Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ธันวาคม 2529








 
นิตยสารผู้จัดการ ธันวาคม 2529
ความเห็นผู้จัดการ             
โดย สนธิ ลิ้มทองกุล
 


   
search resources

สุราทิพย์, บจก.
Economics
ธานินทร์อุตสาหกรรม




การเขียนความเห็นตบท้ายเรื่องของเขานี้ดูจะเหน็ดเหนื่อยและยากเย็นกว่าการเขียนเรื่องหลักเสียอีก เพราะผมเองต้องอ่านข้อมูลศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและพูดคุยกับคนหลายๆ คนในจำนวนมากก่อนที่จะสรุปอะไรต่ออะไรออกมา

การจะเขียนความเห็นเรื่องนี้ ผมได้ยึดถือเอาความถูกต้องกติกาและกฎเกณฑ์ในทางธุรกิจเอาไว้เป็นหลัก ในการเขียนครั้งนี้ผมต้องยอมรับว่า ผมเขียนด้วยความหงุดหงิดอย่างเต็มประดา

ที่ว่าหงุดหงิดเป็นเพราะว่า ผมเขียนไปผมมีคำถามที่คำตอบที่ถูกต้องมันมีอยู่แล้วแต่ว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมันกลับเป็นอีกอย่าง และเรื่องนี้ถ้าเราไม่แก้ไขกันแล้วมันน่ากลัวมาก เพราะมันจะเป็นชนวนบอกเหตุถึงอนาคตของประเทศนี้ที่เรากำลังหาทางแก้ไขจากผิดให้เป็นถูก คำถามมีอยู่มากเช่น

...หลักเกณฑ์ในการค้าขายกับราชการในการประมูลนั้นจะยึดถือว่าเมื่อผู้ประมูลรับทราบเงื่อนไขต่างๆ และเซ็นสัญญากับทางราชการแล้วจะต้องยึดถือสัญญาโดยเคร่งครัด หรือมีข้อยกเว้นที่ทางราชการสามารถผ่อนปรนและถึงจุดจุดหนึ่งสามารถให้แก้สัญญาได้? เราจะเลือกเอาแบบไหน?

การที่กลุ่มสุราทิพย์ประมูลทำสุราในโรงงานสุรา 12 เขตของกระทรวงการคลังได้แต่ผู้เดียวโดยเสนอให้สิทธิค่าตอบแทนตลอดจนการสร้างโรงงานทั้ง 12 โรง ให้รัฐบาลเพื่อแลกกับการที่ตัวเองจะมีสิทธิในการดำเนินการโรงงานสุราทั้ง 12 โรงแต่ผู้เดียวนั้นก็เป็นการแลกเปลี่ยนกันโดยชอบธรรมแล้วเพราะ

ก) กลุ่มสุราทิพย์คือกลุ่มนักธุรกิจที่หวังผลกำไร การเสนอตัวเลขมาก็ย่อมแสดงว่าทางผู้บริหารกลุ่มสุราทิพย์ย่อมรู้แก่ใจว่าต้นทุนตัวเองเท่าไร? และเสนอราคามาเท่านี้จะทำได้หรือไม่ได้?

ฉะนั้นการมาขอแก้สัญญาทีหลังโดยอ้างสาเหตุนานาประการย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าเจตนาการประมูลครั้งแรกนั้นไม่บริสุทธิ์

ข) ถ้าจะมีการแก้สัญญาก็จะไม่เป็นธรรมแก่ผู้ประมูลรายอื่นที่แพ้ไป เพราะผู้ประมูลรายอื่นก็สามารถจะให้ค่าตอบแทนแก่รัฐในราคาสูงได้เช่นกัน ถ้ารู้ว่าสามารถจะแก้สัญญาและได้รับความช่วยเหลือจากรัฐภายหลังดังเช่นกลุ่มสุราทิพย์กำลังจะได้อยู่


ถ้ารัฐบาลยังเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ในเรื่องนี้ก็แสดงว่า

ก)เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้โดยตรงตลอดจนนักการเมือง ที่วิ่งเต้นเรื่องนี้ต่างก็ได้รับผลประโยชน์เป็นสินจ้างรางวัลในการช่วยเหลือผู้ผิดสัญญาหรือไม่


ค) รัฐบาลเองก็น่าจะออกเป็นกฎเกณฑ์ให้ใช้กันได้ทั่วไปทุกหน่วยงานว่า การประมูลอะไรก็ตามถึงแม้ว่าจะเซ็นสัญญากันในเงื่อนไขข้างต้นแล้วก็สามารถจะแก้ไขสัญญาได้ ถ้าผู้ประมูลไม่สามารถจะกระทำตามสัญญาได้จะได้ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป


หากไม่ใช่เช่นนี้แล้วกติกาทางธุรกิจก็จะตกอยู่ในสภาวะของใครมีเงินมีอำนาจมีสายสัมพันธ์ก็สามารถจะทำอะไรก็ได้ เพียงเพื่อให้กลุ่มตัวเองได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ความถูกต้องในวงการธุรกิจที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราควรจะมีก็ไม่มีและมันก็จะไม่ต่างไปกว่าการส่งเสริมให้เรามี " อั้งยี่ในวงการธุรกิจ"

...ความเป็นธรรมในการปฏิบัติของราชการกับประชาชนมีการแบ่งชนแบ่งชั้นกันใช่หรือไม่? บริษัทห้างร้านที่ค้างภาษีอากรของรัฐก็จะถูกรัฐดำเนินคดีฟ้องร้องยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดทันที

ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งค้างภาษีอากรเช่นกันเป็นพันๆ ล้าน แต่กลับได้รับการอะลุ้มอล่วยจากหน่วยงานของรัฐตลอดจนกระทรวงการคลังอย่างออกหน้าออกตา

ไม่ทราบว่าประเทศนี้มีหลักเกณฑ์การแบ่งประชาชนออกเป็น "ผู้มีอิทธิพล คนร่ำคนรวย" กับ "ประชาชนธรรมดา" หรือ?

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าจะประกาศออกมาในราชกิจจานุเบกษาให้มันรู้เช่นเห็นชาติกันไปเลย อีกหน่อยมีเรื่องราวที่ไม่เป็นธรรมออกมาประชาชนชั้นธรรมดาก็จะได้ไม่ต้องโอดครวญขอความเป็นธรรมก็จะก้มหน้ารับกรรมต่อไป!

...ระหว่างกลุ่มสุราทิพย์ที่มีปัญหากับปัญหาของบริษัทธานินทร์อุตสาหกรรม รัฐบาลควรช่วยใครบ้าง?

ธานินทร์อุตสาหกรรมเริ่มจากอุตสาหกรรมครอบครัวของตระกูลวิทยะสิรินันท์ มีมานะสร้างโรงงานผลิตวิทยุเพื่อขายแข่งกับสินค้าต่างประเทศ จนกระทั่งสามารถส่งออกได้ และต้องแข่งกับโรงงานอุปกรณ์ไฟฟ้าของต่างประเทศที่เข้ามาตั้งในไทย เขาได้พัฒนาเทคโนโลยีด้วยตัวเขาเอง เขาได้สร้างโรงงานให้คนไทย พัฒนาฝีมือแรงงาน ผลิตสินค้าที่พัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนและส่งออกไปขายต่างประเทศ นำเงินตราต่างประเทศเข้ามา ทั้งหมดนี้รัฐบาลไม่เคยช่วยเขาสักแอะเดียว ทั้งๆ ที่เขาเคยเรียกร้องให้ช่วยแต่ทุกคนเป็นบี้บอดใบ้ไปหมด ส่วนกลุ่มสุราทิพย์นั้นเป็นพ่อค้าที่จัดธุรกิจด้วยการประมูลเพื่อผูกขาด (เหล้าต่างประเทศไม่ได้มีโอกาสมาตั้งโรงงานผลิตเหล้าแข่งกับเหล้าไทยเหมือนโรงงานโซนี่ ซันโย ฯลฯ ที่มาตั้งในไทยแข่งกับธานินทร์) การขายนอกจากจะขายสินค้าเหล้าที่ฆ่าคนแล้วตัวเองยังได้รับการชดเชยภาษีจากกระทรวงการคลัง ในห้าปีแรกพอมีปัญหาก็ไม่จ่ายภาษีรัฐก็โอนอ่อนผ่อนปรน พออยากแก้สัญญาใหม่รัฐก็แบะท่าให้

ก็ไม่ทราบว่าสาธุชนที่รักความเป็นธรรมเปรียบเทียบแล้วจะรู้สึกอย่างไรบ้าง?

...ตัวเลขที่สับสนและอำพรางนั้นแท้ที่จริงแล้วติดค้างหนี้สินกันเท่าไรกันแน่?

หนี้สินทั้งหมดประมาณ 20,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นดังนี้ :-

1. 5,088 ล้าน จ่ายเป็นเงินมัดจำค่าสิทธิประโยชน์ตอนประมูลได้ (เงินก้อนนี้ไม่สูญเพราะรัฐต้องจ่ายคืนให้ผู้ประมูลได้ภายใน 5 ปี)2. 5,000 ล้าน กู้มาสร้างโรงงาน 12 โรง (หนี้ก้อนนี้แปลงออกเป็นสภาพทรัพย์สินที่ธนาคารแบ่งกันยึดสิทธิเอาไว้ตามจำนวนเงินสินเชื่อของแต่ะธนาคาร)

3. 5,000 ล้าน กู้มาเพื่อซื้อสุราค้างสต็อกจำนวน 7.8 ล้านเท (หนี้ก้อนนี้ก็แปลงสภาพเป็นสุราซึ่งเมื่อขายไปแล้วก็ได้เงินคืนมา)4. 5,000 ล้านบาทกู้มาเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

ทั้งสี่ข้อนี้เราจะเห็นได้ชัดว่า มูลหนี้จริงๆ ที่ต้องชดใช้ถ้ามีการเลิกสัญญาหรือประมูลใหม่คือหนี้ 5,000 ล้านบาทในข้อที่ 4 เท่านั้นเอง หาใช่ 20,000 ล้านที่พูดเอาไว้ไม่?

...สมมติว่ารัฐให้ประมูลใหม่ใครจะได้ประโยชน์เสียประโยชน์ในเรื่องนี้?

ถ้ารัฐให้ประมูลใหม่รัฐจะได้ประโยชน์แต่ผู้เดียวเพราะ

ก) เงินค่ามัดจำรัฐก็ยึดไปได้

ข) โรงงานก็ตกเป็นของรัฐ

ธนาคารจะได้เพียง เหล้าค้างสต็อก 7.8 ล้านเท

ส่วนหนี้ที่ปล่อยไปให้กลุ่มสุราทิพย์ กู้ปจ่ายค่ามัดจำค่าสร้างโรงงานอีกรวมทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาทที่ต้องขาดทุน

ซึ่งถ้ามองในรูปของผลเสียหายแล้วอาจจะกระทบกระเทือนต่อสถานภาพของสถาบันการเงิน ทางออกที่ดีที่สุด!

การหาทางออกในกรณีนี้ควรจะเป็นการหาทางออกที่ไม่ให้รัฐและธนาคารต้องเสียผลประโยชน์ (ธนาคารเองอาจจะเสียเฉพาะเงิน 5,000 ล้านที่ปล่อยให้คน 5-6 คนในกลุ่มมสุราทิพย์ค้ำประกันซึ่งก็ต้องให้ธนาคารเสียบ้างมากน้อยตามปริมาณของแต่ละธนาคาร ซึ่งก็ต้องไปรีดเอาจากพงส์ สารสิน กมล เอี่ยมสกุลรัตน์ เถลิง เหล่าจินดา เจริญ ศรีสมบูรณานนท์ และอีกคนสองคนที่ค้ำประกันหนี้ก้อนนี้ไว้)

ส่วนผู้บริหารกลุ่มสุราทิพย์ต้องเสียผลประโยชน์นั้นเป็นเรื่องที่ชอบและถูกต้องในแผนอันนี้แล้ว เพราะถ้าคนพวกร่ำรวยจากการผูกขาดขายเหล้า คนพวกนี้ก็ไม่ได้แบ่งสันปันส่วนเงินกำไรให้กับรัฐอยู่แล้ว นอกเหนือจากภาษีที่ต้องเสียให้รัฐตามกฎหมายซึ่งก็เป็นธรรมดาเมื่อเขาทำผิดกติกา และเขาทราบเงื่อนไขของกติกาตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาเล่น พวกเขาก็ต้องเคารพมันและรับมันไปเสีย ผมเชื่อว่าเขาก็คงไม่ได้จนไปกว่าเดิมหรอกเพราะปากเขาโวยวายว่าเขาไม่มีเงินกินแล้ว แต่ก็มีชื่อพวกเขานั่งกันอยู่ในธนาคารมหานคร ทั้งที่บริษัทก็ค้างค่าภาษีรัฐแต่พวกเขาก็ซื้อเบนซ์ 500 ซึ่งราคาคันละ 5-6 ล้านให้ผู้อำนวยการนั่งกัน ฉะนั้นความจนของพวกเขาเป็นความจนที่พวกเราจะต้องมานั่งทบทวนกันให้ดีๆ

"ผู้จัดการ" ขอเสนอทางออกที่ยุติธรรมที่สุด (ยุติธรรมกับรัฐและประชาชนและกับธนาคารเท่านั้น)

1. ให้รัฐยกเลิกสัญญากับกลุ่มสุราทิพย์และหาผู้ซื้อสัญญานี้ต่อโดย

2. ให้คืนเงินค่ามัดจำสิทธิของเดิมให้กับธนาคารเจ้าของเงินเดิม

3. ให้ผู้รับสัญญาใหม่รับภาระการใช้หนี้ธนาคารจากการสร้างโรงงาน 5,000 ล้านโดยตรงและรับหน้าที่เกิดจากกู้มาซื้อสุราเก่า

4. ให้รัฐดำเนินการฟ้องร้องเรียกเอาเงินค่าภาษีคงค้างจากกลุ่มเก่า

5. ให้ธนาคารดำเนินการเรียกหนี้ 5,000 ล้านที่กลุ่มเก่ากู้เอามาใช้เป็นทุนหมุนเวียน

6. ผู้ที่จะเข้ามารับสัญญาใหม่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาเดิมทุกประการ

ทางออกที่เสนอมานี้เป็นการลงโทษผู้กระทำผิดและก็เป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มนักลงทุนที่เขามีเงินมาลงไม่ใช่พวกจับเสือมือเปล่า บางคนที่เอาตัวเองค้ำประกันหนี้ที่ตอนนี้หย่าขาดกับเมียแล้วโอนแจกจ่ายสมบัติไปจนหมดเพื่อเมื่อโดนฟ้องจะได้ไม่เป็นไร

ทั้งหมดที่พูดมานั้นผมเชื่อว่ามันเป็นไปได้เพราะมันเหมือนกับจะรู้ว่าเกมมันวางกันไว้แล้วและกระทรวงการคลังเองก็คิดจะช่วยคนกลุ่มนี้อยู่ แต่ก็ขอให้พูดเพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์เอาไว้หน่อยเถอะ เพื่อคนไทยรุ่นต่อๆ ไปอาจจะได้รับทราบข้อเท็จจริงและเมื่อเวลาผ่านไปจะได้รู้ว่าขบวนการปล้นชาติ 15,000 ล้านบาทนี้มันมีใครร่วมปล้นกันอยู่บ้าง

จะได้ไม่ลืมกันไงล่ะ!

จะได้สาปแช่งกันต่อๆ ชั่วนิรันดร!

สนธิ ลิ้มทองกุล

บรรณาธิการ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us