|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |

การใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นเสมือน “แบรนด์” ของ bin Laden ไม่อาจจูงใจโลกอาหรับได้อีกต่อไป
การสังหาร Osama bin Laden กลางดึกของวันที่ 2 พฤษภาคม ในบ้านหลังใหญ่ที่เป็นดั่งป้อมปราการ ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงอิสลามาบัดของปากีสถานเพียงแค่เอื้อม ต้องแลกมาด้วยการตามล่าอย่างทรหดนานถึง 15 ปี สงครามใหญ่อีก 2 ครั้งในอิรักและอัฟกานิสถาน และต้องสูญเงินอีกมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสูญเสียชีวิตคนอีกราว 150,000 คน
ประธานาธิบดี Barack Obama อาจดูเหมือนเป็นผู้นำการรบที่ไม่เฉียบขาด แต่เขาก็ไม่เคยหยุดการตามล่าสมาชิก al-Qaeda ทั้งระดับทหารเลวจนถึงระดับบัญชาการ รวมถึงผู้นำที่หายเข้ากลีบเมฆอย่าง bin Laden ประธานาธิบดี Obama เลือกใช้วิธีให้หน่วยรบพิเศษบุกเข้าโจมตี bin Laden โดยตรง ซึ่งเสี่ยงต่อชีวิตทหารมากกว่า แทนที่จะเลือกใช้วิธีโจมตีทางอากาศถล่มบ้านที่ซ่อนตัวของ bin Laden อย่างที่ที่ปรึกษาบางคนแนะนำ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
Obama ยังคงเตือนว่า มุสลิมที่นิยมความรุนแรงยังคงเป็นพลังที่อันตราย และ al-Qaeda ยังคงอยู่ แม้จะไร้ bin Laden ปัญหาที่ยังคงอยู่ในปากีสถาน เยเมนและในอีกหลายประเทศ ยังคงเป็นเชื้ออย่างดีของความรุนแรง อย่างไรก็ตาม การตายของคน ที่โลกต้องการตัวมากที่สุด เกิดขึ้นในขณะที่ฝ่ายมุสลิมหัวรุนแรงกำลังสั่นคลอน จากการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งตะวัน ออกกลางและแอฟริกาเหนือ งานต่อไปของผู้ที่ต้องการเห็นโลกปลอดภัยมากขึ้น ต่อจากการเด็ดชีพ bin Laden จึงเป็นการพยายามโดดเดี่ยวสงครามจีฮัดที่ใช้ความรุนแรง ซึ่งเป็นความฝันของ bin Laden ให้เหมือนกับที่ตัวเจ้าของความฝันนั้นเอง ต้องถูกโดดเดี่ยวอยู่เบื้องหลังกำแพงสูงที่ล้อมรอบบ้านที่หลบซ่อนตัวของเขา
ชายผู้ใช้ศรัทธาเป็นเครื่องมือ
bin Laden ใช้ความทุกข์ยากเดือดร้อน ของชาวมุสลิม มาสร้าง “แบรนด์” ให้แก่สงครามจีฮัดที่ใช้ความรุนแรง วิสัยทัศน์ของเขา ที่ฝันจะชำระล้างอิสลามให้บริสุทธิ์ และจัดตั้งอาณาจักรหนึ่งเดียวที่รวมชาวมุสลิมทั้งโลก แม้จะเป็นไปไม่ได้ แต่สามารถดึงดูดใจชาวมุสลิม ที่รู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์การทุจริตของผู้นำประเทศของตัวเองได้ โดยวิธีที่ bin Laden นำมาใช้ เพื่อจะไป ให้ถึงเป้าหมายของเขานั้น คือการฆ่าและการยกย่องการสละชีพ โดยพุ่งเป้าโดยตรงไปที่ “ศัตรูทางศาสนา” หรือชาติตะวันตก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา น่าเศร้าที่ต้องยอมรับว่า วิธีการนี้ใช้ได้ผลกับชาวมุสลิมมานานพอสมควร โดยเรื่องเล่าที่เด่นที่สุดของ bin Laden ก็คือ เรื่องราวของเศรษฐีที่กลายเป็นยาจกของตัว bin Laden เรื่องราวของชายผู้ยอมละทิ้งอำนาจราชศักดิ์และความร่ำรวยในซาอุดีอาระเบีย มาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ใกล้จะเหมือนเป็นผู้วิเศษ ผู้สามารถท้าทายกองทัพที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ได้
bin Laden ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย เขาทำให้คนจำนวนมากโดยเฉพาะที่ไม่ใช่มุสลิม เหมารวมว่าการใช้ความรุนแรงซึ่งเป็นเพียงยี่ห้อเฉพาะของ bin Laden กลายเป็นภาพรวมของชาวมุสลิมทั้งหมด ชาวตะวันตกมองชาวมุสลิมด้วยความหวาดกลัวว่า เป็นคนกระหายเลือดและป่าเถื่อนไปเสียทุกคน ฝ่ายชาวมุสลิมก็มองชาวคริสต์เป็นพวกจักรวรรดินิยมที่เลวทราม การสร้าง “แบรนด์แห่งความเกลียดชัง” ของ bin Laden ได้ผลอย่างดียิ่ง โดยอาศัยความคิดแบบเหมารวมข้างต้น
การเสี้ยมว่านี่คือการปะทะระหว่างอารยธรรม ทำให้ bin Laden สามารถดึงชาติตะวันตกให้กระโจนลงสู่สงครามต่อต้านการก่อการร้ายทั่วโลก วินาศกรรม 11 กันยายน 2001 ทำให้สหรัฐฯ และชาติตะวันตกต้องเข้าสู่สงครามที่สูญเสียทั้งเลือดเนื้อและทรัพย์สมบัติ สหรัฐฯ ต้องทุ่มเททรัพยากรมหาศาลไปกับความมั่นคงภายในประเทศ ส่วนในต่างประเทศ สหรัฐฯ ต้องถูกเบี่ยงเบน ความสนใจไปจากปัญหาใหญ่ที่ท้าทายอำนาจของตัวเองมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งสหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ในเอเชีย
ตลอดเวลาแห่งการทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย สหรัฐฯ ต้องยอมลดคุณค่าหลายอย่างที่ตนยึดถือ และเป็นจุดแข็งของตนเองมาตลอด เพราะนี่คือสงคราม อย่างเช่นการทรมานนักโทษก่อการร้าย และการขังลืมผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายที่ค่ายกักกัน Guantanamo ยังคงไม่ชัดเจนว่า การที่สหรัฐฯ หาตัว bin Laden จนพบได้นั้น เป็นเพราะข้อมูลที่เค้นมาได้จากการทรมานนักโทษหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ สารที่ bin Laden ส่งออกมานั้น ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะเขาสามารถทำให้อเมริกาต้องยอมละทิ้งการเคารพในเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน ทำให้ bin Laden กลับอ้างได้อีกว่า สหรัฐฯ กระทำการล่วงละเมิดชาวมุสลิม
สารดังกล่าวยังหนักแน่นพอที่จะอยู่รอดต่อไป แม้เจ้าของสารจะลาโลกไปแล้ว สาขาของ al-Qaeda ที่กระจายอยู่ทั่ว Sahel ในแอฟริกา คาบสมุทรอาหรับ และทั่วโลก จะพยายามพิสูจน์ความแข็งแกร่งของสารนี้ด้วยการก่อการร้ายต่อไป ได้แต่หวังว่าบรรดาเครื่องคอมพิวเตอร์ แผ่นดิสก์ และไดรฟ์ต่างๆ ที่หน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯ ยึดมาได้จากบ้านของ bin Laden จะช่วยให้สามารถทำลายแผนก่อการร้ายต่างๆ ได้ทันเวลา
ยุทธศาสตร์ที่ล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม สารของ bin Laden อาจจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม แต่ยังไม่อาจบดบังความจริงที่ว่า เขากำลังสูญเสียพลังในการดึงดูดใจชาวมุสลิม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการใช้ความรุนแรง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ bin Laden ตั้งเอาไว้ในโลกมุสลิม
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่นองเลือดมานานหลายปี แต่ชาติตะวันตกก็ยังคงไม่หยุดเกี่ยวข้องกับชาวมุสลิมอย่างที่ bin Laden อยากจะเห็นสงครามจีฮัดของ bin Laden ล้มเหลวในการขับไล่ทหารที่ไม่ใช่มุสลิมออกไปจากประเทศมุสลิม กองกำลังตะวันตกยังคงอยู่ในอิรักและอัฟกานิสถาน แคชเมียร์ยังมีกองทัพของอินเดีย และเชชเนียก็ยังมีกองทัพของรัสเซีย อิสราเอลยังรุ่งเรืองดี และยังไม่มีชาติอาหรับแม้แต่เพียงชาติเดียวที่ยอมรับอาณาจักรหนึ่งเดียวของมุสลิม ความฝันของ bin Laden
ยิ่งไปกว่านั้น การใช้การฆ่าเป็นวิธีที่จะช่วยชาวมุสลิมนั้น ในที่สุดแล้วกลับกลายเป็นการสร้างความรังเกียจเดียดฉันท์ตัว bin Laden ในหมู่ชาวมุสลิม หลังจากที่ al-Qaeda สังหารหมู่ชาวมุสลิมชีอะห์และสุหนี่นับพันนับหมื่นคนในอิรัก ทำให้แม้แต่กลุ่มจีฮัดที่เป็นมิตรกับ al-Qaeda ยังเริ่มประณามลัทธิ takfir ของ bin Laden ที่ยอมให้มุสลิมหัวรุนแรงสามารถประกาศให้มุสลิมอื่น เป็นคนทรยศต่อศาสนา และสังหารพวกเขาได้ตามอำเภอใจ ผลสำรวจความคิดเห็นชาวมุสลิมโดย Pew Research Centre พบว่า ความเชื่อมั่นในตัว bin Laden ในดินแดนปาเลสไตน์ตกฮวบลง จาก 72% ในปี 2003 เหลือเพียง 34% และในจอร์แดนลดลงจาก 56% เหลือเพียง 13%
การลุกฮือของประชาชนที่กำลังลามไปทั่วทั้งโลกอาหรับขณะนี้ได้เขี่ยสงครามจีฮัดให้ตกไปอยู่ชายขอบ สิ่งที่หนุ่มสาวชาว อียิปต์ที่ออกมาประท้วงโค่นล้มรัฐบาลเรียกร้องคือสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่ อาณาจักรหนึ่งเดียวของอิสลาม แม้กระทั่งกลุ่ม Muslim Brothers ก็ดูเหมือนจะเลือกสังคมที่เป็นทางโลก มากกว่าเทวาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า การเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองในโลกอาหรับขณะนี้ จะราบรื่นหรือเป็นไปอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำในชาติมุสลิมบางชาติ มุสลิมหัวรุนแรงอาจได้ขึ้นมาครอง อำนาจ แต่อย่างน้อยในขณะนี้ อิสลามกำลังมีโอกาสที่ดีที่สุดในหลายชั่วอายุคนที่จะจับมือกับการเมืองอีกครั้ง เพื่อก่อตั้งสถาบันต่างๆ ที่จะทำให้ศาสนาและการเมืองสามารถอยู่ร่วมกันได้ และนั่นจะหมายถึงการหันหลังให้แก่อุดมการณ์รวมมุสลิมเป็นหนึ่งเดียวของ bin Laden โดยสิ้นเชิง
เพื่อช่วยเร่งให้สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยเร็ว หนึ่ง ต้องไม่เลิกปราบปรามการก่อการร้าย และ al-Qaeda จะต้องถูกหยุดยั้ง สอง ต้องยอมรับว่านักรบจีฮัดจะพ่ายแพ้ ก็ด้วยชาวมุสลิมด้วยกันเองเท่านั้น นั่นหมายถึงต้องสร้างเสถียรภาพในชาติมุสลิม โดยเฉพาะ ที่อยู่นอกโลกอาหรับ เพราะหากรัฐบาลของชาติเหล่านี้อ่อนแอ จะทำให้การก่อการร้ายเกิดขึ้นได้ง่าย ทั้งหมดนี้พูดง่ายแต่ทำยาก บางประเทศอย่างโซมาเลียและมาลี อย่างมากที่จะทำได้คงเป็นเพียงการจำกัดวงเท่านั้น อัฟกานิสถานก็คงทำได้เพียงลดจำนวนทหาร NATO ลงในปี 2014 แต่ไม่อาจถอนทหารอย่างรวดเร็วได้ ที่น่าวิตกที่สุดคือปากีสถาน แม้จะดูเหมือนตีสองหน้าเกี่ยวกับเรื่องที่หลบซ่อนตัวของ bin Laden แต่การที่ปากีสถานมีอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้ไม่อาจทิ้งประเทศนี้ไปได้ สหรัฐฯ ยังคงต้องดึงปากีสถานไว้ใกล้ตัวดีกว่าจะปล่อยมือจากปากีสถาน
และสุดท้ายคือบรรดาชาติอาหรับ หากทำให้เกิดสันติภาพ ระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ก็จะช่วยสลายฝันของ bin Laden ได้ แต่ที่สำคัญกว่าคือ ชาติตะวันตกควรสนับสนุนการลุกฮือของชาวอาหรับในขณะนี้ เมื่อครั้งที่ bin Laden ก่อวินาศกรรม 9/11 นั้น ชาติตะวันตกแทบไม่มีวิธีปกป้องตัวเอง นอกจากการโจมตี bin Laden โดยตรง และการพึ่งพาผู้นำเผด็จการในโลกอาหรับ แต่ขณะนี้ bin Laden ได้จากไป พร้อมๆ กับที่โลกอาหรับเกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดทางการเมืองครั้งสำคัญ และนี่ก็คือโอกาส ที่ดีเกินกว่าจะสูญไปโดยเปล่าดาย
แปล/เรียบเรียง เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
เรื่อง ดิ อีโคโนมิสต์
|
|
 |
|
|