังวนแห่งการแข่งขันมากขึ้น
"เราก็คิดว่าถึงแม้กรมการค้าต่างประเทศจะไม่หนุน การรวมตัวของเราก็ยังเป็นผลดีที่เราจะพัฒนาการค้ามันสำปะหลังไทยให้ถึงมือผู้ใช้เสียที
และเมื่อแคริเออร์ฝรั่งแอนตี้เราเราก็จำเป็นต้องไปเปิดสาขาที่ร็อตเตอร์ดัมส์"
ผู้ถือหุ้นใหญ่ยูเรเชี่ยนปัจจุบันแจงเหตุผลและความจำเป็นในการเปิดสาขาร็อตเตอร์ดัมส์
ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ศูนย์กลางผู้ใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในช่วงนั้น
ผู้รู้เล่าว่าผลจากการประเมินพลังตนเองสูงเกินไป และดูเบาแคริเออร์ฝรั่งโดยใช้นโยบาย
"แข็งกร้าว" นั้นเป็นผลเสียให้ยูเรเชี่ยนถูกต่อต้านมากเกินความจำเป็น
"ผู้ถือหุ้น 20 กว่ารายก็เริ่มมีความเห็นไม่ตรงกันแล้วเรื่องนี้"
เขาบอกความนัยที่ 2-3 บริษัทแยกตัวออกไปก่อนที่กรมการค้าต่างประเทศจะประกาศยกเลิกระบบโควต้าด้วยซ้ำ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลังจากเลิกระบบโควต้าที่ผู้ถือหุ้นได้แยกตัวออกเป็นระยะ
ๆ อาทิ แสงไทย,ไทยบำรุง, ล้อจิ้นเส็ง ฯลฯ
"มันเป็นเรื่องธรรมดายูเรเชี่ยนฟอร์มขึ้นมา การถือหุ้นแบ่งตามสัดส่วนโควต้าได้ออเดอร์ต่างประเทศมาก็แบ่งกันตามเปอร์เซ็นต์ของโควต้าที่ตนได้รับ
จะค้ามากก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้กรอบของโควต้า พอยกเลิกโควต้าใครเขาจะมาอยู่
เขาบอกว่าจะค้ามากขึ้นพวกนี้ก็ถอนตัวไป" สุรพล อัศวศิรโยธินให้เหตุผล
ช่วงนี้ยูเรเชี่ยนเผชิญศึกสองด้านแล้ว บรรดาเถ้าแก่นับสิบคนที่เคยคุ้นเคยกันรู้เรื่องมีผลประโยชน์ตรงกันความเห็นตรงกันก็เริ่มขัดแย้งตั้งแต่นั้นมา
ว่ากันว่าที่ไทยบำรุงและล้อจิ้นเส็งผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังรุ่นเก่าที่มีสไตล์การค้าแบบ
CONSERVATIVE เป็นบทเรียนที่ชัดเจน
"สองรายนี้เขาเห็นว่าขืนอยู่ต่อไปก็พากันไปตาย" ผู้คร่ำหวอดวงการค้ามันสำปะหลังคนหนึ่งกล่าว
เนื่องจากผู้ส่งออกทุกรายมีพื้นฐานไม่เหมือนกันทั้งด้านแนวความคิดและวิธีทำงานที่สำคัญมีกำลังทรัพย์ไม่เท่ากัน
อันขัดแย้งกับข้อตกลงที่มาอยู่ด้วยกันต้องทำตามแนวเดียวกัน อาทิการขยายสินค้าไปต่างประเทศ
เมื่อส่วนใหญ่เห็นว่าต้องขายและต้องระดมสต็อคสินค้าตามส่วนของตนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
โดยไม่ได้คำนึงว่าความสามารถของแต่ละรายจะเป็นเช่นไร
"ถึงแม้ผมจะเห็นว่าราคามันจะตกหรืออันตราย ผมก็ต้องทำตามในเมื่อเสียงส่วนใหญ่ว่าอย่างนั้น
อีกประการหนึ่งก็คือกลัวเสียหน้า ทุกคนเขากล้าเราไม่กล้าพรรคพวกก็ว่าเราใจปลาซิว
นี่ละที่เขาพากันไปตาย" ผู้ที่เคยถูกพาไปขาดทุนรายหนึ่งกล่าวอย่างขมขื่น
"สำหรับล้อจิ้นเส็งผมพูดได้ ในการประชุมครั้งหนึ่งผมจำเรื่องที่พูดกันไม่ได้แล้ว
คุณวิเชียร วงศ์เทียนชัย เขาเป็นผู้แทนของล้อจิ้นเส็งมาประชุม เขาบอกกับผมภายหลัง
พวกคุณให้ผมถือหุ้นแต่ไม่ให้อำนาจให้ผมจัดการเลย" สุรพลยอมรับปัญหาดังกล่าว
พอถึงปลายปี 2524 ยูเรเชี่ยนก็เหลือเพียง 6-7 กลุ่มหรือ 7-8 บริษัทเท่านั้น
ปลายปี 2524 ยูเรเชี่ยนดำริจะสร้างระบบขนถ่ายสินค้าด้วยเครื่องจักรทันสมัย
เช่นเดียวกับแคริเออร์ต่างประเทศอันเป็นผลโดยตรงมาจากระเบียบการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
หลังจากเลิกระบบโควต้าไม่นาน ปุณมี ปุณศรี ก็เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ต่อจาก
ชวน หลีกภัย และเปลี่ยนวิธีการส่งออกเป็น FIRST COME FIRST SERVE แบ่งการส่งออกเป็นหลาย
ๆ งวดกำหนดปริมาณที่แน่นอน ผู้ส่งออกต้องนำเรือเข้ามาขอเอกสารการส่งออกก็สามารถส่งออกได้
ใครมาก่อนได้ก่อน ไม่จำกัดเวลา แต่จำกัดจำนวน "พ่อค้าเราหัวไวแห่กันเอาเรือเข้ามารับโดยใช้เวลาเพียงสัปดาห์เดียวก็หมดโควต้า
ทำให้วุ่นวายไปหมด" พ่อค้าคนหนึ่งบอก
ระบบการขนถ่ายสินค้าจากฝรั่งลงสู่เรือใหญ่นั้นมีหลายวิธี อาทิผ่านระบบขนถ่ายของบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล
ซึ่งมีสายพานทอดยาวลงสู่เรือใหญ่ได้เลย (แต่วิธีนี้คาร์กิลล์-แคริเออร์ฝรั่งเช่าสัญญาผูกขาอยู่)
หรือผ่านท่าเรือสัตหีบ แต่ส่วนใหญ่จะต้องเช่าเรือลำเลียง (LIGHTER) ขนสินค้าไปถ่ายให้เรือใหญ่บริเวณเกาะสีชัง
การขนถ่ายสินค้าจากเรือลำเลียงลงเรือเดินสมุทรกระทำได้ 2 วิธี ใช้เครื่องสูบหรือที่เรียกว่าระบบทีบีเอส
(เป็นชื่อบริษัทใช้เครื่องสูบสินค้าลงเรือใหญ่) ซึ่งรวดเร็วและทันสมัยกว่าวิธีใช้
MOBILE CRAIN ยกสินค้าลงเรือ
FACILITY เช่นว่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการแข่งขัน ยิ่งถ้าต้องเช่าอุปกรณ์ในช่วงเวลาอันจำกัดช่วงเวลาเป็นเงินเป็นทอดนั้น
แล้วค่าใช้จ่ายจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
โอฬาร อัศวฤทธิกุล คนแซ่เบ๊เช่นเดียวกับสุรพล อัศวศิรโยธิน และเป็นคนสาย
"อินทรบางเขน" เช่นเดียวกัน โอฬารทำธุรกิจด้านขนส่งทางน้ำเลียบชายฝั่งทะเลมีสถานีพักสินค้า
(STEVEDORE) จำนวนมากจนได้ชื่อว่าเป็น "เจ้าพ่อ STEVEDORE" เขาทั้งสองตัดสินใจร่วมลงทุนเรือขนถ่ายสินค้าขึ้นด้วยเหตุผลสองประการ
1. เอื้ออำนวยประโยชน์ให้ยูเรเชี่ยนในการพัฒนาระบบขนถ่ายทัดเทียมแคริเออร์ฝรั่ง
2. ด้วยมองว่าธุรกิจเรือขนถ่ายสินค้าลอยน้ำแล้ว ค่อนข้างแจ่มใสหากวิธีส่งออกมันยังเป็น
FIRST COME FIRST SERVE อยู่เช่นนี้
"ระบบใหม่ที่เขาทั้งสองจะนำมาใช้ก็แบบเดียวกับทีบีเอสของกลุ่มโครห์นและทอฟเฟอร์นั่นเอง"
ทีบีเอส. ชื่อเต็ม ๆ ว่าไทยบัลท์เซอร์วิส ตั้งบริษัทดำเนินกิจการเมื่อปี
2520 โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ผู้ถือหุ้นเกือบทั้งหมดกลุ่มโครห์นและทอฟเฟอร์แห่งเยอรมัน
ส่วนบริษัทที่สุรพลกับโอฬารร่วมตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2524 นั้นใช้ชื่อว่านารายณ์ชิปปิ้ง
(เอ็นบีเอส.) ทุนจดทะเบียนครั้งแรก 10 ล้านบาท ในครั้งแรก ๆ สุรพลและโอฬารถือหุ้นใหญ่
ดังนั้นสุรพลจึงดำรงตำแหน่งประธานและโอฬารเป็นกรรมการผู้จัดการ
เมื่อเดือนเมษายน 2525 ได้ตกลงซื้อเรือ 2 ลำคือเรือบางไทรจากบริษัทเจ้าพระยาขนส่งและเรือแฮปปี้วิลลิ่งจากบริษัทไทยอาร์โกเนวิเกชั่น
ราคา 20 ล้านบาทเพื่อจัดทำโครงการสถานีขนส่งสินค้าลอยน้ำ" เรือทั้งสองลำแท้ที่จริงก็เป็นของสุรพลนั้นเอง"
ผู้ถือหุ้นในยูเรเชี่ยนคนหนึ่งบอก ซึ่งต่อมาเลยกลายเป็นจุดครหาประการหนึ่ง
แผนการจะสร้างสถานีขนส่งต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศอีกโดยใช้เงินรวมกันทั้งสิ้นประมาณ
60 ล้านบาท นารายณ์ชิปปิ้งจึงติดต่อธนาคารกรุงเทพเพื่อขอกู้เงิน 50 ล้านบาท
โดยคาดหวังว่าปลายปี 2525 จะสามารถเริ่มดำเนินการบริการ
ในรายงานการประชุมบริษัทเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2526 กล่าวอ้างคำรายงานของโอฬาร
อัศวฤทธิกุล "เดิมโครงการจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2525 แต่เนื่องจากอุปกรณ์และเครื่องจักรบางส่วนที่ได้สั่งซื้อจากประเทศเยอรมันมาถึงช้ากว่าที่กำหนดไว้
จึงทำให้การติดตั้งล่าช้าและไม่สามารถที่จะรับบริการในเดือนธันวาคม 2525
ได้ ส่วนเดือนมกราคม 2526 นั้นก็มีการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังน้อยมาก
เนื่องจากทางราชการได้มีนโยบายส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในระบบโควต้าซึ่งแบ่งออกเป็น
4 งวด จึงทำให้การทำงานของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมาย"
แต่ข่าวบางกระแสระบุว่าเหตุล่าช้าจริงเกิดจากธนาคารกรุงเทพไม่ยอมปล่อยสินเชื่อประมาณ
50 ล้านบาทสำหรับซื้อเครื่องจักร ด้วยเหตุนี้สัญญาว่าจ้างระยะยาวระหว่างยูเรเชี่ยนกับนารายณ์ชิปปิ้งจึงเกิดขึ้น
ทั้งยูเรเชี่ยนก็เข้าถือหุ้นในนารายณ์ชิปปิ้ง 15 % ด้วย
ทุกวันนี้ยังถกเถียงกันไม่เสร็จว่าใครเป็นบุญคุณใครระหว่างยูเรเชี่ยนกับนารายณ์ชิปปิ้ง
นารายณ์ชิปปิ้งอ้างว่าเขาเกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนยูเรเชี่ยนให้เข้มแข็ง ยูเรเชี่ยนก็อ้างว่าหากไม่ได้เขานารายณ์ชิปปิ้งก็ไม่มีสิทธิ์ได้เกิด
เมื่อโครงการนี้ดำเนินการสำเร็จสถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง!
การขนถ่ายมันสำปะหลังลงเรือเดินสมุทรที่ต้องเร่งรัดแย่งชิงและซื้อด้วยเวลานั้นได้เปลี่ยนเป็นค่อยขนค่อยส่ง
อันเนื่องมาจากกรมการค้าต่างประเทศทีเปลี่ยนระบบการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นโควต้า
โดยพิจารณาจากสต็อคสินค้าของผู้ส่งออกแต่ละราย ทั้งกำหนดระยะเวลาส่งออกยาวออกไปกว่าเดิมมาก
นั่นคือปัญหาพื้นฐานการขาดทุนประมาณ 40 ล้านบาทของนารายณ์ชิปปิ้งในปัจจุบัน
"มันอยู่ค่าบริการ เมื่อทีบีเอสว่างงานจากโครห์นและทอฟเฟอร์ ก็แข่งขันรับจ้างรายอื่นต่อไปด้วยการ
ตัดราคากับเอ็นบีเอส ทีบีเอสเขาเกิดมานานมีกำไรคุ้มทุนไปแล้ว ไหนเลยเอ็นบีเอสจะแข่งขันได้
ยิ่งเมื่อยูเรเชี่ยนไม่ยอมใช้บริการตามสัญญาด้วยแล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร"
ผู้บริหารคนหนึ่งของนารายณ์ชิปปิ้งโอดครวญ
ปลายปี 2526 ทรัพย์สถาพร (ซุ่ยเฮงหลี) และสหมันอัดไทย ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้ถอนตัวออกจากยูเรเชี่ยน
อันหมายถึงเฉลิม สถาพร ผู้แทนจากซุ่ยเฮงหลีซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการยูเรเชี่ยนมาแต่ต้นได้พ้นจากตำแหน่ง
กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์ แห่งซุ่นหั่วเซ้งจึงเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน
ในช่วงนั้นยูเรเชี่ยนจึงเหลือเพียง 4 กลุ่ม (ประมาณ 7 บริษัท) คือกลุ่มสุ่นหั่วเซ้ง
กลุ่มโชคชัยพืชผล (ของ ชัยพล แสงศิริพงษ์พันธ์) กลุ่มวรพลพาณิชย์ (ของสุรพล
อัศวศิรโยธิน) และกลุ่มสหพันธ์พืชผล (ปรีชา ปริญญาคณิต)
สำหรับเหตุผลว่ากันว่าไม่แตกต่างจากรายก่อน ๆ
ว่ากันตามประวัติศาสตร์ผู้ส่งออกสินค้าพืชไร่บ้านเราเติบโตมาจากพื้น แทบจะกล่าวได้ว่าทุกคนไม่ใช่นักบริหารมืออาชีพ
พอไต่เต้าหรือประสบความสำเร็จทางการค้าจะด้วยเสี่ยงโชคหรือความบังเอิญก็สุดแต่
ก็มักจะถือว่าตนมีความสามารถโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประสบความสำเร็จติดต่อกันระยะหนึ่งจะยิ่งมองข้ามความเห็นของคนอื่น
ความเห็นของคนอื่นไม่มีความหมาย
"ในประเทศไทยการบริหารที่ล้าหลังแท้ที่จริงกลับไม่ใช่กลุ่มที่เติบโตมาจากขุนนางหรือราชนิกูล
หากเป็นพ่อค้าไทยเชื้อสายจีน ทั้งนี้โดยรากเหง้าของวัฒนธรรมของเขาด้วย"
อาจารย์สอนวิชาบริหารธุรกิจที่ตีนติดดินคนหนึ่งแสดงทัศนะ
"พื้นฐานของคนต่างกัน ต่างคนต่างความคิด มีความระแวง ไม่เชื่อใจกัน
ทุกคนคิดถึงแต่ประโยชน์ หากรู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบ การเจรจาหรือตกลงอะไรจะยุติทันที
ที่สำคัญไม่กล้าเผชิญความขัดแย้งในที่ประชุม" สุรพล อัศวศิรโยธิน ขยายประสบการณ์จากยูเรเชี่ยน
อย่างเป็นรูปธรรมสนับสนุน เขาเน้าว่าผู้ศึกษาวิชาบริหารธุรกิจในเมืองไทยสมควรจะนำเรื่องราวเช่นนี้ไปศึกษาบ้าง
"เวลาประชุมไม่มีแบบแผน พอโทรศัพท์มาก็ไปโทรศัพท์ นึกอะไรขึ้นได้ก็ไปทำหรือใครเสนอความเห็นไม่ตรงกับตนก็บอกว่าธุระเยอะเอาไว้ประชุมคราวหน้า"
เขาขยายความต่อ
แม้ยูเรเชี่ยนจะเป็น "ตัวอย่าง" ของปัญหารากเหง้าอันหนึ่งของธุรกิจส่งออกเช่นว่านั้น
แต่ก็หาใช่จะสิ้นความพยายามในการแก้ปัญหาโดยใช้มืออาชีพเป็นคนบริหารงานเสียทีเดียว
ชาญชัย ตุลยะเสถียร ปริญญาโทด้านการเงิน เคยมีตำแหน่งระดับคีย์แมนในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงินของบริษัทไทยออยล์ก็เคยมาเป็นผู้จัดการทั่วไปให้ยูเรเชี่ยนในอัตราเงินเดือนเกือบ
1 แสนบาท
เขาอดทนนั่งทำงานท่ามกลางเถ้าแก่ 10 กว่าคนที่ความคิดไม่ตรงกัน เพียงปีเศษ
ชาญชัยก็เผ่น
คนที่สองเป็นฝรั่งชาวดัชท์ชื่อ HOOY MEYER ซึ่งเคยทำงานอยู่ที่ปีเตอร์เครมเมอร์-แคริเออร์
ฝรั่งคู่แข่งของยูเรเชี่ยน "มิสเตอร์ไมเยอร์อยู่นานกว่าคนอื่นตรงที่เขาเป็นฝรั่ง
พูดภาษาไทยไม่ได้ บรรดาเถ้าแก่ไม่ค่อยเข้ามายุ่ง เพราะเถ้าแก่เกือบทุกคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้"
แต่ประมาณ 2 ปีที่พยายามสร้างระบบก็ต้องล้มเหลวไปเพราะเจ้านายแตกกัน
นอกจากนั้นยังมีคนไทยระดับผู้บริหารอีกสองคนที่เข้ามาในสนามปราบเซียนนี้คือ
ทวีศักดิ์ ลีเมฆานนท์ จากปีเตอร์เครมเมอร์ คนหนุ่มหัวดีเข้ามาอยู่พักหนึ่งลาออกไปอยู่กลุ่มเอเชียคอร์ป-แคริเออร์
ของคนไทยที่เกิดขึ้นในปี 2527 ซึ่งในที่สุดเขาก็ต้องพบประสบการณ์เช่นเดียวกัน
ปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัว
คนสุดท้ายไพบูลย์ ไชยสมพงษ์พันธ์ ผู้ชำนาญด้านการตลาดสินค้าพืชไร่จากคอนติเนนตัล
โอเวอร์ซีส์ (ซีโอซี) ยักษ์ใหญ่ COMMODITY สาขาของคอนติเนนตัลเกรนส์ เพิ่งตัดสินใจลาออกจากยูเรเชี่ยนไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง
"ผมเคยบอกพวกเขาว่าโครงสร้างบริษัทนี้เป็นเช่นไรคุณก็รู้ คุณทำงานที่นี่คุณต้องมีหูฟัง
แต่ต้องไม่มีปากพูด อย่านำเรื่องของเถ้าแก่คนนี้ว่าคนนั้นไปให้เถ้าแก่คนนั้นฟัง
คุณต้องละเว้นการถ่ายทอดเรื่องราวทำนองนั้น แต่ส่วนใหญ่เขาทำไม่ได้"
อดีตผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในยูเรเชี่ยนพูดถึงมืออาชีพบางคนที่กล่าวแต่ต้น
อย่างไรก็ตามมีฝรั่งคนหนึ่งทำงานให้ยูเรเชี่ยนมาแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้-โบชาร์ตเป็นคนเยอรมันครอบครัวของเขามีกิจการโรงงานอาหารสัตว์ที่ใช้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
หลังจากจบการศึกษาเขาเริ่มดำเนินธุรกิจด้านการค้ามันสำปะหลังทำงานกับบริษัทโครห์นและปีเตอร์เครมเมอร์ในเมืองไทยถึง
6 ปีเต็ม ในช่วงที่ยูเรเชี่ยนเกิดขึ้นโบชาร์ตทำงานอยู่ที่บริษัทมาร์โบรโบรกเกอร์ด้าน
COMMODITY ของอังกฤษ ในที่สุดถูกชวนมาเป็นผู้จัดการสาขาร็อตเตอร์ดัมส์ ในเนเธอร์แลนด์ของยูเรเชี่ยน
สาขาของยูเรเชี่ยนที่นั่นทำงานค่อนข้างอิสระ บรรดาเถ้าแก่จึงไม่มีโอกาสเข้ายุ่งเกี่ยวมากนัก
"เถ้าแก่ของยูเรเชี่ยนส่วนใหญ่มักใจถึง หากใครทำงานให้เขาดี ๆ ผลตอบแทนย่อมสูง
โบชาร์ตก็ได้ผลตอบแทนในปริมาณมากพอที่จะไม่ไปทำงานที่ไหน" ผู้บริหารยูเรเชี่ยนคนหนึ่งกล่าว
ตามสัญญาว่าจ้างขนถ่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังจากเรือลำเลียงสู่เรือเดินสมุทรนั้น
นารายณ์ชิปปิ้งกำหนดราคาไว้ตายตัวว่า หากส่งเกินกว่าที่กำหนดไว้จะได้ส่วนลดทุก
ๆ แสนตัน ๆ ละ 2 บาท เช่นหากส่งระหว่าง 6-7 แสนตันคิดราคาตันละ 58 บาท (มันอัดเม็ด)
จากราคาเดิม 60 บาท/ตัน หากส่งเกิน 8 แสนตันต่อปีขึ้นจะคิดเพียง 50 บาท/ตัน
(มันอัดเม็ด) 52 บาท/ตัน (มันเส้น)
ระยะสัญญา 3 ปี จากวันที่ 1 มิถุนายน 2526-31 พฤษภาคม 2529 ในระหว่างนี้ยูเรเชี่ยนส่งสินค้าไม่เป็นไปตามข้อตกลงทุกปีในส่วนขาดที่ต้องชดเชยนี้คิดเป็นเงิน
20,100,896.80 บาท นอกจากนี้ค่าขนถ่ายสินค้าก็ไม่ได้ชำระครบถ้วนเป็น 5,445,642.46
บาท
ทำไมไม่ทวงถามกันให้เรียบร้อย?
ในนารายณ์ชิปปิ้งนอกจากยูเรเชี่ยนถือหุ้นอยู่ 15% แล้ว สุรพล อัศวศิรโยธินในฐานะประธานทั้งสองบริษัท
(ในช่วงนั้น) ยังถือหุ้นอยู่ 5% นอกจากนี้กลุ่มโชคชัยพืชผล 1 ใน 4 กลุ่มยูเรเชี่ยนก็ถือถึง
15%
ยูเรเชี่ยนเผชิญปัญหาภาวะราคาผลิตภัณฑ์มันตกต่ำอย่างมากในปี 2527 ต่อปี
2528 ประกอบกับปลายปี 2527 ยูเรเชี่ยนประสบการขาดทุนอย่างหนักอันเนื่องมากจากการลดค่าเงินในปลายปีเป็นเงินถึง
150 ล้านบาท (ตามบัญชี)
ว่ากันด้วยว่า ชัยพล แสงศิริพงษ์พันธ์มีปัญหาด้านเทคนิคเกี่ยวกับส่งมอบผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังลำหนึ่งหลายหมื่นตัน
จนทำให้ 3 กลุ่มที่เหลือในยูเรเชี่ยนไม่พอใจกล่าวหากันว่ามีการ "เบี้ยว"
กันเอง ในที่สุดโชคชัยพืชผลตัดสินใจผละออกจากยูเรเชี่ยนในปลายปี 2527 นั่นเอง
ข่าวยืนยันว่า ชัยพล แสงศิริพงษ์พันธ์ กับกิตติ ดำเนินชาญวณิชย์ไม่มองหน้ากันในปัจจุบัน
ไม่หยุดเพียงแค่นั้น วรพลพาณิชย์ของสุรพล อัศวศิรโยธิน ก็เริ่มมีปัญหากับหุ้นส่วนที่เหลือ
ต่อจากโชคชัยพืชผลทันทีต่างฝ่ายต่างโจมตีกัน จนถึงขั้นเอาเรื่องส่วนตัวเข้ามาพัวพัน
บางกระแสข่าวอ้างว่าสุรพลชอบเสี่ยงโชคกับอัตราแลกเปลี่ยนขาดทุนจำนวนมาก ทำให้หุ้นส่วนไม่พอใจถึงลิดรอนอำนาจ
ในที่สุดสุรพล จึงตัดสินใจลาออกจากยูเรเชี่ยน ในทางปฏิบัติแทบจะไม่ทำงานตั้งแต่กลางปี
2528 แต่ในกฎหมายเพิ่งจะถอยฉากออกมาเมื่อประมาณดือนเมษายน 2529 ที่ผ่านมา
ยูเรเชี่ยนปัจจุบันจึงเหลือเพียง 2 กลุ่ม-กลุ่มสุ่นหัวเซ้งถือหุ้น 70%
และสหพันธ์พืชผลถือหุ้น 30%
หลังจากที่สุรพล อัศวศิริโยธินออกจากตำแหน่งประธานยูเรเชี่ยนไม่นานนารายณ์ชิปปิ้งก็ยื่นฟ้องร้องค่าเสียหายดังกล่าวทันที
"ผมว่าคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีหนุนให้ฟ้องคือคุณชัยพล ซึ่งไม่ถูกกับคุณกิตติส่วนคุณสุรพลนั้นที่ผ่านมาคอยปรามเอาไว้
แต่ตอนนี้วางเฉยซึ่งก็เท่ากับไฟเขียว" แหล่งข่าวจากยูเรเชี่ยนกล่าว
อย่างไรก็ตามยูเรเชี่ยนเชื่อว่าทุกอย่างจะจบนอกศาล ตามสไตล์พ่อค้าเชื้อสายจีนที่ไม่จำเป็นไม่ค้าความ
ดูเหมือนว่า 6 ปีของยูเรเชี่ยนในท้ายที่สุดจะมายืนอยู่ในจุดเดิม คือเป็นกิจการของผู้ส่งออกไทยรายเดียวที่มีอำนาจการบริหารงานอย่างเต็มที่คือกลุ่มเกษตรรุ่งเรือง
(สุ่นหั่วเซ้ง)
ซึ่งคนวงการหลายคนมองว่าสุ่นหั่วเซ้งเก็บดอกผลจากความพยายามของผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปอีอีซีกว่า
20 ราย เป็นยุทธวิธีที่กิตติ ดำเนินชาญวนิชย์เคยประกาศท่ามกลางเถ้าแก่ยูเรเชี่ยนในอดีตไม่นานมานี้ว่า
"คนที่มีโกดัง มีเงินหนาก็คือผู้ชนะ"
เพราะยูเรเชี่ยนคือแคริเออร์ของคนไทยรายแรก ที่ถึงแม้ผู้ถือหุ้นจะถอยฉากไปทีละรายสองรายแต่ความสามารถในการส่งออกมิได้ถดถอยไปตามสัดส่วนนั้นเท่าใดนัก
วันนี้จะมีเพียง 2 รายก็ยังถือว่าเป็นเคริเออร์รายใหญ่ มั่นคงและมีประสบการณ์ด้านการตลาดในต่างประเทศไม่แพ้แคริเออร์ฝรั่งแล้ว
จะว่าไปแล้วยูเรเชี่ยนได้เดินมาบรรลุจุดประสงค์ของ "เถ้าแก่"
23 รายเมื่อปลายปี 2523 เพียงแต่ผลกลับตกอยู่ที่สุ่นหั่วเซ้งกับหสหพันธ์พืชผลเท่านั้น
"ยูเรเชี่ยนปัจจุบันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ทำกำไรตลอดเวลา
เพราะไม่ต้องลงทุนอะไรรายได้มาจากค่า COMMISSION หากมีการส่งสินค้ามากรายได้ก็มาก
ที่เสี่ยงมีเพียงประการเดียวคืออัตราแลกเปลี่ยน" มืออาชีพที่เคยทำงานให้ยูเรเชี่ยนคนหนึ่งแสดงความเห็น
หากจะถามบรรดาอดีตเถ้าแก่ยูเรเชี่ยนในตอนนั้ว่ายูเรเชี่ยนผิดพลาดตรงไหนเสียงตอบค่อนข้างจะเป็นไปตามแนวเดียวกันคือ
ผิดพลาดที่โครงสร้างการถือหุ้นและการบริหารโดยรวมเอาบรรดาเถ้าแก่มาดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามแนวเดียวกัน
บทเรียนระยะหลังมานี้ได้พิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทำไม่ได้
"รวมกลุ่มกันค้าข้าว หรือค้ามันสำปะหลังเพื่อมิให้ตัดราคากันและมีอำนาจต่อรองกับผู้ซื้อซึ่งเป็นการรวมตัวชั่วคราวยังรวมกันไม่ได้เลย"
พ่อค้าใหญ่คนหนึ่งยกตัวอย่าง
แต่แนวทางยูเรเชี่ยนไม่ผิด ยูเรเชี่ยนเป็นต้นแบบในการพัฒนาการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทยไปต่างประเทศซึ่งได้พัฒนาครบวงจร
เหตุการณ์ได้พิสูจน์เช่นกันว่ากลุ่มที่แตกตัวจากยูเรเชี่ยนหลายรายเช่นแสงไทย-ตระกูลคำ
เอเชียคอร์ป
ขณะเดียวกันก็มีจำนวนไม่น้อยที่ "ทุนน้อย ความกล้าน้อย" ก็ยอมจำยอมสภาพเดิมเช่นเมื่อก่อนปี
2523 ก่อนที่ยูเรเชี่ยนจะเกิด เพียงสภาพได้พัฒนาขึ้นมาระดับหนึ่งคือแคริเออร์ฝรั่งมีอำนาจต่อรองลดลงไปมากเมื่อมีแคริเออร์ของคนไทย
เคยมีคนสงสัยกันมากว่าเพราะเหตุใดไทยวาและพูนผล (ของตระกูลหวั่งหลี) ไม่ยอมรวมกลุ่มกับเถ้าแก่
23 รายเมื่อปลายปี 2523 ทั้ง ๆ ที่สองรายนี้เป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังรายใหญ่
กิตติ ดำเนินชาญวณิชย์ กรรมการผู้จัดการยูเรเชี่ยนปัจจุบันกับสุรพล อัศวศิรโยธิน
อดีตประธานกรรมการยูเรเชี่ยนต่างมีความเห็นสอดคล้องกันต่อปริศนาข้างต้น
"ถ้าจะให้ผมพูดตอนนี้ก็ต้องชมว่า 2 รายนั้นมองการณ์ไกล เขาฉลาดที่มองเห็นว่าการรวมตัวแบบนี้เป็นไปไม่ได้