อีกไม่นาน ประเทศไทยก็กำลังจะถึงจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือ การเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคมที่จะถึงนี้

ณ วันที่นิตยสารผู้จัดการ 360ํ ฉบับนี้วางแผง คงยังไม่ถึงกำหนดวันเลือกตั้ง ดังนั้นจึงยังไม่ทราบผลว่า ใครจะได้เข้ามาเป็นผู้บริหารประเทศชุดใหม่

ถือเป็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งของการทำธุรกิจ

พื้นที่ตรงนี้เคยกล่าวเอาไว้ครั้งหนึ่งเมื่อ 2 เดือนก่อนว่า ปัจจุบัน ความเสี่ยงในการทำธุรกิจเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น

นอกจากความเสี่ยงจากตัวธุรกิจ ความเสี่ยงเรื่องการตลาด หรือความเสี่ยงอันเกิดขึ้นจากกระบวนการทำธุรกิจเองแล้ว

เรื่องของภัยธรรมชาติ โรคระบาด การก่อการร้าย ตลอดจนการเมือง ก็เป็นอีก 4 ความเสี่ยงที่ภาคธุรกิจจำเป็นจะต้องตระหนัก

เป็นความเสี่ยงที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวธุรกิจโดยตรง แต่อาจมีผลรุนแรงกว่าความเสี่ยงอันเกิดจากตัวธุรกิจเสียอีก

อย่างไรก็ตาม ในด้านความเสี่ยงทางการเมืองแล้ว สำหรับในประเทศไทยของเรานั้น เรามีความเชื่อว่า ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากผ่านพ้นวิกฤติในปี 2540 มาได้แล้ว ภาคเอกชนของไทยมีความแข็งแรงมากกว่าภาคการเมือง

ภาคการเมืองเองต่างหากที่จะต้องคำนึงถึงภาคธุรกิจ ก่อนที่จะนำเสนอนโยบายสวยหรูอะไรออกมาสู่สาธารณะ

เพียงแต่ธุรกิจนั้นๆ จะต้องเป็นกิจการที่ดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส ไม่มีนอก มีใน และเป็นธุรกิจที่สร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อสาธารณะจริงๆ

ธุรกิจที่จะมีความเสี่ยงในประเด็นการเมือง สำหรับในประเทศไทย ก็คือธุรกิจที่อิงกับการเมือง หรือเป็นธุรกิจการเมือง 100%

เป็นใคร หรือธุรกิจอะไรบ้าง เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงทราบกันดีอยู่แล้วนะครับ

ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์