การลงทุนระดับ 300 ล้าน สร้างออฟฟิศคอนโดมิเนียมกลางกรุง มิใช่เรื่องต้องตัดสินใจยากเย็นอะไร
สำหรับนักลงทุนในปี 2526 - 7 อันเป็นช่วงธุรกิจเช่นว่านี้บูมอย่างมาก แต่สำหรับ
"หวั่งหลี" แล้ว มันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของตระกูลทีเดียว
ตระกูลหวั่งหลีคิดจะทำโครงการนี้มาตั้งแต่ปี 2524 - 5 แต่กว่าจะสร้างเสร็จใน
PHASE ที่ 1 ก็ปาเข้าไปปลายปี 2528 โครงการสมบูรณ์แบบคาดกันว่าจะสำเร็จสมบูรณ์ในกลางปี
2530 เป็นอย่างเร็ว
เพราะเป็นโครงการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของตระกูลหวั่งหลีเท่าที่มีมา!
การศึกษาการเกิดของสาธรธานีจึงเป็นบทพิสูจน์อย่างดีในสิ่งที่สุวิทย์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าหวั่งหลีมีสไตล์การดำเนินธุรกิจค่อนข้างคอนเซอร์เวทีฟ
สุจินต์ หวั่งหลี ลูกคนที่ 10 อันเกิดจากตันซิวเม้งและทองพูน เป็นเจ้าของ
"ไอเดีย" ในการสร้างออฟฟิศคอนโดมิเนียมนี้ เขาได้นำความคิดนี้มาปรึกษาผู้นำของตระกูล
- - สุวิทย์ หวั่งหลี โดยชี้ให้เห็นความสำคัญอันเนื่องมาจากธุรกิจของตระกูลหวั่งหลี
- พูนผล ที่กระจัดกระจาย และต้องเช่าออฟฟิศอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารนครธน
ซึ่งถือกันว่าเป็นธนาคารพาณิชย์ของไทยแห่งแรกแห่งเดียวที่ไม่มีสำนักงานใหญ่โอ่อ่าเหมือนธนาคารแห่งอื่น
ๆ ในประเทศนี้
ไม่เพียงเท่านั้นกิจการในเครืออีกมากมาย เมื่อรวม ๆ กันแล้ว หาคนนอกมาเช่าอีกไม่มากนักเลย
ก็คุ้มแล้ว
สุวิทย์ไม่เห็นด้วยต้องลงทุนครั้งเดียวด้วยจำนวนเงินมากมายเช่นนี้ ตามแนวคิดของเขาชี้ชัดที่ธนาคารนครธนเป็นธนาคารเดียวที่ไม่มีนโยบายให้สินเชื่อแก่โครงการพัฒนาที่ดิน
- - บริษัทดำเนินธุรกิจบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม ศูนย์การค้า แต่ไหนแต่ไรมาแม้ในอนาคตอันใกล้จากนี้ไป
สุวิทย์ หวั่งหลี ก็ยืนยันว่าจะไม่ทำ อ้างว่าสินทรัพย์ของธนาคารไม่มากพอ
เมื่อสุจินต์ ทำแผนการตลาดอย่างคร่าวๆ มาแจงให้สุวิทย์ฟังและเชื่อตามในเปลาะแรก
ด่านต่อมาคือ ทำอย่างไรตระกูลหวั่งหลีจึงจะลงทุนน้อยตามเจตนาของสุวิทย์
สุจินต์ นับว่าเป็น INNOVATIVE ที่สุดคนหนึ่งของตระกูล มีวิญญาณนักเสี่ยงโชคในตัวมากที่สุดคนหนึ่งของตระกูลก็ว่าได้
ได้เสนอแนวคิดการร่วมทุนกับฝ่ายต่าง ๆ จากต่างประเทศ กลุ่มล่ำซำ โดยที่หวั่งหลีลงเงินเป็นที่ดินแทน
ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของโครงการสาทรธานี เดิมเป็นบ้าน 3 หลัง เลขที่ 90,
91 และ 92 ของสุวิทย์, สุกิจ และศุภชัย ตามลำดับ รวมเนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน
94 ตารางวา (ว่ากันว่าเป็นมรดกของตันซิวเม้งเป็นที่ดินอันได้มาจากตันลิบบ๊วยมีเพียงตกทอดแก่ลูกชายแค่
3 คนนี้เท่านั้น) ที่ดินตรงนี้ราคาตารางวาละเกือบแสนบาท คิดเป็นเงินทุนในโครงการนี้ย่อมเกินครึ่งอย่างแน่นอน
แผนต่อไปของสุจินต์ก็คือใช้บริษัทก่อสร้างซีเอเอส. ของพูนผลรับเหมาก่อสร้าง
เข้าทำนอง "เรือล่มในหนอง" อย่างแน่แท้
บริษัทสาธรธานีก่อตั้งเมื่อ 21 ธันวาคม 2525 ด้วยทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท
พูนผลถือหุ้นมากที่สุด 61% ธนาคารนครธน 10% ธนาคารกสิกรไทย 10% บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ทิสโก้
10% ไพเวท อินเวสเม้นท์ คอมปานี ฟอร์เอเชีย (พีดา) ของกลุ่มไมเนอร์โฮลดิ้ง
อันมีวิลเลี่ยม แอลวู๊ด เฮนเนคคี เป็นประธาน 9%
แต่กว่าจะมาถึงเปราะนี้ สุจินต์ต้องเหนื่อยเป็นพิเศษ และที่เหนื่อยมากคือการเสนอข้อมูลเพื่อเรียกเสียงสนับสนุนจากตระกูลหวั่งหลี
สุวิทย์ พูดถึงความสำเร็จของโครงการสาธรธานีซึ่งสามารถขายพื้นที่ในอาคารแรกได้
100% และ 40% สำหรับโครงการส่วนที่ 2 กำลังก่อสร้าง ว่าโครงการนี้เป็นออฟฟิศคอนโดมิเนียม
มิใช่ศูนย์การค้า ธุรกิจส่วนใหญ่พอใจ ซึ่งในย่านทำเลที่ดีมีเพียงสาธรธานี
ไทยวาทาวเวอร์ และรีเจ้นท์เฮ้าส์ ของสุเมธ เตชะไพบูลย์เท่านั้น อีกประการหนึ่งโครงการสาธรธานีค่อนข้างเล็ก
ผู้รู้เรื่องดีพูดถึงกลยุทธ์ของการขายพื้นที่ของตระกูลหวั่งหลีที่ลึกลงไปอีก
โดยเฉพาะพวกพูนผล เนื่องจากกลุ่มนี้มีธุรกิจพัฒนนาที่ดิน และบริษัทโฮลดิ้ง
คัมปานีของแต่ละคนอยู่แล้ว มีการตกลงกันในครอบครัวว่าพื้นที่เหลือจากเป็นสำนักงานธุรกิจหวั่งหลีและพูนผล
หรือคนเข้าซื้อในระยะโปรโมทแล้ว บริษัทของพวกเขาจะแบ่งกันซื้อจนไม่เหลือ
(ดังที่สุวิทย์บอกขายหมดแล้วนั่นเอง)
"บริษัทพีรกิจของคุณสุกิจ สมฤดีของคุณสายสุคนธ์ ฯลฯ เหมากันเป็นชั้นเลย
ที่นี้ใครจะมาซื้อทีหลังก็ต้องซื้อต่อบริษัทเหล่านี้ เอากำไรอีกทอดหนึ่ง"
เขาระบุ
มีบางบริษัทของพูนผล - - ประคองทรัพย์หันเหเข้าทำธุรกิจนี้อย่างเดียว มีรายได้หลักจากการโอนสิทธิ์อาคารสาธรธานีได้กำไรในปี
2528 ถึงเกือบ 6 ล้านบาท (งบการเงินที่ส่งกรมทะเบียนการค้า)
มันเป็นเรื่องดูง่าย ๆ ที่คนตระกูลหวั่งหลีทำให้ยาก ซึ่งนักธุรกิจกลุ่มอื่นไม่มีทางจะทำได้นั่นเอง!