พี.เอฟ.พี จี้รัฐบาลใหม่จัดระเบียบแรงงานให้ชัดเจน หลังพบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ส่งผลต่อการผลิต เผยเลื่อนแผนลงทุนในอินโดนีเซียไปเป็นปีหน้า เหตุได้ทำเลใหม่ มั่นใจสิ้นปีรายได้ทะลุ 4,100 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้ ฟากพรานทะเล พร้อมรีแบรนด์ดิ้ง “พรานทะเลซูริ” หวังดันรายได้ทั้งปีสู่ 1,400 ล้านบาท
นายทวี ปิยะพัฒนา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท แปซิฟิคแปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารแปรรูปจากปลาทะเลแช่แข็ง แบรนด์ พี.เอฟ.พี เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้พบว่าไทยกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในทุกอุตสาหกรรม คิดเป็นตัวเลขราว 1 ล้านคน จากตัวเลขของทางประกันสังคมที่มีขึ้นทะเบียนแรงงานเพียง 9 ล้านคนทั่วประเทศเท่านั้น แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมทั้งสิ้น
สำหรับพี.เอฟ.พี. เองนั้น ก็มีปัญหาขาดแคลนแรงงานเช่นเดียวกัน โดยยังขาดอยู่กว่า 200 คน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการบริหารจัดการหรือนำเอาเครื่องจักรเข้ามาช่วยแล้วก็ตาม แต่ก็ยังทำให้ยอดผลิตสินค้าต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ราว 20% เป็นอย่างน้อย เพราะขาดแรงงานเป็นส่วนสำคัญ ดังนั้นจึงต้องการให้ทางรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ได้มีการจัดระเบียบแรงงานให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงค่าแรงควรพิจารณาอย่างมีระบบ จัดระเบียนแรงงานให้ถูกกฏหมาย
นายทวี กล่าวต่อว่า สำหรับพี.เอฟ.พี ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 4,100 ล้านบาท เติบโตขึ้น 15% แบ่งออกเป็นตลาดต่างประเทศ 2,200 ล้านบาท และตลาดในประเทศ 1,900 ล้านบาท คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ แม้ว่าในช่วงไตรมาสสองจะต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย แต่พอเข้าสู่ไตรมาสสามก็เริ่มกลับมาดีขึ้น
สำหรับตลาดในประเทศมูลค่า 1,900 ล้านบาทนั้น มาจาก 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ สินค้าอาหารแช่แข็งนำเข้าจากต่างประเทศ 500 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์พีเอฟพี 1,400 ล้านบาท เติบโตขึ้น20% มาจากการเติบโตของกลุ่มสินค้าพร้อมทาน โดยการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า และการขยาย พีเอฟพีชอป โดยปีนี้จะมีรายการสินค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 100 รายการ และมีการเพิ่มจำนวนคีออสมากขึ้น รวมถึงการพัฒนา สุกี้บาร์ อีกส่วนหนึ่งด้วย
โดยในปีนี้บริษัทเตรียมงบการตลาดไว้กว่า 100 ล้านบาท แบ่งออกเป็นกิจกรรมการตลาด 70% และโฆษณาอีก 30% เน้นกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์และปรับโฉมผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม
ส่วนตลาดต่างประเทศ มูลค่า 2,200 ล้านบาท มาจากกลุ่มสินค้าซูริมิ 700 ล้านบาท กลุ่มสินค้าพีเอฟพี 1,500 ล้านบาท เชื่อว่าจะมียอดขายตามเป้า ถึงแม้ว่า ตลาดหลักซูริมิที่ส่งไปยังญี่ปุ่นในสัดส่วนกว่า 40% จะประสบปัญหาภัยพิบัติขึ้น และทำให้ยอดขายหายไป 20% ก็ตาม แต่ก็ได้ตลาดอื่นทดแทน คือ จีน และมาเลเซีย
อย่างไรก็ตามสำหรับความคืบหน้าการลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ในประเทศอินโดนีเซีย ที่จะร่วมกับทางนักลงทุนท้องถิ่น ในการจัดตั้งโรงงานผลิตซูริมินั้น คาดว่าจะเลื่อนออกไปเป็นปีหน้าแทน เนื่องจากได้มีการเลือกสถานที่จัดสร้างโรงงานใหม่ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการเจรจาพูดคุยหาข้อสรุปกันอยู่
***พรานทะเล รีแบรนด์ดิ้ง “พรานทะเลซูชิ” ***
นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการตลาดและฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ครึ่งปีแรกบริษัทฯ ชูกลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมควบคู่นวัตกรรมใหม่ๆ โดยเน้นไปที่กลุ่มสินค้าพร้อมทาน คือ เมนูข้าวต้มพรานทะเลแพ็กเกจใหม่ลดโลกร้อน ซึ่งเป็นเมนูที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งของพรานทะเลอยู่แล้วร่วมกับการกระจายสินค้าไปยัง Modern Trade ต่างๆอย่างทั่วถึง จัดโปรโมชั่น ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมียอดขายรวมกว่า 600 ล้านบาท
สำหรับช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นไปที่สินค้า 3 กลุ่มหลักคือ สินค้าพร้อมปรุง สินค้าพร้อมทาน และ ซูชิ แต่จะโฟกัสที่สินค้ากลุ่มซูชิมากขึ้น จากเดิมที่พรานทะเลเป็นผู้ผลิตซูชิให้กับโมเดิร์นเทรดภายใต้แบรนด์ที่แตกต่างกัน ทั้ง Hideko, Kai-ou, Yuri และ I love Sushi ทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสน จึงได้ทำการปรับกลยุทธ์ใหม่
โดยการรีแบรนด์ดิ้งเป็น “พรานทะเลซูชิ” แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1. พรานทะเลซูชิแพลทตินั่ม เป็นซูชิระดับพรีเมี่ยม ราคาประมาณ 139-239 บาทต่อเซท 2. พรานทะเลซูชิโกลด์ ปรับขนาดและราคาลงมาเล็กน้อย ประมาณ 49-99 บาทต่อเซท 3. พรานทะเลซูชิฟิวส์ชั่น ราคา ประมาณ 7 และ10 บาท
บริษัทฯมั่นใจว่าจาก 3 กลยุทธ์หลักคือ นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะทำให้ครึ่งปีหลังคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอีก 800 ล้านบาท ทำให้ยอดขายในปี 2554 เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 1,400 ล้านบาท
|