กิตติ หวั่งหลี เป็นลูกชายของตันลิบบ๊วย เกิดจากภรรยาที่สองเป็นคนไทยชื่อแจ่ม
กิตติ เป็นลูกคนสุดท้อง ที่แม่รักมากที่สุด
ว่ากันว่าคุณนายแจ่มไม่พอใจที่ลูกชายคนโต - - ชลิต เนื่องจากมีภรรยาเป็นคนจีน
จึงเป็นที่สันนิษฐานกันว่าเป็นสาเหตุที่ทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของสายนี้ถึงตกทอดมาถึงกิตติเสียส่วนใหญ่
สำคัญที่สุดก็คือบ้านหวั่งหลี บนเนื้อที่เกือบ 30 ไร่ ที่ท่าน้ำวัดทองธรรมชาติ
อันเป็นบ้านเก่าแก่ที่สุดหลังหนึ่งในประเทศไทย ตันลิบบ๊วยเป็นคนสร้างไม่ต่ำกว่า
50 ปีแล้ว
ในบรรดาทายาท GENERATION ที่ 3 ส่วนใหญ่ร่ำเรียนอย่างมากที่ฮ่องกง แต่กิตติเป็นคนเดียวที่บุกน้ำข้ามทะเลไปเรียนถึงอังกฤษ
เป็นยุคแรก ๆ ที่คนไทยมีเงินเริ่มส่งลูกไปเรียนที่นั่น เขาเรียนจบรุ่นเดียวกับประจิตร
ยศสุนทร ประธานกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ที่เบอร์มิงแฮม
แต่น่าเสียดายที่เขาเรียนจบมาแล้วกลับไม่ได้ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาทำประโยชน์เลย!
เขาเป็นช่างภาพที่เก่งมาก ๆ เขาก็หอบกล้องไลก้า เดินท่อม ๆ ไปทุกหนทุกแห่งดุจคนธรรมดาสามัญ
โดยไม่แสดงตัวว่าเป็นคนร่ำรวยแต่อย่างใด บ่อยครั้งเขาสวมรองเท้าแตะ นั่งรถยนต์ญี่ปุ่นคันเล็ก
ๆ
บทบาทในกลุ่มธุรกิจ กิตติเป็นเพียงกรรมการในบริษัทหวั่งหลี หวั่งหลีโฮลดิ้ง
และนวกิจประกันภัย กรรมการที่มาประชุมในคราวประชุมใหญ่ แต่บ่อยครั้งเขาจะเดินเข้ามาในที่ทำงานของบริษัทต่าง
ๆ เหล่านั้น ดุจเจ้าของกิจการ จะต้องมีคนมาแนะนำพนักงานใหม่ ๆ ให้รู้จัก
และเมื่อเขาเข้าในสำนักงานคราใด พนักงานก็ต้องนั่งเกร็งกันพอประมาณ
กิตติได้มรดกเป็นที่ดินมากที่สุด ในย่านฝั่งธนฯ ย่านเติบโตของธุรกิจหวั่งหลีดั้งเดิม
ย่านสุขุมวิทปากซอยนานา ติดกับศูนย์การค้าซิตี้แลนมาร์ค ย่านถนนสุรวงศ์ หากจะนับรวมที่ดินก็คงไม่ถึง
100 ไร่ แต่ทว่าทำเลของที่ดินเหล่านี้ดีที่สุดเท่าที่หวั่งหลีและพูนผลมี
"ที่สำนักงานสมาคมการค้ามันสำปะหลัง ริมถนนสาธร ก็เป็นของเขา"
คนในวงการบอกถึงเจ้าของตัวจริง เพราะที่ผ่านมารู้กันคร่าว ๆ ว่าเป็นของหวั่งหลี
คนฟังก็นึกถึงสุกิจ หวั่งหลี ทุกคราไป เพราะเขาเป็นนายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังติดต่อกันหลายสมัย
เพราะความเป็นคนเก็บตัวมาก ๆ จึงไม่ใคร่มีใครรู้จัก แต่หากใครจะคิดจะเช่าที่ดินของเขาก็ต้องรู้จักเขามิฉะนั้นจะมีปัญหา
ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่ร้านอาหาร "เธอ" บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่
เมื่อกิจการไม่ใคร่จะดี เจ้าของต้องการจะให้พิซซ่าฮัทมาเช่าต่อ มร. เฮนเนคดี
แห่งกลุ่มไมเนอร์โฮลดิ้ง เจ้าของพิซซ่าเห็นว่าทำเลดีจึงเข้าไปเช่าต่อทันที
วันหนึ่ง ชายค่อนชีวิตคนหนึ่งแต่งกายธรรมดาเรียบง่ายเข้าไปในร้านพิซซ่าฮัท
ชายชราคนนี้แปลกใจอย่างมากว่าเกิดอะไรกับร้าน "เธอ" จึงกลายมาเป็นพิซซ่าฮัท
เขาเรียกพนักงานพิซซ่าฮัทมาแจ้งความจำนงต้องการพบผู้จัดการ เฮนเนคดีจึงได้ไปพบ
"ทำไมคุณถึงเข้ามาอยู่ที่นี่ได้" ประโยคแรกที่ กิตติ หวั่งหลี
ถามเฮนเนคดี
ด้วยที่เฮนเนคดีไม่ทราบว่าคือ กิตติ หวั่งหลี และเจ้าของที่ดินที่ตั้งร้านพิซซ่าฮัทของเขา
การสนทนาจึงออกไม่สบอารมณ์กิตติ ปรากฏในเวลาต่อมาว่า พิซซ่าฮัทต้องย้ายออกที่ตรงนั้น
แม้ว่าเฮนเนคดีจะถือได้ว่ารู้จักคบค้าทางการค้ากับหวั่งหลีเป็นเวลานาน กับGENERATION
ที่ 4 แต่พวกเขาเหล่านั้นช่วยอะไรไม่ได้ แม้แต่สุวิทย์ หวั่งหลี เอง
วันนี้ กิตติ หวั่งหลี ก็ยังเป็นคนลึกลับเหมือนเดิม ทายาทของเขาที่สืบทอดมรดกต่อจากเขาคือ
ชลันต์ หวั่งหลี บุคลิกดูไม่ต่างผู้เป็นพ่อเท่าใด ปัจจุบันเขาคือเจ้าของบ้านหวั่งหลีที่ตกทอดเป็นทอด
ๆ มา
เรื่องของกิตติ และชีวิตของเขา หากถาม ทำนุ และธรรมนูญ หวั่งหลี จะไม่ได้คำตอบอะไรเลย!