|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อดีตที่เบทาโกรยังอยู่ในยุคการค้าขายแบบเดิมๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ บริษัทลูกในเครือผลิตสินค้าก็ใช้แบรนด์ตามชื่อบริษัท ตั้งแต่เบตเตอร์ฟู้ด บีเอฟ บีเอฟไอ บีเอฟเอ็ม แต่วันหนึ่งแบรนด์ที่สะเปะสะปะทำให้ความแข็งแรงทางการตลาดลดลงจนเข้าสู่ยุครีแบรนดิ้ง ส่ง 2 แบรนด์ใหม่ “ไฮมีท” และ “เอสเพียว” เข้ามารุกพร้อมจัดเซกเมนต์ผู้บริโภค เพื่อเพิ่มมูลค่าแบรนด์พุ่งพรวดหลายเท่าตัว
วสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจ เครือเบทาโกร กล่าวถึงเหตุผลในการรีแบรนดิ้งจริงๆ ก็มาจากความต้องการที่จะรุกเข้าสู่กลุ่มลูกค้าคอนซูเมอร์ เพื่อสร้างแบรนด์ก่อนรุกเข้าสู่ “เน็กซ์สเต็ป” จับกลุ่มผู้บริโภค
ถ้าดูเซกเมนต์ของแบรนด์เอสเพียว เบทาโกรวางช่องทางพรีเมียมซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งมีสัดส่วนไม่มากนัก กำลังซื้ออยู่แถวสุขุมวิท ราชประสงค์ แถวกรุงเทพฯ ชั้นใน ทั้งไก่ หมู และไข่ สัดส่วนการผลิตไม่มากเลยเมื่อเทียบฐานใหญ่ ซึ่งวสิษฐค่อนข้างภูมิใจ เพราะนอกจากยอดขายโตแบบดับเบิ้ลต่อเนื่อง เรียกว่าเปิด 2 ปี แบรนด์ติดตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในฮ่องกง ซึ่งในชั้นวางสินค้ามีคู่แข่งจำนวนมาก ทั้งจีน ออสเตรเลีย อเมริกา ญี่ปุ่น บราซิล ยังสามารถโดนใจผู้บริโภคได้
ขณะที่ “ไฮมีท” เป็นการจัดการกระบวนการตลาดจาก “บีทูบี” เป็น “บีทูซี” ในอนาคต โดยรีแบรนดิ้งสินค้าคอร์ปอเรทที่ทำในอดีต เช่น เบตเตอร์ฟู้ด บีเอฟ บีเอฟไอ บีเอฟเอ็ม จากเดิมเป็นแบรนด์สะเปะสะปะ การรีแบรนด์สามารถสร้างยอดขายขึ้นมาทันที 3-4 พันล้านบาท
สำหรับกระบวนการผลิต โดยเฉพาะเอสเพียว (อ่านรายละเอียดได้จากเรื่อง SPF เนื้อหมูปลอดสารพิษของเบาทาโกร นิตยสารผู้จัดการ ฉบับเดือนสิงหาคม 2550) เป็นหมูตระกูลใหม่ที่เริ่มต้นเมื่อ 18 ปีที่แล้วและเพิ่งทำตลาดปีที่ผ่านมาเรียกว่าต้องอดทนรอถึง 18 ปี หากคู่แข่งจะทำหมูเหมือนเอสเพียวก็ต้องรอก่อนนอกจากจะงัดกลยุทธ์สร้างจุดขายแปลกๆ มาแข่ง ซึ่งวสิษฐใช้คำว่า “ซัฟเฟอร์” กับหมูตัวนี้มาเป็นสิบๆ ปี เอาต้นทุนมาเทียบกำไรก็ยังไม่คุ้มทุน แต่การซัฟเฟอร์กลับสร้างจุดขายสำคัญที่สุดของเบทาโกร โดยเฉพาะการสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ภาพลักษณ์สำคัญ เรื่องความจริงใจในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและปลอดภัย “เรามี message ชิ้นสำคัญส่งถึงผู้บริโภค เราไม่ได้เป็นจากการขายโฆษณา เป็นจากการชวนเชื่อ แต่ต้องมาจากสินค้า การมีประสบการณ์กับสินค้าของเรา มีการทดลองใช้ สัมผัส เปรียบเทียบ ทำให้เขารู้ว่าเรามีความจริงใจกับเรื่องนี้จริงๆ หรือเปล่า และเบทาโกรทำการตลาดในมุมการให้ข้อเท็จจริง อะไรคือสิ่งที่อยู่ในนั้น โอกาสที่เขาจะได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพที่ทัดเทียมกับมาตรฐานโลกได้จริงๆ แม้ราคาแพงกว่าสินค้าในท้องตลาด 30-40%” และก็ต้องบอกว่าเราเสียโอกาสมามากแล้ว
|
|
|
|
|