บมจ.ทรัพย์ศรีไทย เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มี 2 ตระกูลเป็นผู้ถือหุ้นหลักอยู่ในปัจจุบัน คือ ตระกูลชินธรรมมิตร์ และสุขะนินทร์ โดยมีสายสัมพันธ์เป็นเครือญาติ ทำให้แผนธุรกิจมียุทธศาสตร์คล้ายกับ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น และบมจ.ไทยชูการ์ เทอร์มิเนิ้ล คือการต่อยอดธุรกิจเดิม สร้างธุรกิจใหม่
บมจ.ทรัพย์ศรีไทย ก่อตั้งเมื่อปี 2519 ปัจจุบันดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 35 ปี เริ่มจากธุรกิจคลังสินค้า รับ-ฝาก ให้บริการท่าเทียบเรือ
แรกเริ่มเดิมทีมีผู้ถือหุ้นหลัก คือธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานทรัพยสินส่วนพระมหากษัตริย์ บริษัท เทเวศน์ประกันภัย จำกัด ถือหุ้นร่วมกันร้อยละ 80 ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่ม อิตัลไทย ในตอนนั้นยังทำธุรกิจค้าข้าว มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท
เมื่อปี 2548 มีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นจากกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ มาเป็น 2 ตระกูลถือครองหุ้นหลักแทน คือ ตระกูลสุขะนินทร์ และตระกูลชินธรรมมิตร์ โดยทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน เนื่องจากประธานกรรมการบริหารคือ ศุภสิทธิ์ สุขะนินทร์ เป็นบุตรของอินทิรา สุขะนินทร์ และอินทิรา เป็นพี่สาวของจำรูญ ชินธรรมมิตร์
การเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหม่และผู้บริหาร ทำให้ บมจ.ทรัพย์ ศรีไทยเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงในธุรกิจโดยไม่พึ่งพิงรายได้จากคลังสินค้า โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำไรและรายได้ให้กับองค์กร
แต่เนื่องจาก บมจ.ทรัพย์ศรีไทย เป็นบริษัทมหาชนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือเรียกว่า SST อยู่ในหมวดของขนส่งและโลจิสติกส์ จึงทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์
อุปสรรคดังกล่าวทำให้บริษัทได้ยกเลิกใบอนุญาตจากผู้ให้บริการคลังสินค้า ก่อตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเรียกว่า บริษัท เอส เอส ที คลังสินค้า จำกัด เมื่อปี 2552 เพื่อทำหน้าที่บริการคลังสินค้าเพียงอย่างเดียว ส่วน บมจ.ทรัพย์ศรีไทยก็แสวงหาธุรกิจใหม่เพื่อเพิ่มรายได้และกำไร
หลังจากไม่มีภาระให้บริการคลังสินค้า บมจ.ทรัพย์ศรีไทยเริ่มมองหาโอกาส จนกระทั่งล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา บริษัท ได้เข้าไปลงทุนในบริษัท อุตสาหกรรมวิวัฒน์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำพืชยี่ห้อ “ทิพ” “ริน” และอาหารสัตว์วิวัฒน์ มูลค่า 200 ล้านบาท ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้ถือหุ้นเกือบร้อยละ 100
บริษัทอัดฉีดเงินเข้าไปในบริษัท 750 ล้านบาทเพื่อให้ธุรกิจดำเนินงานต่อไปได้ ทำให้พนักงานที่อยู่กับบริษัทยังคงทำงานต่อไป รวมทั้งเครื่องจักรไม่หยุดการผลิต
ในปีนี้บริษัทกำหนดว่าจะมีกำลังการผลิตน้ำมันพืชราว 90,000 ตันต่อปี ปีที่ 2 ผลิตเพิ่มเป็น 120,000 ตัน ปีที่ 3 ผลิต 150,000 ตัน และปีที่ 4 ผลิต 200,000 ตัน ซึ่งโรงงานมีกำลังการผลิตเต็มที่ 210,000 ตันต่อปี และในปีแรกบริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 1,800 ล้านบาท
สัมฤทธิ์ ตันติดิลกกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทรัพย์ศรีไทย กล่าวกับผู้จัดการ 360 ํ ว่า การกระโดดเข้ามาทำธุรกิจน้ำมันได้มองเห็นโอกาส เพราะน้ำมันพืชที่ผลิตในปัจจุบันผลิตมาจากถั่วเหลือง และวัตถุดิบดังกล่าวสามารถพัฒนาต่อยอดให้กับธุรกิจได้อีก โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มจากถั่วเหลือง
กระบวนการผลิตน้ำมันพืชแต่เดิม หลังจากหีบน้ำมัน จะได้ 2 ส่วนหลัก กากถั่วประมาณร้อยละ 78 ได้น้ำมันร้อยละ 7 เป็นเลซิตินร้อยละ 2 ที่เหลือเป็นของเสีย
เลซิตินได้จำนวนไม่มากนักแต่มีราคาสูง เพราะสามารถนำไปผสมกับอาหารสัตว์ ส่วนกากถั่วเหลืองนำไปผลิตเป็นปุ๋ย
หลังจากศึกษาคุณสมบัติของถั่วเหลืองพบว่า สามารถสร้างโปรตีนในกากถั่วเหลือง ได้อีก และมีราคาจำหน่ายสูงกว่าราคากากถั่วเหลืองในปัจจุบัน
วิธีการสร้างคุณค่าโปรตีนให้กับถั่วเหลือง จะต้องปอกเปลือกชั้นนอกออกจึงทำให้บริษัทมีแผนซื้อเครื่องจักรใหม่ใน 4-5 เดือนข้างหน้า เพื่อมาปอกเปลือกถั่วเหลือง เพราะเปลือกมีโปรตีนน้อย หลังจากปอกเปลือกทำให้กากถั่วเหลือง (หรือเนื้อถั่วเหลือง) หลังจากหีบน้ำมันออกไปจะได้โปรตีนมากกว่า เพราะราคากากถั่วเหลืองจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณค่าของโปรตีนในกากถั่วเหลือง
แผนการต่อยอดของธุรกิจน้ำมันพืชไม่ได้หยุดเฉพาะการป้อนตลาดสำหรับบริโภค เท่านั้น แต่บริษัทได้มองอนาคตของน้ำมันถั่วเหลืองสามารถนำไปผลิตน้ำมันไบโอดีเซลได้อีก ซึ่งบริษัทต้องเปรียบเทียบราคาว่าจะโน้มเอียงไปทางด้านไหนระหว่างเพื่อบริโภค หรือเพื่อพลังงาน
การเข้าไปลงทุนในธุรกิจน้ำมันนอกจากจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทแล้ว บริษัท อุตสาหกรรมวิวัฒน์ จำกัด ยังมีเนื้อที่ 80 ไร่ ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ปากเกร็ด นนทบุรี ปัจจุบันบริษัทใช้พื้นที่เพียงครึ่งเดียว เหลืออีกครึ่งยังไม่ได้ใช้ทำอะไร ดังนั้นจึงมีโอกาสสร้างธุรกิจเพิ่มขึ้นจากพื้นที่ดังกล่าวได้อีก
แม้บริษัทจะขยายไปสู่ธุรกิจน้ำมัน ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ แต่ธุรกิจคลังสินค้าก็ยังทำควบคู่กันไป เพราะคลังสินค้ารับ-ฝากและท่าเทียบเรือยังเป็นสินทรัพย์ที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากพื้นที่คลังสินค้าและท่าเทียบเรือที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตั้งอยู่พระประแดง ถนนสุขสวัสดิ์ ซอย 49 และซอย 76 มีมูลค่ามหาศาล จากยุคเริ่มต้น ที่ซื้อเพียงไร่ละ 1-2 แสนบาท แต่ปัจจุบันราคาหลายสิบล้านบาท
บริษัทมีคลังสินค้าจำนวน 3 แห่ง คลังสินค้าที่ 1 มีพื้นที่ 30 กว่าไร่ มีหน้ากว้างติดแม่น้ำเจ้าพระยาประมาณ 330 เมตร สามารถจอดเรือได้ 2 ลำใหญ่ มีคลังสินค้า 21 หลัง รับสินค้านำเข้า-ส่งออกเป็นส่วนใหญ่ นำเข้าปุ๋ย ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ฝ้าย อาหารสัตว์ สินค้าเบ็ดเตล็ด และส่งออกน้ำตาล
คลังสินค้าแห่งที่ 2 อยู่อีกฟาก ห่างจากคลังที่ 1 ประมาณ 2 กิโลเมตร มีพื้นที่ 25 ไร่ ให้ลูกค้ารายใหญ่เช่าไปบริหารเอง เรียกว่า distribution center พื้นที่อีกส่วนหนึ่ง ใช้เป็นคลังเก็บเอกสารสินค้า สำหรับคลังสินค้าที่ 3 สร้างเมื่อปี 2550 มีเนื้อที่ประมาณ 40 ไร่ ใช้ทำคลังเอกสารโดยเฉพาะ
คลังสินค้าทั้ง 3 แห่งเมื่อรวมกันจะมีประมาณกว่า 90 ไร่ มีโกดังทั้งหมด 52 หลัง พื้นที่กว่า 8 หมื่นตารางเมตร มีการคมนาคมสะดวก โดยเฉพาะคลังสินค้าที่ 1 มีท่าเทียบเรือ สินค้าสามารถส่ง-ออกได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากอยู่ใกล้วงแหวนรอบนอก ถนนหน้าคลังกว้าง 8 เลน ติดกับวงแหวนและอีก 4 กิโลเมตรเข้าวงแหวนอุตสาหกรรม
คลังสินค้าในช่วงแรกดำเนินงานจะรับฝาก-เช่า สินค้าเกษตรเป็นหลัก เช่น ข้าว น้ำตาล ถั่วเหลือง เป็นต้น แต่สินค้าเหล่านี้จะมีฤดูกาลใช้คลังสินค้า โดยเฉพาะน้ำตาลจะหีบอ้อยกันประมาณ 6 เดือน น้ำตาลจะเริ่มเข้าคลังสินค้าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน จะมีปริมาณเข้า-ออกจำนวนมาก แต่หลังจากนั้นจะไม่มีเข้ามา ทำให้โกดังว่างหลายเดือน แม้กระทั่งข้าวสารจะมีอายุอยู่ในโกดังมากกว่า แต่พื้นที่ของคลังสินค้าบางครั้ง ก็ไม่เพียงพอจัดเก็บเพราะข้าวต้องการพื้นที่จำนวนมาก ประการสำคัญ ข้าวเป็นสินค้าที่เข้ามาจำนวนมาก และออกจำนวนมาก
สัมฤทธิ์เล่าว่าหลังจากเรียนรู้ธรรมชาติของสินค้า ทำให้บริษัทต้องมาวิเคราะห์เลือกสินค้าที่จะอยู่ในคลังได้ตลอดปี เพราะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัท พบว่าปุ๋ยเป็นสินค้าที่อยู่ในคลังได้ตลอดปี จึงทำให้เน้นหนักรับฝากมากที่สุด ทำให้บริษัทกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปุ๋ยโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ดี นอกจากปุ๋ยแล้วบริษัทยังให้บริษัทใหญ่ๆ เช่าคลังสินค้าด้านเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์กีฬาและอาหาร ปัจจุบันมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ หลายแห่งเช่าอยู่
การใช้พื้นที่คลังสินค้าไม่ได้รับฝากสินค้าอุปโภคและบริโภคเท่านั้น บริษัทขยายธุรกิจ โดยใช้พื้นที่คลังสินค้าเดิมไปจับธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าเก็บเอกสาร เพราะบริษัทมองเห็นโอกาสธุรกิจนี้ว่ามีคู่แข่งไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติมีเพียง 4-5 รายที่ให้บริการ
บริษัทเห็นว่าบริษัทที่จดทะเบียนในทุกวันนี้บริษัทจดทะเบียนนิติบุคคลมี 500,000 ราย มีบริษัทรายใหญ่ 1,000 ราย บริษัทขนาดกลางประมาณ 5,000 ราย
บริษัทเริ่มบริหารคลังสินค้าที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น ธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่ สำหรับเอกสารจึงเกิดขึ้นเมื่อปี 2538 โดยเริ่มใช้พื้นที่ครึ่งหนึ่งของคลังที่ 2 จากจำนวนทั้งหมด 25 ไร่
พื้นที่เช่าเก็บเอกสารได้รับการตอบรับค่อนข้างดี ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้ารายใหญ่ 10 ราย มีลูกค้าทั่วไปอีกกว่าพันราย ลูกค้ารายใหญ่ เช่น หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ โรงพยาบาลรัฐ ส่วนภาคเอกชน เช่น ธนาคาร บริษัทประกันชีวิต ประกันภัย และห้างสรรพสินค้ารายใหญ่
จากการตอบรับของลูกค้าเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะการเก็บเอกสารนาน 8-10 ปีเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับองค์กรเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแจ้งกับกรมสรรพากร หรือกรณีคดีฟ้องร้อง ทำให้บริษัทขยายคลังสินค้าเอกสารใหม่อีก 1 แห่งเมื่อปี 2550 ซึ่งคลังสินค้า ดังกล่าวเป็นคลังสินค้าแห่งที่ 3 ของบริษัท แต่คลังจัดเก็บเอกสารแห่งที่ 3 จะเริ่มเต็มในปี 2555 บริษัทได้วางแผนจะซื้อพื้นที่เพิ่มอีก 17 ไร่ เพื่อรองรับบริการในอนาคต
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คลังเอกสารเจริญก้าวหน้าในช่วงปี 3-4 ปีหลัง อาจเป็นเพราะว่าบริษัทเดิมที่เช่าอยู่แล้วมีปริมาณเอกสารเพิ่มขึ้น ไม่ต้องการจัดเก็บเอกสารไว้ในสำนักงาน แต่ต้องการองค์กรที่มีความชำนาญเข้ามาช่วยบริหารจัดการ โดยเฉพาะเอกสารที่เป็นความลับ แต่คลังเอกสารไม่ได้รับฝากเฉพาะเอกสารเท่านั้น บริษัทยังรับฝากข้อมูลที่จัดเก็บในรูปแบบมีเดียไฟล์ต่างๆ ในแผ่นซีดี
หัวใจของธุรกิจคลังเอกสาร คือการบริหารจัดการ โดยเฉพาะการพัฒนาคิดค้นเทคโนโลยีให้เอกสารปลอดภัย รวมถึงความรวดเร็วในการให้บริการ
สัมฤทธิ์ ในฐานะผู้บริหารที่ริเริ่มธุรกิจคลังสินค้า เล่าให้ผู้จัดการ 360 ํ ฟังว่า บริษัทไม่ได้ซื้อเทคโนโลยี แต่สร้างขึ้นมาเอง เริ่มตั้งแต่การสร้างคลังเอกสารในระดับแนวสูง การพัฒนาฐานข้อมูลของลูกค้า และหัวใจของการจัดเก็บเอกสารคือ จัดเก็บอย่างมีระเบียบ สินค้าเข้า-ออกได้เร็ว
การสร้างคลังเอกสารในแนวสูง บริษัทจะใช้เครื่องจักรทำงานเหมือนหุ่นยนต์ และหุ่นยนต์จะทำหน้าที่ส่งเอกสารไปตามช่องต่างๆ ระบบการทำงานทุกอย่างเริ่มตั้งแต่ข้อมูลของกล่องจะถูกป้อนอยู่ในระบบ คอมพิวเตอร์ เข้าออก-เมื่อไร เป็นเอกสารของใคร ทุกกล่องจะมีรหัส ส่วนลูกค้าต้องการดูเอกสาร โดยเฉพาะเอกสารที่เป็นความลับจะมีรหัสและลายเซ็นของลูกค้าที่สามารถตรวจสอบได้
ระบบการทำงานจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมเป็นระบบออโตเมชั่นอัจฉริยะ บริษัทเรียกว่า ASRS หรือ Automated Storage and Retrieval System บริษัทอ้างว่าเป็นรายแรกที่ใช้ระบบดังกล่าว และได้นำมาใช้เมื่อปี 2550
การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานไม่ได้มีเป้าหมายรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ เท่านั้น แต่ในอนาคตบริษัทมองว่าระบบคอมพิวเตอร์จะเข้ามาทำงานแทนคน เพราะมีความสม่ำเสมอมากกว่า
ที่ผ่านมาจึงทำให้บริษัทลงทุนด้านคลังสินค้าในการสร้างระบบจำนวน 250 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีรายได้เติบโตทุกปี ล่าสุดมีรายได้ 120 ล้านบาท ซึ่งทำรายได้มากกว่าให้บริการคลังสินค้าที่มีรายได้ 40 ล้านบาท
แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจคลังสินค้า บริษัทวางแผนจะให้บริการเอกสาร ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ คือบริษัทจะสแกน ข้อมูลลงในเซิร์ฟเวอร์ เมื่อลูกค้าต้องการใช้ก็สามารถเรียกใช้ได้ทันทีผ่านระบบที่เชื่อมโยงระหว่างบริษัทกับบริษัทลูกค้า โดยเอกสารจริงจะยังถูกจัดเก็บไว้ที่บริษัท ซึ่งมองว่าช่วยลดต้นทุนการขนส่งเอกสาร
ธุรกิจของทรัพย์ศรีไทยที่เริ่มต้นจากผู้ให้บริการเช่าท่าเทียบเรือเช่าคลังสินค้า บริษัท ได้ขยายธุรกิจใหม่ออกมาโดยยึดคลังสินค้าที่มีอยู่ต่อยอดออกไป คือการให้บริการคลังสินค้าโดยใช้พื้นที่มาบริหารสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจ
ข้อดีของธุรกิจคลังเอกสารคือการบริหารพื้นที่ในระนาบสูง เพราะเอกสารสามารถจัดวางขึ้นแนวสูงเหมือนคอนโดมิเนียม
สัมฤทธิ์เปรียบเทียบให้เห็นภาพพื้นที่จัดเก็บเอกสารในคลังที่ 3 พื้นที่แนวราบใช้ 14,000 กว่าตารางเมตร ความสูง 15 เมตร แต่การจัดวางเอกสารในแนวสูงทำให้มีพื้นที่เพิ่มเป็น 2 เท่า สามารถจัดเก็บ เอกสารได้ถึง 3 ล้านกล่อง จากศักยภาพ ดังกล่าวทำให้บริษัทวางแผนจะสร้างพื้นที่ใหม่ 17 ไร่ ให้มีความสูงในระดับ 23-24 เมตร สามารถรองรับสินค้าได้เพิ่มอีกร้อยละ 30-40
เอกสารจัดเก็บไว้ในกล่อง กว้างx ยาวxสูง (12x16x11 นิ้ว) ราคากล่องละ 10 บาทต่อเดือน ส่วนเอกสารความลับราคาจะเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัว
ในขณะที่ค่าเช่าคลังสินค้าคิดราคาเป็นตารางเมตร ค่าเช่า 110 บาทต่อตาราง เมตร ส่วนค่ารับฝากราคาสูงกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของราคาเช่าและขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า
อย่างไรก็ดี สัดส่วนการบริหารพื้นที่ คลังสินค้าในปัจจุบัน บริษัทยังให้ความสำคัญบริการให้เช่าคลังสินค้า ร้อยละ 45 ให้บริการเช่า ร้อยละ 35 ให้เช่าคลังสินค้า เอกสาร ส่วนที่เหลือร้อยละ 10 ให้บริการฝากสินค้า
สัดส่วนการบริหารคลังสินค้าในปัจจุบันจะยังให้น้ำหนักธุรกิจเช่าและฝาก ทั้งนี้เป็นเพราะว่าบริษัทยังมีนโยบายดูแลลูกค้าที่ใช้บริการมายาวนาน
“ตราบใดที่ลูกค้ายังใช้บริการเช่าคลังสินค้าเราอยู่ เราก็ยังให้บริการต่อไป ผมทำไม่ได้ที่จะนำพื้นที่เดิมมาให้บริการคลังเอกสารทั้งหมด ยังมองว่าการให้บริการรับฝากสินค้าส่วนหนึ่ง และให้บริการคลังเอกสาร จำเป็นต้องควบคู่กันไปเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง”
คำกล่าวของสัมฤทธิ์นั้นอาจเป็นเพราะว่าเขาได้ร่วมงานกับบริษัทมาเกือบ 30 ปี ความผูกพันที่มีต่อลูกค้าเดิมยังมีอีกมาก เขาไม่เคยปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตกับองค์กรแห่งนี้ เพราะบริษัททรัพย์ศรีไทยไม่ได้ผูกติดกับธุรกิจเดิมเพียงอย่างเดียว แต่ได้เริ่มก้าวออกไปสู่ธุรกิจใหม่ที่อาจจะร่วมมือกับพันธมิตรมากขึ้น โดยเฉพาะการร่วมมือกับเครือญาติที่มีธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน
|