|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
5 ปีที่แล้วที่ ‘มิสเตอร์บัน’ เข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย เรียกได้ว่าปลุกกระแสตลาดขนมอบจนโด่งดังสนั่นทั่วกรุง ถ้าเทียบกับยุคนี้ก็ต้องยกให้คริสปี้ ครีม ทว่าจะต่างกันก็ตรงที่วันนี้คริสปี้ ครีมก็ยังได้รับความนิยมจากบรรดาลูกค้า แม้แถวคอยจะไม่ยาวเหมือนช่วงเปิดตัว ขณะที่มิสเตอร์บัน มาเร็วไปเร็ว จนกระทั่งทำให้ต้องปรับตัวด้วยการแตกไลน์ขนมอบรูปแบบใหม่ให้หลากหลาย จากเดิมที่มีเพียงรูปแบบเดียว และปัจจุบันมิสเตอร์บันกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการต่อยอดมิสเตอร์บันสู่ร้านขนมอบระดับพรีเมียม หวังสร้างความเชื่อมั่นและขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เพิ่มขึ้น
ถึงแม้ว่า มิสเตอร์บัน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นธุรกิจขนมอบ จะไม่มีคู่ชกในตลาดโดยตรง แต่หากมองถึงธุรกิจในไลน์ขนมที่มีลักษณะใกล้เคียงและสามารถทดแทนกันได้อย่างโดนัต และเบเกอรี่ ถือได้ว่าแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดโดนัต ที่มีผู้เล่นมาแรงอย่างคริสปี้ ครีม เปิดฉากทำตลาดในเมืองไทย ก็ยิ่งทำให้สมรภูมิโดนัตร้อนแรงมากขึ้น
เมื่อประกอบกับขนมอบของมิสเตอร์บันเริ่มเสื่อมมนต์ นั่นจึงทำให้ มิสเตอร์บัน ตัดสินใจปรับตัวเองเป็นครั้งแรก ด้วยการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ขนมอบ จากเดิมที่มีเพียงแบบเดียว และเพิ่มความหลากหลายของรสชาติและไส้ในรูปแบบของบัน มาสู่รูปแบบขนมปังอบที่หลากหลาย ในกลุ่ม Signature Product ไม่ว่าจะเป็น ขนมปังสติ๊ก เบคโก้ริง (โดนัตอบ) เพรสเซลกรอบ และครัวซองต์เนยสด
แม้ว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับมิสเตอร์มากขึ้น โดยสามารถทำยอดขายได้ถึง 3 ล้านชิ้นภายใน 18 เดือน หรือคิดเป็น 15% ของยอดขายรวมทุกผลิตภัณฑ์ ทว่านั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างการเติบโตระยะยาวให้กับมิสเตอร์บัน ท่ามกลางคู่แข่งทางอ้อมที่กำลังมาแรง ซึ่งแต่ละแบรนด์ล้วนมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค เมื่อผนวกกับเกมการตลาดที่เข้มข้น ก็ทำให้ขนมอบมิสเตอร์บันกลายเป็นแบรนด์ท้ายๆ ที่ลูกค้าจะนึกถึง
เหตุนี้เอง ทำให้มิสเตอร์บันตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการยกเครื่องครั้งสำคัญ โดยวางเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว 5 ปี เพื่อขับเคลื่อนมิสเตอร์บันสู่ความเป็นพรีเมียมแบรนด์และเติบโตในอนาคต
สำหรับการเริ่มต้นของมิสเตอร์บันในยุคการเปลี่ยนถ่ายที่จะเริ่มต่อจากนี้ อนุสรณ์ ตันยากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัน จำกัด ผู้บริหารร้านมิสเตอร์บัน บอกว่า จะเริ่มตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ โดยแน่นอนว่ามิสเตอร์บันยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ความเป็นขนมอบและบัน แต่สิ่งที่จะถูกเพิ่มเข้าไปมากขึ้น นั่นคือ นวัตกรรมของขนมปังอบ หรือที่เรียกว่า Bunnovation โดยเป็นการพัฒนาสูตรขนมอบและเครื่องดื่มร่วมกับเชฟระดับประเทศในรูปแบบใหม่ๆ ตอบโจทย์ลูกค้าครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการความหลากหลาย ในขณะเดียวกันการนำเชฟมาช่วยพัฒนาสูตรขนม ยังจะช่วยอัปเกรดแบรนด์มิสเตอร์บันจากขนมอบระดับแมสสู่ความเป็นพรีเมียมมากขึ้นด้วย
อนุสรณ์ ยกตัวอย่างสินค้ากลุ่มใหม่นี้ว่า ครัวซองต์ผสมไอศกรีม แม้จะเป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากลูกค้าซึ่งต้องการครัวซองต์และไอศกรีมเพื่อไปจัดเลี้ยง แต่ก็ถือเป็นก้าวแรกในการขยายไลน์ขนมอบระดับพรีเมียมด้วยนวัตกรรม หรือแม้กระทั่งการขยายไลน์สินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มแบรนด์ “เบสต์ มอลต์” (Best Malt) และกลุ่มไอศกรีมแบรนด์ “บัน เอสกิโม” ซึ่งทั้งหมดคาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือน ก.ย นี้ ตามสาขามิสเตอร์บันที่มีอยู่ในปัจจุบัน
แต่อนาคตมีแผนจะนำขนมอบในกลุ่มพรีเมียมเข้าไปจำหน่ายผ่านร้านมิสเตอร์บันรูปแบบใหม่ ภายใต้ชื่อ มิสเตอร์บันบูติก เพื่อตอกย้ำความพรีเมียมยิ่งขึ้น โดยจะเปิดตัวสาขาต้นแบบ บนพื้นที่ประมาณ 35 ตร.ม. ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาทำเล เบื้องต้นคาดเปิดร้านค้าต้นแบบ 1 สาขา ในศูนย์การค้าสยามพารากอน และเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมตั้งเป้าหมายกลุ่มสินค้าพรีเมียม 20% จากจำนวนยอดขายทั้งหมดของมิสเตอร์บัน
นอกจากนี้ ความเปลี่ยนแปลงของมิสเตอร์บันที่จะได้เห็นใน 5 ปีจากนี้ ก็คือ การเพิ่มสัดส่วนร้านมิสเตอ์บัน ในรูปแบบแฟรนไชส์เป็น 80% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 25% โดยคาดว่าในช่วงเวลาดังกล่าว บริษัทจะสามารถเปิดให้บริการร้านมิสเตอร์บันได้ทั้งสิ้น 250 สาขา แบ่งเป็นสาขาของบริษัทประมาณ 50 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 200 สาขา เพื่อขยายกลุ่มสินค้าให้สอดคล้องกับกลุ่มผู้บริโภคที่เข้าร้านมิสเตอร์บัน โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายในตลาดต่างจังหวัด จากปัจจุบันมีฐานลูกค้าหมุนเวียน 6.3 แสนรายต่อเดือน และมีการใช้จ่ายต่อครั้งเฉลี่ย 45 บาท
จากการยกเครื่องมิสเตอร์บันในครั้งนี้ นอกจากเป้าหมายการยกระดับแบรนด์มิสเตอร์บันให้พรีเมียมมากขึ้นแล้ว อนุสรณ์ตั้งเป้าว่า อนาคตจะสามารถมีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น 1 ล้านรายต่อเดือน และมีการใช้จ่ายต่อครั้งเพิ่มขึ้น 5-6% พร้อมกันนี้ภายใน 5 ปี จะมีรายได้เติบโต 1,000 ล้านบาท
|
|
|
|
|