Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กรกฎาคม 2554
“น้ำกรด” อาวุธของใจราคาถูก             
โดย ติฟาฮา มุกตาร์
 


   
search resources

Social




ค่ำปลายเดือนเมษายน ข่าวสะเทือนขวัญสะพัดไปทั่วศานตินิเกตัน ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งถูกสาดด้วยน้ำกรดโดยชายสองคนที่ขับรถมอเตอร์ไซค์โฉบมา ชายหนุ่มบาดเจ็บไม่มากแต่หญิงสาวอาการสาหัส น้ำกรดอาบกัดตลอดลำตัวด้านหน้า สัปดาห์ต่อมาแม้เธอจะพ้นขีดอันตรายแต่บาดแผลทั้งทางใจและกายยังฝังลึก คนร้ายยังลอยนวล ชาวบ้านคาดเดาว่าเป็นเรื่องพิษรักแรงหึง กระนั้นไม่มีใครคาดคิดว่าชุมชนที่สงบและสันติอย่างศานตินิเกตัน ที่ซึ่งกวีและนักการศึกษาชาวเบงกาลี รพินทรนาถ ฐากูรวาดหวังให้เป็น ‘รวงรังแห่งโลก’ จะเกิดเหตุเหี้ยมเกรียมเช่นนี้ในปีแห่งการฉลองครบ 150 ปีชาตกาลของท่าน และผู้คนไม่น้อยก็ตระหนักว่า การทำร้ายด้วยน้ำกรดไม่ใช่แค่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อีกต่อไป

การสาดน้ำกรดส่วนใหญ่เป็นการทำร้ายที่มุ่ง ให้เหยื่อเสียโฉมมากกว่ามุ่งเอาชีวิต มักเล็งเป้าที่ใบหน้าและลำตัวด้านหน้า เป็นการทำร้ายโดยเจตนา และมีการวางแผนล่วงหน้า มากกว่าเป็นเรื่องอารมณ์ ชั่ววูบอย่างที่คนเข้าใจ ความรุนแรงของบาดแผลขึ้นกับปริมาณและความเข้มข้นของกรด กรดจะกัดผิวหนังเกิดเป็นแผลย่นไหม้ บางรายอาจทะลุเข้าไปถึงกระดูก ผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่จะมีแผลเป็นถาวร ตาบอด อวัยวะบางส่วนผิดรูป บางรายถึงกับเสียชีวิต

เหตุสาดน้ำกรดพบมากในกัมพูชา บังกลาเทศ อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย จากการศึกษาพบว่าเหยื่อร้อยละ 80 เป็นผู้หญิง ในกัมพูชาพบว่าน้ำกรดเป็นอาวุธที่ภรรยาใช้แก้แค้นชู้รักของสามี ส่วนปากีสถานสถานการณ์กลับกัน เพราะคนลงมือส่วนใหญ่เป็นสามีที่ต้องการแก้แค้นภรรยาที่ทำให้ตน ‘เสียเกียรติ’ ซึ่งในที่นี้ไม่ใช่เฉพาะการนอกใจ หลายกรณีเป็นเพราะภรรยาต้องการหย่าหรือแยกทาง รวมถึงแสดงอาการปีกกล้าขาแข็ง เช่น ออกไปทำงานนอกบ้านมีรายได้เป็นของตนเอง ในบังกลาเทศก็มีลักษณะคล้ายกันคือเป็นรูปแบบหนึ่งของความรุนแรงในครัวเรือน

สำหรับอินเดีย ปัญหานี้ยังไม่ได้รับความสำคัญนักจึงไม่มีการสำรวจสรุปตัวเลขอย่างเป็นทางการ กระนั้นสื่อและเอ็นจีโอบางกลุ่มที่เริ่มจับตาปัญหานี้มีความเห็นว่าตัวเลขกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ โดย ผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ปฏิเสธความประสงค์หรือยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของฝ่ายชาย เช่น ภรรยาที่ต้องการแยกทางจากสามี ภรรยาที่ปฏิเสธจ่ายค่าสินสอด ผู้หญิงที่ขัดขืนการล่วงละเมิด ทางเพศโดยเจ้านาย เพื่อนบ้าน หรือคนรู้จัก ผู้หญิง ที่บอกเลิกกับแฟน หรือบอกปฏิเสธคนที่มาชอบพอ ฯลฯ นัยหนึ่งคนที่ลงมือหรือจ้างวาน ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ชิดหรือรู้จักตัวเหยื่อ และการเลือกใช้น้ำกรด เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า ถ้าเธอไม่ยอมเป็นของฉันก็อย่าคิดไปเป็นของใครอื่น

Arti Shrivastav อายุ 18 ปี เมื่อเธอโดน Abhinav Mishra เพื่อนชายที่มาตามจีบสาดน้ำกรด ฤทธิ์รุนแรงของกรดกัดกินเข้าไปถึงกะโหลกศีรษะ นอกจากเสียโฉม เธอยังสูญเสียสมรรถภาพการฟัง และหลับตาไม่ได้แม้ตอนหลับอยู่เป็นเวลาหลายปีในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เธอทำศัลยกรรมพลาสติกมาแล้ว 5 ครั้ง รวมค่ารักษาพยาบาลกว่า 1.6 ล้านรูปี ที่สำคัญอารตีสูญเสียความมั่นใจ หวาดผวา และกลายเป็นคนเก็บตัว ส่วน Abhinav ซึ่งสารภาพเมื่อ โดนจับกุมว่า ต้องการแต่งงานกับอารตี และคิดว่าหากเธอเสียโฉมก็จะไม่สามารถรับรักใครได้อีกนอกจากตน เขาเรียนต่อจนจบ MBA แต่งงานและย้ายไปอยู่เมืองอื่น กระทั่งคดีถึงที่สิ้นสุดเมื่อปี 2009 เขาถูกตัดสินจำคุก 10 ปีและเสียค่าปรับเป็นเงิน 5 แสนรูปี แต่หลังจำคุกอยู่เพียงปีเศษ เขาก็ยื่นขอฑัณฑ์บนและเป็นอิสระอีกครั้ง

Nagamma อยู่กินกับ Shiva เป็นเวลาสองปีโดยไม่ได้แต่งงาน เมื่อ รู้ตัวว่าเขาไม่ได้คิดจะจริงจังจึงไปสมัครงานและได้งานทำ แต่ศิวะกลับโกรธและทุบตี นากัมมะจึงหนีกลับไปอยู่บ้านพี่สาว เขาก็ตาม ไปข่มขู่ให้กลับมาอยู่กับตน เมื่อเธอปฏิเสธ ในตอนกลางคืนที่ทุกคนหลับ เขาแอบปีนขึ้นไปบนหลังคาและเทน้ำกรดราดลงบนตัวนากัมมะ เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาสามเดือนต่อมา

Haseena Hussain อายุ 19 ปี ขณะที่ทำงานกับบริษัทซอฟต์แวร์ของ Joseph Rodrigues เมื่อเห็นว่าบริษัทขาดทุนและทำท่าจะไม่จ่ายเงินเดือนพนักงาน เธอจึงลาออกและไปทำงานกับบริษัท แห่งใหม่ นายโจเซฟตามมาเรียกตัวเธอกลับไป แต่ฮาซีน่าปฏิเสธ วันหนึ่งเขาจึงมาดักรอและใช้กรดซัลฟุริกสองลิตรราดลงบนศีรษะของเธอ ฮาซีน่าเสียโฉมรุนแรงจากใบหน้าลำตัวไปจนถึงสะโพก ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดถึง 13 ครั้ง และตาบอดถาวร

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮาซีน่า เมื่อปี 1999 ในรัฐกรณาฏกะ กลายเป็นข่าวสะเทือนขวัญ ทำให้สื่อและเอ็นจีโอเริ่มให้ความสนใจกับปัญหานี้ เมื่อมีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันซ้ำอีก 2 รายในช่วงเวลาไม่กี่เดือน เอ็นจีโอหลายหน่วยงานจึงได้ประสานความร่วมมือ ก่อตั้ง The Campaign and Struggle Against Acid Attacks (CSAAAW) ขึ้นในปี 2003 มีเป้าหมายการทำงานเพื่อยุติการทำร้ายด้วยน้ำกรด และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เคราะห์ร้าย ซึ่งถือเป็นหน่วยงานเดียวในอินเดียที่ทำงานด้านนี้

จากการศึกษาของ CSAAAW พบว่าปัจจัยหนึ่งที่เอื้อแก่อาชญากรรมชนิดนี้ คือการที่กรดหลายชนิดจำหน่ายโดยเสรีและมีราคาถูก บางชนิด ขายอยู่เพียงลิตรละ 10 รูปี ซื้อ ได้ตามร้านขายวัสดุก่อสร้างแม้แต่ตามบาทวิถี ทางกลุ่มจึงเรียกร้องให้มีทางการออกกฎหมายควบคุมการซื้อขายกรด แต่หลายฝ่ายเห็นว่าทำได้ยาก เพราะกรดต่างๆ อาทิ กรดซัลฟุริก ไฮโดรคลอริก ไฮโดรฟลูโอริก ฟีนอล ฯลฯ เป็นกรดที่ใช้กันในงานหลายลักษณะ นับจากช่างทอง อู่ซ่อมรถ งานก่อสร้าง จนถึงบรรดาแม่บ้านเอง

ในแง่กฎหมาย อินเดียยังไม่มีกฎหมายและบทลงโทษการทำร้ายด้วยน้ำกรดโดยตรง ทำให้ไม่มีการบันทึกสถิติคดีแยกจากคดีทำร้ายร่างกายอื่นๆ จากรายงานโดยคณะกรรมาธิการด้านกฎหมาย แห่งชาติพบว่า คดีส่วนใหญ่ศาลพิพากษาด้วยบทลงโทษสถานเบาเกินไป และแนะนำให้เพิ่มบทลงโทษ เป็นการจำคุกจาก 5 ปี เพิ่มเป็น 10 ปีขึ้นไปจนถึงตลอดชีวิต และเพิ่มค่าปรับเป็นอย่างน้อย 1 ล้านรูปี โดยมอบค่าปรับนั้นแก่ผู้ถูกกระทำในคดี กระนั้น เครือข่ายทนายความแห่งชาติได้แสดงความเห็นคัดค้านต่อรายงาน โดยเห็นว่าน่าจะเพิ่มโทษจนถึงขั้นประหาร เช่นเดียวกับบังกลาเทศ

รายงานของ CSAAAW แสดงถึงปัญหาสำคัญอีกแง่มุม คือปัญหาด้านการรักษาพยาบาลและการเยียวยาด้านจิตใจ ซึ่งการสัมภาษณ์ผู้เคราะห์ร้ายที่รอดชีวิต 14 ราย พบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้รับการรักษาพยาบาลที่ทันท่วงทีและถูกวิธี หนึ่ง เพราะหมอพยาบาลไม่มีประสบการณ์ สอง เพราะไม่มีเงินค่ารักษา เช่นกรณีของฮาซีน่า เธอต้องนอนทนพิษบาดแผลอยู่เป็นเวลาสองวัน โดยที่มีหมอพยาบาล ไม่ยอมแม้แต่ทำแผลเบื้องต้น เพราะไม่มีเงินค่ารักษา ขณะเดียวกันผู้หญิงที่โดนสาดด้วยน้ำกรดมักไม่ได้รับความเห็นใจจากคนรอบข้าง หลายคนรอดชีวิตแต่ต้องสูญเสียชีวิตและศักดิ์ศรี ความบอบช้ำทางจิตใจนั้นไม่น้อยไปกว่าผู้หญิงที่ถูกข่มขืน และทางร่างกายนั้นมันเป็นบาดแผลถาวรที่ทำให้โดนไล่ออกจากงาน โดนสามีหรือคนรักทิ้ง ไม่มีคนยอมรับเข้าทำงาน

หากอินเดียต้องการแก้ปัญหานี้ สิ่งสำคัญที่ควรแก้คือทัศนะแบบชายเป็นใหญ่ และความคิดเรื่องศักดิ์ศรีลูกผู้ชายแบบผิดๆ ขณะเดียวกันสังคมควรมองการทำร้ายด้วยน้ำกรดให้พ้นไปจากเรื่องพิษรักแรงหึง ควรตระหนักว่าเป็นอาชญากรรมที่กระทำโดยคนขี้ขลาด ลงมือโดยเจตนา เลือดเย็นและเหี้ยมเกรียม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us