เพียงปีแรกในการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินของ ม.ร.ว. จันทร์แรม
ศิริโชค จันทรทัต ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันจะสดใสไปหมด
ในขณะที่ช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้เอง กลับเป็นรอบปีที่บรรดานายธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายต่างต้องหน้าดำคร่ำเครียดเร่งแก้ปัญหาที่สั่งสมกันมาตั้งแต่ปี
2528 อย่างหนักหน่วงไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเงินของกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ต่าง ๆ
ที่แบงก์ปล่อยเงินกู้ไปให้ แต่มีแนวโน้มว่าเงินที่ปล่อยไปจะไม่ค่อยได้คืน
รวมทั้งปัญหาสภาพคล่องส่วนเกินในระบบเงินที่แต่ละแบงก์ต้องแบกรับไว้ เป็นจำนวนเงินรวมไม่ต่ำกว่า
3-5 หมื่นล้านบาท
และก็ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้อีกเช่นกัน ที่ประวัติศาสตร์การเงินของไทยจะต้องจารึกไว้ว่าเพียงระยะเวลาแค่
9 เดือน ธนาคารพาณิชย์ไทยได้มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงมาถึง 4 ครั้งด้วยกัน
การลดอัตราดอกเบี้ย 2 ใน 4 ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบด้านดีมาถึงธนาคารออมสินทั้งสิ้น
การลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งแรกเป็นประกาศจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยทั้งทางด้านเงินฝากและสินเชื่อ
ในวันที่ 2 มกราคม คืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์จากเดิมร้อยละ 9 ลดเหลือร้อยละ
8.5 เงินฝากประจำ 1 ปี จากเดิมร้อยละ 13 เหลือร้อยละ 11 อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อทั่วไปจากเดิมร้อยละ
19 เหลือร้อยละ 17 สินเชื่อที่ให้กับภาคเศรษฐกิจที่สำคัญจากเดิมร้อยละ 17.5
เหลือร้อยละ 15 และต่อมาในวันที่ 5 มีนาคม อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ลดลงมาเหลือร้อยละ
7.25 เงินฝากประจำ 1 ปีลดลงมาเหลือร้อยละ 9.5 อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อทุกประเภทคงเพดานร้อยละ
15 เท่ากันหมด
ครั้งที่ 3 เป็นผลจากการประชุมสมาคมธนาคารไทยให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงมาตั้งแต่วันที่
1 กรกฎาคม โดยให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เหลือร้อยละ 6.25 เงินฝากประจำ
1 ปีเหลือร้อยละ 8
ผลจากการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ทำให้ยอดจำหน่ายสลากออมสินของธนาคารออมสินพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์
จากยอดเดิมที่เคยจำหน่ายได้เพียง 279.56 ล้านบาทในเดือนมิถุนายน กลับเพิ่มเป็น
806.76 ล้านบาทในเดือนกรกฎาคม และยิ่งสูงขึ้นไปถึง 1,330 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม
ส่วนยอดจำหน่ายรวมก็เพิ่มขึ้นจาก 3,200 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2528
เป็น 6,500 ล้านบาท ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2529
และการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายคือวันที่ 8 กันยายน เงินฝากออมทรัพย์เหลือเพียงร้อยละ
5.5 และเงินฝากประจำ 1 ปี เหลือร้อยละ 7.25
ม.ร.ว. จันทร์แรมศิริโชคได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนก่อนหน้าการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายเพียงไม่กี่วันว่า
ธนาคารออมสินยืนยันจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีก เพราะถือว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธนาคารออมสินเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์
พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นกลุ่มที่มีระดับรองลงมาจากธนาคารพาณิชย์
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารออมสินในขณะนั้นจึงกลายเป็นว่า เงินฝากออมทรัพย์สำหรับบุคคลทั่วไปร้อยละ
6.5 สำหรับรัฐวิสาหกิจร้อยละ 5.75 เงินฝากประจำ 1 ปีสำหรับบุคคลทั่วไปร้อยละ
8.5 ส่วนรัฐวิสาหกิจร้อยละ 8 สำหรับอัตราดอกเบี้ยสลากออมสินก็ยังคงให้เท่าเดิมคือร้อยละ
5 เมื่อครบกำหนด 3 ปีซึ่งอัตราทั้งหมดยังสูงกว่าธนาคารพาณิชย์อยู่มาก
ส่วนยอดเงินฝากสลากออมสินเดือนกันยายนยังไม่มีตัวเลขออกมาแต่ก็เชื่อได้ว่ายังคงพุ่งสูงขึ้นเช่นเดิม
"เป็นเรื่องธรรมดาผู้ฝากเงินก็อยากจะได้เงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุด
ในสมัยก่อนที่ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนยังให้ดอกเบี้ยสูงอยู่ ก็ไม่มีใครจะมาสนใจเงินฝากในรูปสลากออมสิน
แต่พอมาภายหลังนี่อะไรต่าง ๆ มันก็ลดลงมาหมดคนก็มาพบว่าถ้าเผื่อซื้อสลาก
2 แสนบาทจะได้ดอกเบี้ยรวมทั้งรางวัลประมาณ 7.5 เปอร์เซ็นต์ถ้าซื้อ 2 ล้านก็จะได้
8.43 แล้วยิ่งเราไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากอีก 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปีมันก็ดีกว่าทุกอย่างยกเว้นลงทุนธุรกิจ
ซึ่งเสี่ยง ตกลงพวกที่มีเงินอาศัยดอกเบี้ยและต้องการความมั่นคงทางเศรษฐกิจในการลงทุน
เมื่อวิเคราะห์ดูแล้วก็เห็นว่าถ้ามีเงินก้อนใหญ่มาฝากในรูปสลากออมสินขณะนี้จะได้ผลตอบแทนสูงสุด
คนก็เฮโลกันมา" ม.ร.ว. จันทร์แรมศิริโชค ให้ความเห็น "ผู้จัดการ"
ถึงทิศทางของสลากออมสินในปัจจุบัน
"แต่ที่ผมดีใจก็คือในขณะที่ยอดฝากสลากของเราขึ้นนั้นยอดเงินฝากทุกประเภทของเราก็ขึ้นด้วยเช่นกัน
จากยอดเดิมเมื่อสิ้นเดือนธันวาคมเรามีเงินฝากอยู่ทั้งสิ้น 57,000 ล้านบาทแต่ตัวเลขเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมยอดเงินฝากเราขึ้นไปถึงประมาณ
65,000 ล้านบาทแล้ว" ม.ร.ว. จันทร์แรมศิริโชคกล่าวอย่างอารมณ์ดี เพราะในขณะที่ธนาคารพาณิชย์อื่น
ๆ กำลังมีปัญหากับการปล่อยสินเชื่อไม่ได้ตามเป้าหรือสินเชื่อที่ปล่อยไปกลายเป็นสินเชื่อที่มีปัญหา
แต่สำหรับธนาคารออมสินแล้ว เรื่องดังกล่าวไม่ได้สร้างความหนักใจอะไรให้เลย
เนื่องจากธนาคารออมสินมีลูกหนี้ชั้นดีอยู่รายหนึ่ง และเป็นลูกหนี้รายใหญ่เสียด้วยนั่นก็คือรัฐบาล
"ตามพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2529 รัฐบาลตั้งเป้าว่าจะขอกู้จากเราเป็นเงินถึง
10,000 ล้านบาท แต่พอถึงจริง ๆ เราก็ต้องขอให้รัฐบาลกู้เพิ่มเติมอีก 4,000
ล้านบาท รวมเป็น 14,000 ล้านบาท รวมเป็น 14,000 ล้านบาท มาถึงปีนี้ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณปี
2530 ซึ่งกำลังพิจารณาอยู่ขณะนี้รัฐบาลตั้งเป้ากู้เราไว้ 13,000 แต่พอถึงเวลาจริง
ๆ เราก็คิดว่าคงจะต้องขอให้กู้เพิ่มขึ้นอีกนั่นแหละ อาจจะเป็นประมาณ 16,000
คงพอไหว"
หากจะพูดถึงเรื่องดวงก็เห็นจะต้องบอกว่าดวงของ ม.ร.ว. จันทร์แรมศิริโชค
ผู้นี้คงจะเฮงมากทีเดียว เพราะเพียงเริ่มงานที่ธนาคารนี้ได้ไม่ถึงปี สิ่งแวดล้อมภายนอกต่างๆ
ก็ช่วยให้ธนาคารสามารถดำเนินงานไปได้อย่างราบรื่นและมั่นคง ในขณะที่ธนาคารอื่น
ๆ ต่างก็ย่ำแย่ไปตาม ๆ กัน หรือถ้าหากจะพูดถึงเรื่องโชคก็เห็นได้ว่าปี 2529
นี้ในบรรดาธนาคารทั้งหลาย ธนาคารออมสินนับเป็นธนาคารที่โชคดีที่สุด แต่สำหรับตัวของ
ม.ร.ว. จันทร์แรมศิริโชคเองแล้วได้บอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า
"ถึงแม้เราจะเป็นธนาคารออมสิน แต่เราก็ประกอบธุรกิจธนาคารเช่นเดียวกันและธนาคารก็เหมือนกันหมดคืออยากระดมเงินออม
แล้วถ้าคุณดูประวัติของธนาคารพาณิชย์เมื่อสัก 30 ปีที่แล้วนี่ ในต่างจังหวัดแทบจะไม่มีสาขาเลย
แต่ออมสินมีสาขาต่างจังหวัดมากกว่า 70 ปีแล้วเพราะฉะนั้นมาร์เก็ตแชร์ออมสินเมื่อก่อนสูงมาก
เคยมีประมาณการเอาไว้ว่าเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วมามาร์เก็ตแชร์ออมสินอาจจะถึง
50 เปอร์เซนต์ก็ได้แต่ปัจจุบันนี้เราเหลือเพียง 8 เปอร์เซนต์กว่า ๆ เท่านั้น
ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเรามีเงื่อนไขหลายอย่างที่เสียเปรียบธนาคารพาณิชย์อยู่มากประกอบกับต้นทุนเราก็สูงเพราะเรามีบัญชีลูกค้าที่จะต้องดูแลอยู่
20 ล้านกว่าบัญชี เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเราอยู่ในฐานะที่สู้ธนาคารพาณิชย์เขาไม่ได้
แต่มาระยะนี้เกิดฟลุ๊คดอกเบี้ยต่าง ๆ เกิดลดกันลงมา คนก็หันมาสนใจในสลากออมสินกันมากขึ้น
เราก็ต้องถือโอกาสว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก"