ต้องยอมรับว่าบุคคลในกลุ่มพูนผล มีบทบาทในกลุ่มหวั่งหลีมากทีเดียว
พูนผลที่เป็นผู้ช่วยทุกคนคือหวั่งหลี นอกจากภาระหน้าที่อันหนักอึ้งแล้ว
คนโตของเขาต้องเป็นผู้นำหวั่งหลีในเมืองไทยด้วย หากพิจารณาตามนี้แล้ว มีเพียง
3 คนเท่านั้น (ที่เป็นผู้หญิง) ในรุ่นแรกในพูนผลไม่ถือว่าเป็นหวั่งหลี
ย้ำอีกที พูนผลคือธุรกิจที่เติบโตด้วยน้ำพักน้ำแรงของทองพูน ภรรยาหม้ายของตันซิวเม้งและลูกชาย
- หญิงของเขา
ทองพูน เป็นความภูมิใจอย่างมากของพูนผล!
และพูนผลโชคดีที่มีทายาทมาก ซึ่งดูเหมือนโชคร้ายของทองพูนในระยะแรกไม่มีประสบการณ์ธุรกิจต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อเลี้ยงพวกเขา
ให้การศึกษาพวกเขาอย่างเต็มกำลัง
ทองพูน - ตันซิวเม้งมีทายาท 12 คน ทุกคนมีลีลาชีวิตและการงานแตกต่างกันไป
เหมือน SYMPHONY อันมีอุปกรณ์ทุกชิ้นเข้ากันดีเป็นเพลงที่ไพเราะบทหนึ่ง
ประไพ พิศาลบุตร เป็นลูกสาวคนโตแต่งงานกับ ธนิต พิศาลบุตร อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงเทพฯ
พาณิชย์การ ซึ่งมีบทบาทช่วยเหลือพูนผลพอสมควร ในช่วงเริ่มแรกที่ทายาทผู้ชายยังอยู่ต่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมน้ำมันพืช
ประไพเป็นเจ้าของบริษัท ประไพและบุตร ดำเนินกิจการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่มากย่ายทุ่งมหาเมฆ
เพียงแค่เก็บดอกผลจากธุรกิจนี้ก็นับว่าสุขสบายพอประมาณแล้ว เธอเป็นพี่ใหญ่ของตระกูล
มีบทบาทดุจผู้กุมกฎ และประสานชีวิตประจำวันของหวั่งหลีปีกพูนผลให้มีชีวิตใกล้ชิดสนิทสนมกัน
หากไม่มีงานที่ไหน เธอจะอยู่โยง ณ ชั้น 19 อาคารสาธรธานี ซึ่งถูกจัดเป็นห้องครัวเล็กเพื่อทำอาหารสำหรับพูนผลในตอนกลางวัน
บ่อยครั้งทุกเที่ยงวันพวกเขาและเธอจะต้องพบกันที่นั่น!
และในปีหนึ่ง ประไพจะเป็นแม่งานจัดงานสังสรรค์นอกสถานที่สำหรับพวกพูนผล
ดังเช่นปี 2528 บนเรือซีทรานควีนท้องทะเลภาคใต้ เลยได้ดูการสร้างละครทีวีช่อง
3 ที่ดัดแปลงมาจาก DEATH OF THE NILE ไปด้วย
สุวิทย์ หวั่งหลี เป็นผู้นำของตระกูล พี่น้องเชื่อฟังและยอมรับเขาอย่างดุษฎี
เขาได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียสละเพื่อหวั่งหลีและพูนผลอย่างแท้จริง เขามีลูกสาวเพียงคนเดียว
ส่วนตัวของเขามีบริษัทฐาวรา ถือเป็นโฮลดิ้งคัมปะนี
เขาเป็นผู้นำตระกูลที่เข้มแข็ง และถือได้ว่าคอนเซอร์เวทีฟที่สุด เขาจบการศึกษาจาก
WARTON SCHOOL OF FINANCE AND COMMERCE ซึ่งคนนอกน้อยคนนักจะรู้ สุวิทย์พูดถึงตัวเองว่า
เป็นคนไม่ชอบสังคมหากไม่จำเป็น เวลาส่วนใหญ่จะอยู่บ้าน ฟังเพลง อ่านหนังสือ
ไม่ชอบเล่นกีฬา และไม่ชอบเดินทางไปต่างประเทศ "ผมเคยอยู่มานานแล้ว"
เขาบอก การพักผ่อนของเขานอกจากอยู่บ้านแล้วก็คือการเดินทางไปตากอากาศชายทะเล
พัทยา หรือชมดอกไม้ที่เชียงใหม่ ปัจจุบันกำลังขะมักเขม้นเรียนขับเครื่องบิน
นายธนาคารบางคนบอกว่า เขาเป็นผู้ดี และไม่ทะเยอทะยานทางธุรกิจ
สุกิจ หวั่งหลี คน ๆ นี้พี่น้องมองว่าเป็นคนพะบู๊ เป็นพ่อค้าเต็มตัว ลุยได้ทุกรูปแบบ
ไม่ชอบใส่สูท ส่วนใหญ่จะอยู่ในชุดพระราชทาน ท่าทีเป็นกันเองกับทุกคน เป็นคนที่ผู้สื่อข่าวเคารพนับถือ
และเป็นข่าวมากที่สุด โดยเฉพาะในช่วงเป็นนายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย แต่ในสายตาของพ่อค้าด้วยกัน
สุกิจกลับเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งในวงการค้ามันสำปะหลัง
สุกิจจบการศึกษาระดับโปลีเทคนิค ที่อังกฤษ เข้าเรียนรู้งานด้าน COMMODITY
ของกลุ่มพูนผลตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่ฝ่ายจัดซื้อ จนเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทพูนผลในปัจจุบัน
ว่ากันว่าในกลุ่มพูนผลบริษัทคือแหล่งรายได้สำคัญ และคนที่ทำกำไรมาก ๆ ในบริษัทนี้ก็คือ
สุกิจ หวั่งหลี
สุรพล หวั่งหลี เป็นคนตระกูลหวั่งหลีปีกพูนผลเพียงคนเดียวที่ไม่ได้ทำธุรกิจกับตระกูล
เขาจบการศึกษาจากเคมบริดจ์ ทำงานในธนาคารต่างประเทศมานาน ปัจจุบันเป็นผู้จัดการสาขาลอนดอนของธนาคารไทยพาณิชย์
ตั้งรกรากที่นั่นเลย ในประเทศไทยเขาเป็นเพียงผู้ถือหุ้นในหวั่งหลี
ศุภชัย หวั่งหลี จบการศึกษาด้านวิศวกรรม จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เมื่อกลับมาเมืองไทย
ปีกพูนผลจึงตั้งบริษัทซีอีเอส ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เขาจึงได้รับมอบหมายให้ดูแลกิจการนี้มาแต่ต้น
บริษัทซีอีเอสมีผลงานการก่อสร้างไม่น้อยในยุคแรก ๆ ตั้งแต่ก่อสร้างโรงแรมเพรสซิเด้นท์
ธนาคารนครหลวงไทย สำนักงานใหญ่ ธนาคารทหารไทย ตึกสองธนาคารไทยพาณิชย์ แต่กิจการในระยะ
1 - 2 ปีนี้กลับปักหัวลงอย่างน่าใจหาย
สุชาติ หวั่งหลี เป็นคนเงียบดูบทบาทไม่มากนัก ไม่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ
ปัจจุบันรับผิดชอบบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พูนพิพัฒน์ อีกคนที่มีลักษณะคล้ายกันคือ
สุเทพ เป็นกรรมการคนหนึ่งของพูนผล ส่วนตัวมีกิจการพัฒนาที่ดินและทำส่งออกการ์เม้นท์
ชื่อบริษัท บัวขาว
สุจินต์ หวั่งหลี เคยเรียนวิศวกรรม ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบไม่จบที่นี่กลับไปจบที่อื่น
ๆ เขาได้ชื่อว่าเป็น INNOVATIVE คนหนึ่งในกลุ่มพูนผล หลังจากกลับมาเมืองไทย
เขาเป็นคนฟื้นฟูกิจการประกันภัยของกลุ่มหวั่งหลี จากแค่มีใบอนุญาตจนประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง
เขาเป็นคนบุกเบิกธุรกิจประกันภัยต่อให้กับวงการประกันภัยในประเทศไทย เคยเป็นนายกสมาคมประกันวินาศภัยอายุน้อยมากติดต่อกัน
2 สมัย
เขาเป็นคนนำพูนผลไปร่วมทุนในบริษัทไทยพาณิชย์ประกันภัย
สุจินต์ เป็นนักเสี่ยงโชคคนหนึ่งของตระกูล เวลาว่างเขามักจะขลุกอยู่ที่สนามกีฬาแถว
ๆ นางเลิ้ง ว่ากันว่าบริษัทประกันภัยของเขาถึงกับลงทุนออกกรมธรรน์ประกันสัตว์บางชนิดเป็นพิเศษ
สุรจิตต์ หวั่งหลี เป็นคนคอนเซอร์เวทีฟที่สุด 1 ใน 2 คน (อีกคนสุวิทย์ หวั่งหลี)
จึงได้รับมอบหมายคุมงานด้านการเงินและบัญชีของกลุ่มพูนผล
สุพจน์ หวั่งหลี เป็นน้องคนสุดท้อง ที่หัวใหม่เป็นนักเสี่ยงโชคและ INNOVATOR
มากที่สุดตามวัย เขาได้ชื่อว่าเป็น SOYBEAN - MAN หลังจากกลับจากเมืองนอก
ธนิต พิศาลบุตร พี่เขยได้ชวนไปทำงานฝ่ายจัดซื้อวัตถุดิบในบริษัทอุตสาหกรรมวิวัฒน์
ผลิตน้ำมันพืชทิพ (อันเป็นผลงานที่ภาคภูมิใจมากของ ธนิต พิศาลบุตร ตราบทุกวันนี้)
จาคยุคแรกที่ขาดทุนมาก ๆ จนมาเป็นกำไรมาก ๆ เขามีวิญญาณผู้ประกอบการจึงแยกตัวออกมาตั้งบริษัทธนากร
ร่วมทุนระหว่างพูนผลกับล็อกเลย์ ผลิตน้ำมันพืชกุ๊ก เขาเจนจัดงานหาวัตถุดิบและเป็นผู้ส่งเสริมการปลูกถั่วเหลืองในประเทศไทยคนหนึ่ง
สุพจน์ จบวิศวกรรมจากสหรัฐ งานของเขาส่วนใหญ่อยู่ที่ปีกพูนผลและก็คืองาน
DIVERSIFIED ธุรกิจสู่อุตสาหกรรมการเกษตร โครงการใหม่ผลิตแป้งมันสำเร็จรูปเพื่ออุตสาหกรรม
(โมดิฟายด์สตาร์ช) เป็นผลงานล่าสุด
สายสุคนธ์ เคยใช้นามสกุลจ่างตระกูลอยู่พักหนึ่ง และกลับมาใช้หวั่งหลีตามเดิม
เธอเป็นลูกสาวคนสำคัญและมีบทบาทอย่างมากคนหนึ่งของพูนผล รับผิดชอบงานด้านพัฒนาที่ดิน
โดยเฉพาะโครงการที่รังสิตอันมีโรงภาพยนตร์ ตลาด และที่พักอาศัยจำนวนมาก ส่วนตัวเธอมีโครงการที่อยู่อาศัยใหญ่มาก
เป็นที่รู้จักกันดีคือ สวนหมากอพาร์ทเม้นท์
สุภาพรรณ ลูกสาวคนเดียวของตันซิวเม้ง - ทองพูนที่ไม่อยู่เมืองไทย เธอแต่งงานกับชาวฮ่องกง
เลยพำนักอยู่ที่นั่นตลอดมา
ปัญหาของหวั่งหลีรวมทั้งปีกพูนผลที่เหมือนกันก็คือทายาท ทายาทในรุ่นที่
5 ที่เป็นหวั่งหลี ลูกชายสุกิจ หวั่งหลี อายุมากที่สุดในรุ่นก็เพียง 23 ปีเท่านั้น
ส่วนปีกพูนผล พิมประไพ ลูกสาวธนิต - ประไพ อายุมากที่สุด 30 ปี ปัจจุบันทำงานเป็นผู้จัดการทั่วไปบริษัท
สาธรธานี และดนัยธนิต พิศาลบุตร น้องชายอายุ 29 ปี เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่ออาวุโส
ธนาคารนครธน หลังจากต้องระเห็จออกจากบริษัทการเงินในเครือธนาคารกรุงเทพฯ
พาณิชย์การที่ฮ่องกงตามบิดา
ด้านหวั่งหลี สุวิทย์ หวั่งหลี ได้เตรียมแก้ปัญหาอนาคตไว้แล้ว (กล่าวมาแล้วตอนต้น)
ปีกพูนผลเริ่มใช้ลูกหม้อเก่าแก่ กับนักบริหารมืออาชีพเข้ามาบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการใหม่
ๆ ซึ่งในสายตาคนนอกแล้วมองว่ายังนับได้ว่าเป็นยุคเริ่มต้น เมื่อเทียบกับธุรกิจที่ก้าวหน้าไปมาก
เพราะว่าแนวคิดระบบครอบครัวยังฝังแน่นในผู้นำรุ่นที่ 4 สุวิทย์ พูดประโยคที่ชัดเจนมากกับ
"ผู้จัดการ" เมื่อถูกถามถึงปัญหาอนาคต
"พวกผมลูกน้อยซะด้วย..ไม่มีลูกแล้วจะทำอย่างไร มองการณ์ไกลอย่างไรก็ทำไม่ได้